หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอัน
หลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่าง
เมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู
“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย
“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ
“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ
“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล ทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ก็คือของข้า!” แม่เฒ่าจูกล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะคว้าถุงเงินไปจากมือของหลินอ้าย
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามเข้าไปขวาง แต่จูฉางไห่กลับผลักพวกเขาออกอย่างไร้ปรานี
“แค่นี้ยังไม่พอ! พรุ่งนี้เจ้าก็ขึ้นเขาไปหาอีกสิ!” จูฉางไห่กล่าวพร้อมกับโยนถุงเปล่ากลับไปให้พวกเขา
หลินอ้ายก้มมองถุงเปล่าที่ตกอยู่บนพื้น นางรู้ดีว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อกรกับแม่เฒ่าจูและลูกชายของนาง น้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆ ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางรีบเข้ามาประคองแม่ของพวกเขา
ในห้องที่มืดสลัว จูฉางหยูและจูฉิงอันได้ยินเสียงโต้เถียงจากด้านนอก แม้จะอ่อนแอ แต่จูฉางหยูพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็ถูกจูฉิงอันรั้งเอาไว้
“ท่านพ่อ อย่าฝืนเลย...” นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่น้ำตาคลอ
“ข้า... ข้าควรปกป้องพวกเจ้า แต่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย” จูฉางหยูเอ่ยเสียงสั่น
จูฉิงอันที่นอนฟังอยู่นั้น กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความมุ่งมั่น นางพยายามรวบรวมพลังในจิตใจ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบพวกเราอีกต่อไป...” นางพึมพำ น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
แม้ในความมืด เงาสลัวของจูฉิงอันบนเตียงดูราวกับประกายของเปลวไฟเล็กๆ ที่เริ่มสว่างขึ้นในความมืดมิด
หลายวันผ่านไป หลังจากจูฉิงอันได้พักฟื้นร่างกายด้วยการดูแลอย่างดีจากหลินอ้าย นางก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงทีละน้อย แม้บ้านที่พวกเขาอยู่จะซอมซ่อและขาดแคลนอาหาร แต่นางก็พยายามอย่างหนักที่จะหายดี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
วันหนึ่ง ขณะที่มองออกไปนอกบ้านเก่า นางเห็นภาพของแม่และน้องชายทั้งสองที่ต้องแบกตะกร้าหนักขึ้นเขาไปเก็บของป่า นางรู้สึกเจ็บปวดใจที่ต้องเห็นพวกเขาลำบากเช่นนั้น
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวต้องลำบากอีกต่อไป” จูฉิงอันพึมพำกับตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น
ด้วยความรู้จากภพก่อน นางเข้าใจดีว่าธรรมชาติบนเขามีทรัพยากรมากมายที่สามารถนำมาสร้างรายได้ หากมีการจัดการอย่างเหมาะสม
เช้าตรู่วันหนึ่ง จูฉิงอันเตรียมตะกร้าและมีดเล็กๆ นางตัดสินใจขึ้นเขาเพียงลำพังโดยไม่บอกใคร ด้วยร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัว แม้นางจะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ แต่จิตใจที่แน่วแน่ช่วยให้ก้าวข้ามความเหน็ดเหนื่อย
บนเขาที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงนกร้อง จูฉิงอันใช้ความรู้จากภพก่อนในการหาเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีค่า นางรู้วิธีแยกของป่าที่กินได้และขายได้อย่างชัดเจน
ขณะที่นางเดินลึกเข้าไปในป่า นางพบธารน้ำสายเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่าทึบ น้ำในธารใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาหลากชนิดที่ว่ายอยู่
“ที่นี่...ทำไมถึงไม่มีคนมาจับปลาเลย?” นางนึกสงสัย แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่าไม่มีใครมาแย่งอาหารจากที่นี่
จูฉิงอันสำรวจรอบๆ ธารน้ำและเริ่มคิดหาวิธีจับปลาโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน นางใช้ไม้ที่หาได้จากป่ามาทำเป็นรั้วกั้นลำน้ำ และขุดหลุมลึกใกล้ๆ ธารน้ำ โดยให้กระแสน้ำพัดปลาลงมาในหลุม
“วิธีนี้น่าจะได้ผล” นางพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ฝูงปลาหลายตัวก็ถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปในหลุม นางใช้มือตักปลาขึ้นมาใส่ตะกร้าทีละตัว ปลาสดเหล่านี้ดิ้นขลุกขลักในตะกร้าจนเกือบล้น
จูฉิงอันแบกตะกร้าปลาที่หนักอึ้งกลับบ้าน แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัว แต่นางก็ยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงอาหารที่ทำจากปลาเพื่อมอบให้กับครอบครัว
“ข้าจะไม่ขายปลาพวกนี้ เราต้องกินให้แข็งแรงก่อน” นางคิดในใจ นางรู้ดีว่าร่างกายของทุกคนในครอบครัวยังอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญกับความลำบากต่อไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินอ้ายตกใจที่เห็นลูกสาวกลับมาพร้อมตะกร้าปลามากมาย
“อันเอ๋อร์ เจ้าไปหามาจากไหน?”
