จูฉิงอันเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากอายุครบเกณฑ์ที่ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุ 18 เธอก็หางานทำและเรียนไปด้วยจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านการตลาด ทุกปีจูฉิงอันจะนำเงินเก็บส่วนหนึ่งส่งกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเธอ
หลังจากเรียนจบและทำงานพาร์ทไทม์ต่อมาอีก 3 ปี จูฉิงอันก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของประเทศจากความสามารถของเธอเอง ทำให้จูฉิงอันสามารถซื้อคอนโดและรถยนต์ส่วนตัวได้จากเงินเดือนที่ได้รับในบริษัทใหญ่บริษัทนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี นับว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมทำงานประจำกับบริษัทนี้หลังจากที่เปรียบเทียบรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์หลายงานมานานหลายปี
2 ปี ต่อมา ตำแหน่งของจูฉิงอันก็ได้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก ยิ่งเธอขยันทำงานมากเท่าไหร่ เงินรายได้ของเธอก็ยิ่งได้รับจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าแผนกยังไว้วางใจให้เธอเข้าร่วมงานสัมนาและการประชุมต่าง ๆ หลายงานเช่นกัน ทุกครั้งจูฉิงอันจะสรุปรายงานการเข้าร่วมสัมนาและประชุมเป็นเอกสารส่งให้หัวหน้าเพื่อรายงานไปยังเบื้องบน จนทำให้ชื่อของเธอเป็นที่จดจำได้ของหัวหน้าฝ่ายหลายคนที่เข้าร่วมประชุมกับหัวหน้าฝ่ายการตลาด พวกเขายังชื่นชมความขยันขันแข็งและรายงานที่ละเอียดเหมือนกับพวกเขาได้เข้าร่วมงานสัมนาเหล่านั้นด้วยตัวเองที่จูฉิงอันเขียนขึ้นมาอีกด้วย ทำให้ปลายปีที่พวกเขาต้องวัดผลการทำงานของพนักงานพวกเขาต่างให้คะแนนจูฉิงอันกันไม่น้อยโดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้มาก่อน
หลังจากได้รับคะแนนประเมินที่สูงลิบจนปลายปีที่บริษัทประกาศโบนัส จูฉิงอันได้รับเงินมากกว่าเงินเดือนที่สูงอยู่แล้วของเธอถึง 5 เท่า เงินจำนวนนี้ทำให้เธอคิดว่าจะช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้าได้อีกหลายปี จูฉิงอันจึงแอบทำพินัยกรรมเอาไว้ที่คอนโดของตนเองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะเธอรู้ดีว่ายิ่งคะแนนประเมินสูงมากเท่าไหร่ งานที่เธอต้องรับผิดชอบในปีต่อไปก็ยิ่งจะมากขึ้นด้วย เธอไม่อยากให้บ้านเด็กกำพร้าต้องลำบากหากเธอจากไปจริง ๆ และจูฉิงอันยังคิดจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้โดยไม่นำมาใช้ในอนาคต เธอจึงตัดสินใจทำพินัยกรรมด้วยตัวเอง
หลังงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทเสร็จสิ้นลง จูฉิงอันต้องเดินทางออกสำรวจตลาดภายในประเทศที่หัวหน้าฝ่ายมอบหน้าที่ให้ การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้คนที่ยังไม่มีครอบครัวเพื่อความสะดวก บริษัทเห็นว่าเธอมีความรับผิดชอบสูงและไม่มีครอบครัว เขาจึงส่งเธอออกเดินทางไปในสัปดาห์แรกหลังจากหยุดปีใหม่ ซึ่งการไปครั้งนี้บริษัทยังมีเบี้ยเลี้ยงที่พักและอาหารให้จูฉิงอันไม่น้อย
จูฉิงอันที่มองโลกในแง่ดีไม่ได้คิดว่าหัวหน้าเอาเปรียบ เธอดีใจเสียอีกที่จะได้รับเงินเพิ่มเติมระหว่างการเดินทาง โดยกำหนดการเดินทางครั้งนี้ยังต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนกว่าการตรวจสอบตลาดการค้าทั่วประเทศจะครบทั้งหมด