จูฉิงอันยิ้มบางๆ
“ข้าพบธารน้ำที่มีปลามากมาย ข้าจับมาได้โดยไม่มีใครแย่ง ข้าคิดว่าเราควรบำรุงร่างกายของทุกคนให้แข็งแรงก่อน แล้วเราค่อยคิดหาวิธีอื่นเพื่อหาเงิน”
หลินอ้ายมองลูกสาวด้วยความซาบซึ้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวที่ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูร่างกายได้เร็ว แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของครอบครัว
เย็นวันนั้น หลินอ้ายปรุงปลาอย่างเรียบง่ายแต่หอมกรุ่น จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางที่เหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นเขากลับมาพร้อมความหิวโหย เมื่อได้กลิ่นอาหาร พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาในบ้าน
“วันนี้เรามีปลา! เป็นอาหารที่บำรุงร่างกายของทุกคน” จูฉิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศในบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มมีความอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง ทุกคนกินอาหารพร้อมกันและพูดคุยถึงสิ่งที่ควรทำในวันต่อไป
จูฉิงอันมองดูครอบครัวที่เริ่มมีรอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะยังมีอุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า แต่นางก็พร้อมจะสู้เพื่อครอบครัว
รุ่งสางในเช้าวันถัดมา จูฉิงอันตื่นขึ้นมาก่อนที่คนอื่นในบ้านจะลืมตา นางลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เก็บของป่าที่นางเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานใส่ตะกร้า ทั้งเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีมูลค่าสูง
“ข้าต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ พวกเขาจะได้พักฟื้นโดยไม่ต้องลำบาก” นางพึมพำกับตัวเอง
นางไม่อยากให้แม่หรือน้องชายรู้ เพราะรู้ว่าทุกคนคงห้ามปราม ด้วยร่างกายที่เพิ่งหายดี หลินอ้ายคงไม่ยอมให้นางเดินทางไกลเพียงลำพัง แต่ด้วยความรู้ในเส้นทางจากความทรงจำของร่างเดิม จูฉิงอันมั่นใจว่านางสามารถเดินทางไปยังอำเภอไห่ตงได้โดยปลอดภัย
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขาผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ดวงตาฝ้าฟางของเขามองตรงไปยังแม่เฒ่าจูด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความจริงจัง“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ชัดเจนเลย จูฉางหยูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้า ทรัพย์สินบางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก เช่น หยกพกนั่น เจ้าไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ มันต้องคืนให้เขา!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งลานบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่ได้ยินต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่แม่เฒ่าจูถึงกับหน้าซีด แต่เพียงเสี้ยววินาที ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่“หยกพกนั่นเป็นของข้า! ข้าเลี้ยงดูมันมาทั้งชีวิต ข้าจะเก็บไว้! ใครก็เอาไปไม่ได้!”นางตะโกนเสียงแหลม มือสองข้างกำชายเสื้อแน่นราวกับจะปกป้องสมบัตินั้นด้วยชีวิต“แม่เฒ่าจู” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงเข้ม“ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะส่งเรื่องนี้ไปถึงทางการ เจ้าอยากถูกลงโทษเพราะยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของจูฉางหยูหรือ?”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ คุณชายน้อยทั้งสองตั้งใจเรียนมาก และบ่าวคนอื่นๆ ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี” เฉินหลงรายงานหลินฉางหยูพยักหน้าด้วยความพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเฉินหลงจึงขอตัวออกไปซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับทำอาหาร เนื่องจากตอนนี้มีคนอยู่ในจวนมากขึ้น เขาต้องการซื้ออาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคนหลินอ้ายที่ได้ฟังรายงานของเฉินหลงก็รู้สึกสบายใจที่ลูกชายทั้งสองสบายดี แต่นางก็ยังคงมีความห่วงใยอยู่ในใจ นางจึงมอบเงินเพิ่มเติมให้เฉินหลงอีกห้าตำลึง“เฉินหลง นี่เป็นเงินอีกห้าตำลึง ข้าอยากให้เจ้าเอาไว้ซื้อวัตถุดิบดีๆ ทำอาหารให้ฉิงเฉิงกับฉิงหยาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณนายหญิงมากขอรับ ข้าจะดูแลคุณชายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี” เฉินหลงกล่าว
ก่อนที่หลินฉางหยูจะพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ หลินอ้ายได้พูดคุยกับหลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางอีกครั้ง นางกำชับให้ลูกชายทั้งสองดูแลตัวเองให้ดี เชื่อฟังบ่าวที่จวน และตั้งใจเรียนหนังสือ“ฉิงเฉิง ฉิงหยาง เจ้าทั้งสองดูแลตัวเองด้วยนะ เชื่อฟังเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ และอย่าดื้อรั้น” หลินอ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเด็กชายทั้งสองรับปากผู้เป็นแม่ พวกเขารู้ว่าแม่เป็นห่วงพวกเขามาก และพวกเขาจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง“ขอรับ ท่านแม่ พวกเราจะดูแลตัวเองให้ดี” เด็กชายทั้งสองตอบพร้อมกันหลังจากนั้น หลินฉางหยูจึงพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันขึ้นเกวียนลาเพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ ทิ้งให้หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอำเภอหลังจากที่หลินฉางหยู หลินอ้าย และหลินฉิงอันกลับไปแล้ว หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางไม่ได้สั่งการอะไรกับเฉินหลงเพิ่มเติม พวกเขาเพียงแค่ขอบคุณเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ
หลังจากที่จัดการเรื่องบ้านและทาสเรียบร้อยแล้ว หลินฉางหยูได้พาหลินอ้ายไปยังตลาดในอำเภอเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเตรียมไว้ให้บ่าวที่ต้องดูแลจวนใหม่ พวกเขาซื้อข้าวสาร ผักสด เนื้อสัตว์ เครื่องปรุงรส และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับหลายวันหลินอ้ายเลือกซื้อของอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นของคุณภาพดีและราคาเหมาะสม นางคิดถึงบ่าวทั้งสี่คนที่ต้องดูแลจวนในอำเภอ และอยากให้พวกเขาได้รับประทานอาหารที่ดีเมื่อซื้อของเสร็จเรียบร้อย หลินอ้ายจึงเรียกเฉินหลงซึ่งเป็นหัวหน้าบ่าวที่จวนใหม่มาพบ นางได้มอบเงินให้เฉินหลงจำนวนห้าตำลึง เพื่อให้เขาใช้จ่ายซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่“เฉินหลง นี่เป็นเงินจำนวนห้าตำลึง เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ดี และใช้จ่ายอย่างประหยัด ซื้ออาหารและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับทุกคนในจวน” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณ
หลินฉางหยูเห็นท่าทีของทาสทั้งหมดแล้วก็หันหน้าไปหาหลินอ้ายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เขาพอใจมากที่ได้คนมีความสามารถหลากหลาย พวกเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่เป็นเพียงชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่คิดจะข่มเหงทาสพวกนี้สักนิด ขอเพียงพวกเขาตั้งใจทำงานให้ครอบครัวหลินก็เพียงพอแล้วเด็กชายทั้งสองได้แต่มองทาสทั้งแปดอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่วนหลินฉิงอันที่เคยผ่านโลกมาตั้งแต่ภพก่อนไม่ได้รู้สึกอันใดมากนัก นางเพียงรอดูว่าคนเหล่านี้เหมาะที่จะใช้งานหรือไม่เท่านั้น เพราะนางยังมีวิธีการช่วยครอบครัวหาเงินได้อีกมาก ถ้าพวกเขาเชื่อใจได้และซื่อสัตย์จริง ๆ นางก็จะมอบงานที่ดีให้กับพวกเขาในอนาคตเองไม่นานนักผู้ดูแลก็นำสัญญาขายตัวและเงินทอน 15 ตำลึง มามอบให้หลินฉางหยู ระหว่างที่หลินฉางหยูพาทุกคนเดินออกจากโรงค้าทาส เขากระซิบกับภรรยาเสียงเบา“ฮูหยิน เจ้าว่าเราควรซื้อสิ่งใดให้พวกเขาก่อนดี”“ท่านพี่อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ เราไปหาซื้อที่นอนกับเสื้อผ้าให้พวกเขาเสียก่อน ไหนจะพวกวัตถุดิบทำ
เมื่อทุกคนไปถึงอำเภอ หลินฉางหยูก็เข้าไปทำเรื่องซื้อขายโดยรับตั๋วแลกเงินจากหลินอ้ายไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรอเขาที่ห้องโถงรับแขก ไม่นานนักหลินฉางหยูก็ถือโฉนดพร้อมกับกุญแจของจวนพวงใหญ่ออกมาพร้อมเจ้าหน้าที่หลินฉางหยูส่งโฉนดให้หลินอ้ายเก็บเอาไว้ ส่วนเขาถือกุญแจที่หนักไม่น้อยด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่บอกทางหลินฉางหยูให้ขับเกวียนไปยังถนนฝั่งตะวันตกซึ่งมีโรงค้าทาสของทางการอยู่เมื่อไปถึงด้านหน้า พวกเขาก็พบกับผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นำทาสมาขายหรือซื้อทาสไปเดินผ่านไปมาไม่น้อย“เจ้านำเกวียนลาไปจอดด้านนั้นก่อน ข้าจะให้คนงานดูแลให้ แล้วเราค่อยเข้าไปด้านในด้วยกัน” เจ้าหน้าที่บอกกับหลินฉางหยู“ขอรับ”หลินอ้ายและเด็ก ๆ ต่างมองเห็นทาสที่ถูกนำมาขายและซื้อไปก็นึกเวทนาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละคนสภาพไม่ต่างจากขอทานสักนิด ไม่รู้ว่าหากพวกเขาซื้อไปแล้วทาสเหล่านั้นจะสามารถทำงานให้ได้หรือไม่ ทั้งสี่คนได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลองทบทวนดูอีกครั้งดีไหมเจ้าคะ ข้าคิดว่าการซื้อทาสเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ อย่างไรข้ากับท่านพ่อยังต้องทำงานหาเงิน ส่วนท่านแม่ก็ต้องดูแลบ้าน ตอนนี้น้อง ๆ อายุจะ 10 ขวบแล้ว หากพวกเขาสามารถดูแลตัวเองและดูแลทาสได้ ในอนาคตหากพวกเขาสอบได้ขุนนาง พวกเขาจะต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมายนัก การฝึกฝนพวกเขาเสียแต่ตอนนี้ ข้าคิดว่าดีแล้วเจ้าค่ะ”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ข้ากับน้องดูแลตัวเองได้แล้วขอรับ หากพี่ใหญ่ซื้อทาสให้พวกเราก็ดีไม่น้อย อย่างไรข้ากับน้องก็ฝึกวรยุทธ์กับพี่ชายเหิงมาตลอด ข้าคิดว่าพวกข้าสองคนจะเอาตัวรอดได้ขอรับ” หลินฉิงเฉิงพูดด้วยแววตาจริงจัง“ข้าเห็นด้วยกับพี่รองขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลยนะขอรับ หากพวกท่านเป็นห่วงพวกเรา พวกท่านแค่แวะไปเยี่ยมเราที่อำเภอก็ได้แล้วขอรับ” หลินฉิงหยางพูดสนับสนุนพี่ชายและพี่สาวอีกแรงหนึ่งหลินฉางหยูกับหลินอ้ายหันมองกันอย่างจนใจ แต่ในเมื่อพวกเขาพี่น้องต่างเชื่อมั่นในกันและกันเช่นนี้ พ