ก่อนวันเดินทาง จูฉิงอันฝันแปลก ๆ ว่าเธอจะต้องจากไปในที่ที่ไกลแสนไกล เธอจึงเตรียมพินัยกรรมที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้วางบนโต๊ะทำงานในคอนโดก่อนไปทำงาน เพราะหากเธอเป็นอะไรไปจริง ๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของบ้านเด็กกำพร้าที่เธอช่วยส่งเงินให้มาตลอดหลายปี
การเดินทางในเดือนแรกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จูฉิงอันจะเหนื่อยจากการขับรถด้วยตัวเองไปยังหลายจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกภายในเวลาแค่เดือนเดียว แต่อย่างน้อยรายงานที่เธอส่งทางอีเมล์ซึ่งเธอทำอย่างละเอียดและคาดเดาทิศทางการตลาดของแต่ละจังหวัดที่เธอไปก็ทำให้บริษัทปรับแผนงานการส่งออกของปีนี้ได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ภาคเท่านั้นเธอก็จะเสร็จจากหน้าที่การสำรวจตลาดแล้ว
รุ่งเช้าวันต่อมา จูฉิงอันรีบออกเดินทางจากภาคตะวันออกไปยังภาคใต้ซึ่งมีระยะทางไกลที่สุดในงานครั้งนี้โดยไม่คิดจะรอให้ฟ้าสว่าง เธอคิดจะแวะทานอาหารเช้าในปั๊มน้ำมันระหว่างทางหากเธอหิว ปกติแล้วเธอมักจะกินอาหารไม่ตรงเวลาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง เนื่องจากเธอไม่อยากขับรถเร็วเกินไปจึงยอมที่จะหาอาหารง่าย ๆ กินไประหว่างขับรถมาตลอด
ด้วยระยะทางที่ไกลมาก จูฉิงอันจึงแวะปั๊มในตอนเกือบเที่ยงวันเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำหลังจากขับรถต่อเนื่องมาเกือบห้าชั่วโมงจนน้ำมันเกือบจะหมดถัง หลังเติมน้ำมันรถจนเต็ม จูฉิงอันแวะจอดซื้อกาแฟและขนมปังเพื่อกินระหว่างทาง ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่สบายจากอากาศเปลี่ยนแปลงยังไงพิกล
จูฉิงอันเปิดแผนที่ดูในมือถือและเห็นว่ายังอีกไกลกว่าเธอจะไปถึงจังหวัดเป้าหมายแรกทางภาคใต้ เธอรีบกลับไปที่รถโดยไม่คิดจะหยุดพักต่อที่ปั๊มแม้แต่นิดเดียว เมื่อสตาร์ทรถและดื่มกาแฟไปนิดหน่อย จูฉิงอันก็ขับรถออกจากปั๊มตามแผนที่ในมือถือที่เธอค้นหาเส้นทางก่อนหน้านี้
จูฉิงอันขับรถไปได้เกือบสามชั่วโมง อากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันโดยมีลมและฝนตกหนักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอรีบลดความเร็วลงและเปิดที่ปัดน้ำฝนจนสุดแต่ก็ยังมองไม่ค่อยเห็นทางเนื่องจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ในตอนนี้ จูฉิงอันมองแผนที่อีกครั้งก็เห็นว่าเธอขับรถช้าเกินไปจนกังวลว่าจะหาที่พักในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เธออยู่ตอนนี้ถึงสามชั่วโมงไม่ทัน
หลังจากขับไปคิดไปสักพัก จูฉิงอันก็ตัดสินใจเพิ่มความเร็วรถทั้งที่เธอในตอนนี้กลับจามและมีน้ำมูกไหลเสียแล้ว เธอคิดเพียงว่าอยากรีบไปถึงตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาที่พักก่อนจะออกเดินทางต่อในรุ่งเช้าวันถัดไป ขณะที่ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จูฉิงอันพยายามเพ่งมองทางที่เต็มไปด้วยสายฝนอย่างยากลำบาก รถหลายคันบนเส้นทางเดียวกันต่างชะลอและขับช้ากว่าจูฉิงอันเพื่อความปลอดภัย พวกเขาแปลกใจไม่น้อยที่รถทะเบียนเมืองหลวงคันหน้าใช้ความเร็วมากเสียจนหวาดเสียวแทน พวกเขาที่ทำงานส่งของขับเส้นทางนี้จนเคยชินยังไม่มีใครกล้าขับเร็วเท่ากับจูฉิงอันเลยแม้แต่คันเดียว เพราะพวกเขารู้ดีว่าถนนสายนี้ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งยังมีทางโค้งและทางตรงยาวหลายจุดที่อันตราย