ชีวิตของตระกูลหลินกลับมาดำเนินไปตามปกติ หลินฉางหยูและหลินฉิงอันยังคงขึ้นเขาไปจับปลาและนำมาพักไว้ในบ่อก่อนที่จะนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถังเช่นเคย กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ช่วยให้พวกเขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัววันหนึ่ง ขณะที่สองพ่อลูกกำลังเตรียมปลาเพื่อนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถัง หลินฉิงอันก็เอ่ยขึ้นด้วยความคิดที่อยู่ในใจมาสักพัก“ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ข้าอยากจะพาน้องชายทั้งสองไปอำเภอด้วย” หลินฉิงอันกล่าว“ไปอำเภอหรือ? มีธุระอันใดหรือ อันเออร์?” หลินฉางหยูถามด้วยความสงสัย“ข้าอยากจะพาน้องๆ ไปสมัครเรียนที่สำนักศึกษาในอำเภอเจ้าค่ะ พวกเขาโตพอที่จะเริ่มเรียนหนังสือได้แล้ว” หลินฉิงอันอธิบายหลินฉางหยูพยักหน้าเห็นด้วย เขาเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกชายทั้งสอง และเขาก็อยากจะให้ลูกๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้เมื่อหลินอ้ายได้ยินว่าหลินฉิงอันจะพาน้องชายทั้งสองไปสมัครเรียนที่อำเภอ
ผู้ใหญ่บ้านหลี่กล่าวอวยพรให้ลูกหลานทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และประสบความสำเร็จในชีวิต ลูกหลานก็อวยพรให้ผู้ใหญ่บ้านหลี่และภรรยามีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปนานๆเสียงหัวเราะและรอยยิ้มดังขึ้นเป็นระยะ บ่งบอกถึงความสุขและความอบอุ่นที่อยู่ในครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านหลี่ แม้ว่าผู้ใหญ่บ้านหลี่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเขา แต่เขาก็ยังคงนึกถึงตระกูลหลินและสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อหมู่บ้าน เขาคิดถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตระกูลหลินที่ได้ช่วยเหลือเหิงจิ้งกั๋วและองครักษ์ของเขา รวมถึงการสร้างห้องเก็บของและการสนับสนุนชาวบ้านในการขายเกาลัดคั่ว ผู้ใหญ่บ้านหลี่รู้สึกขอบคุณตระกูลหลินที่ได้นำความเจริญและความสุขมาสู่หมู่บ้านต้าไห่บรรยากาศในวันปีใหม่ของหมู่บ้านต้าไห่จึงเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น และความหวัง ทุกคนต่างเริ่มต้นปีใหม่ด้วยจิตใจที่เบิกบานและมีความหวังในอนาคตที่ดีเมื่อเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเป็น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวได้มาเยือนอย่างเต็มตัว หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วผืนดิน บรรยากาศหนาวเย็นแผ่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง แต่ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว แต่ตระกูลหลินยังคงต้องเดินทางไปส่งปลาและถั่วงอกที่โรงเตี๊ยมไห่ถังตามปกติ พวกเขายังเหลือปลาที่ต้องส่งอีกเจ็ดรอบ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอที่จะทำให้พวกเขาตัดสินใจฝ่าความหนาวเย็นเดินทางไปส่งสินค้าและรับเงินจากเถ้าแก่หลิวหลินฉางหยูและหลินฉิงอันเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอย่างรอบคอบ พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนาๆ หลายชั้น เพื่อป้องกันความหนาวเย็น หลินฉิงอันมีความกังวลเกี่ยวกับลาของพวกเขาที่ต้องเดินทางในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นางกลัวว่าลาจะหนาวสั่นและเจ็บเท้า นางจึงขอให้หลินอ้ายช่วยเย็บถุงเท้าหนาๆ ให้กับลา โดยใช้วัสดุจากหนังสัตว์เก่าๆ ที่เก็บไว้ในบ้าน“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าอยากจะขอให้ท่านแม่ช่วยเย็บถุงเท้าให้กับลาหน่อยเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันจะเจ็บเท้า” หลินฉิงอันกล่าว