จูฉิงอันที่ขับรถตามแผนที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะอันตรายขนาดไหน ตอนนี้เธอต้องการไปถึงตัวเมืองเพื่อหาที่พักผ่อนให้เร็วที่สุดเท่านั้น ขณะที่เหลืออีกประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรจะถึงตัวเมือง เส้นทางกลับเปลี่ยนเป็นโค้งติด ๆ กันหลายโค้งจนจูฉิงอันไม่สามารถเพิ่มความเร็วได้อีก เธอได้แต่ต้องลดความเร็วลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหลังจากที่ขับฝ่าสายฝนมาถึงสองชั่วโมงแล้ว แต่ขณะที่เธอกำลังจะลดความเร็วลงอีก รถของเธอก็เสียหลักจากถนนชำรุดจนจูฉิงอันไม่สามารถควบคุมรถได้ ยิ่งเธอเหยียบเบรกอย่างแรงขณะถนนลื่น ก็ยิ่งทำให้รถที่มาด้วยความเร็วหมุนคว้างจนเธอทำอะไรไม่ถูก จูฉิงอันพยายามบังคับพวงมาลัยไม่ให้ออกนอกเส้นทาง เสียดายที่สภาพถนนซึ่งเต็มไปด้วยหลุมและน้ำไม่เอื้ออำนวย
เอี๊ยด! ปัง!! โครม!!!
รถของจูฉิงอันหยุดลงก็ตอนที่มันหมุนออกนอกเส้นทางไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางภายในเสี้ยววินาที ก่อนสติสุดท้ายของจูฉิงอันจะดับลง เธอได้แต่คิดว่าในโลกนี้เธอยังติดค้างใครหรือมีห่วงอะไรหรือไม่ ตอนนี้ร่างกายของเธอถูกอัดติดกับตัวรถจนชาไปหมด เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักและคิดว่าน่าจะมีรถที่เห็นอุบัติเหตุของเธอเข้ามาช่วยเธอได้ทัน จูฉิงอันรู้สึกว่าตัวเองรอนานจนทนไม่ไหวทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปหลังการชนเพียงไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น
จูฉิงอันเริ่มสติรางเลือนลงทุกทีจากอาการบาดเจ็บ เธอคิดเพียงว่าในโลกนี้เธอไม่ได้ติดค้างใครอีกแล้ว หากเธอไม่รอดจริง ๆ เธอก็ขอให้คนค้นพบพินัยกรรมที่เธอทำเอาไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยเท่านั้น จูฉิงอันภาวนาซ้ำ ๆ ก่อนสติสุดท้ายของเธอจะดับลงไปตลอดกาล
รถที่ขับตามหลังจูฉิงอันมาช้า ๆ หลายคัน กว่าที่จะเห็นว่ารถของจูฉิงอันที่แซงพวกเขาหลายคันก่อนหน้านี้ประสบอุบัติเหตุเข้าแล้วก็เป็นตอนที่เธอเสียชีวิตคาซากรถซึ่งยับยู่ยี่จากการชนต้นไม้อย่างแรงเสียแล้ว พวกเขาได้แต่พากันจอดรถเพื่อดูว่าจะช่วยเหลือคนขับได้หรือไม่ เมื่อดูแล้วเกินกำลังของพวกเขา ทุกคนจึงได้แต่ต้องกลับขึ้นรถไปโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจแทน คนขับหลายคนที่ต้องรีบไปส่งของขับรถออกจากที่เกิดเหตุหลังจากเห็นว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มีเพียงรถสองสามคันที่อยู่รอเจ้าหน้าที่ในรถท่ามกลางสายฝนเท่านั้น พวกเขากลัวว่าถ้าไม่มีใครอยู่เป็นพยานให้อาจถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคู่กรณีของรถคันเกิดเหตุได้ รถทั้งสามคันจึงต่างรออยู่ด้วยกันทั้งอย่างนั้น
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็วเมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ][ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ][ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ][ อะไรนะครับ!!! ][ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติ
หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็วเมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ][ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ][ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ][ อะไรนะครับ!!! ][ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติ