จูฉิงอันเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เธอจำความได้ หลังจากอายุครบเกณฑ์ที่ต้องออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุ 18 เธอก็หางานทำและเรียนไปด้วยจนกระทั่งจบปริญญาตรีด้านการตลาด ทุกปีจูฉิงอันจะนำเงินเก็บส่วนหนึ่งส่งกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อเลี้ยงดูน้อง ๆ เหมือนกับรุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ออกไปจากที่นี่เช่นเดียวกับเธอ
หลังจากเรียนจบและทำงานพาร์ทไทม์ต่อมาอีก 3 ปี จูฉิงอันก็มีโอกาสได้เข้าทำงานในบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้รายใหญ่ของประเทศจากความสามารถของเธอเอง ทำให้จูฉิงอันสามารถซื้อคอนโดและรถยนต์ส่วนตัวได้จากเงินเดือนที่ได้รับในบริษัทใหญ่บริษัทนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี นับว่าเธอตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมทำงานประจำกับบริษัทนี้หลังจากที่เปรียบเทียบรายได้จากการทำงานพาร์ทไทม์หลายงานมานานหลายปี
2 ปี ต่อมา ตำแหน่งของจูฉิงอันก็ได้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายการตลาดตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก ยิ่งเธอขยันทำงานมากเท่าไหร่ เงินรายได้ของเธอก็ยิ่งได้รับจากการทำงานมากขึ้นเท่านั้น หัวหน้าแผนกยังไว้วางใจให้เธอเข้าร่วมงานสัมนาและการประชุมต่าง ๆ หลายงานเช่นกัน ทุกครั้งจูฉิงอันจะสรุปรายงานการเข้าร่วมสัมนาและประชุมเป็นเอกสารส่งให้หัวหน้าเพื่อรายงานไปยังเบื้องบน จนทำให้ชื่อของเธอเป็นที่จดจำได้ของหัวหน้าฝ่ายหลายคนที่เข้าร่วมประชุมกับหัวหน้าฝ่ายการตลาด พวกเขายังชื่นชมความขยันขันแข็งและรายงานที่ละเอียดเหมือนกับพวกเขาได้เข้าร่วมงานสัมนาเหล่านั้นด้วยตัวเองที่จูฉิงอันเขียนขึ้นมาอีกด้วย ทำให้ปลายปีที่พวกเขาต้องวัดผลการทำงานของพนักงานพวกเขาต่างให้คะแนนจูฉิงอันกันไม่น้อยโดยที่เจ้าตัวเองไม่รู้มาก่อน
หลังจากได้รับคะแนนประเมินที่สูงลิบจนปลายปีที่บริษัทประกาศโบนัส จูฉิงอันได้รับเงินมากกว่าเงินเดือนที่สูงอยู่แล้วของเธอถึง 5 เท่า เงินจำนวนนี้ทำให้เธอคิดว่าจะช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้าได้อีกหลายปี จูฉิงอันจึงแอบทำพินัยกรรมเอาไว้ที่คอนโดของตนเองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะเธอรู้ดีว่ายิ่งคะแนนประเมินสูงมากเท่าไหร่ งานที่เธอต้องรับผิดชอบในปีต่อไปก็ยิ่งจะมากขึ้นด้วย เธอไม่อยากให้บ้านเด็กกำพร้าต้องลำบากหากเธอจากไปจริง ๆ และจูฉิงอันยังคิดจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้โดยไม่นำมาใช้ในอนาคต เธอจึงตัดสินใจทำพินัยกรรมด้วยตัวเอง
หลังงานเลี้ยงปีใหม่ของบริษัทเสร็จสิ้นลง จูฉิงอันต้องเดินทางออกสำรวจตลาดภายในประเทศที่หัวหน้าฝ่ายมอบหน้าที่ให้ การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้คนที่ยังไม่มีครอบครัวเพื่อความสะดวก บริษัทเห็นว่าเธอมีความรับผิดชอบสูงและไม่มีครอบครัว เขาจึงส่งเธอออกเดินทางไปในสัปดาห์แรกหลังจากหยุดปีใหม่ ซึ่งการไปครั้งนี้บริษัทยังมีเบี้ยเลี้ยงที่พักและอาหารให้จูฉิงอันไม่น้อย
จูฉิงอันที่มองโลกในแง่ดีไม่ได้คิดว่าหัวหน้าเอาเปรียบ เธอดีใจเสียอีกที่จะได้รับเงินเพิ่มเติมระหว่างการเดินทาง โดยกำหนดการเดินทางครั้งนี้ยังต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนกว่าการตรวจสอบตลาดการค้าทั่วประเทศจะครบทั้งหมด
ก่อนวันเดินทาง จูฉิงอันฝันแปลก ๆ ว่าเธอจะต้องจากไปในที่ที่ไกลแสนไกล เธอจึงเตรียมพินัยกรรมที่ทำเอาไว้ก่อนหน้านี้วางบนโต๊ะทำงานในคอนโดก่อนไปทำงาน เพราะหากเธอเป็นอะไรไปจริง ๆ อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องของบ้านเด็กกำพร้าที่เธอช่วยส่งเงินให้มาตลอดหลายปี
การเดินทางในเดือนแรกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จูฉิงอันจะเหนื่อยจากการขับรถด้วยตัวเองไปยังหลายจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกภายในเวลาแค่เดือนเดียว แต่อย่างน้อยรายงานที่เธอส่งทางอีเมล์ซึ่งเธอทำอย่างละเอียดและคาดเดาทิศทางการตลาดของแต่ละจังหวัดที่เธอไปก็ทำให้บริษัทปรับแผนงานการส่งออกของปีนี้ได้อย่างทันท่วงที ตอนนี้เหลืออีกเพียงไม่กี่ภาคเท่านั้นเธอก็จะเสร็จจากหน้าที่การสำรวจตลาดแล้ว
รุ่งเช้าวันต่อมา จูฉิงอันรีบออกเดินทางจากภาคตะวันออกไปยังภาคใต้ซึ่งมีระยะทางไกลที่สุดในงานครั้งนี้โดยไม่คิดจะรอให้ฟ้าสว่าง เธอคิดจะแวะทานอาหารเช้าในปั๊มน้ำมันระหว่างทางหากเธอหิว ปกติแล้วเธอมักจะกินอาหารไม่ตรงเวลาตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง เนื่องจากเธอไม่อยากขับรถเร็วเกินไปจึงยอมที่จะหาอาหารง่าย ๆ กินไประหว่างขับรถมาตลอด
ด้วยระยะทางที่ไกลมาก จูฉิงอันจึงแวะปั๊มในตอนเกือบเที่ยงวันเพื่อเติมน้ำมันและเข้าห้องน้ำหลังจากขับรถต่อเนื่องมาเกือบห้าชั่วโมงจนน้ำมันเกือบจะหมดถัง หลังเติมน้ำมันรถจนเต็ม จูฉิงอันแวะจอดซื้อกาแฟและขนมปังเพื่อกินระหว่างทาง ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะไม่สบายจากอากาศเปลี่ยนแปลงยังไงพิกล
จูฉิงอันเปิดแผนที่ดูในมือถือและเห็นว่ายังอีกไกลกว่าเธอจะไปถึงจังหวัดเป้าหมายแรกทางภาคใต้ เธอรีบกลับไปที่รถโดยไม่คิดจะหยุดพักต่อที่ปั๊มแม้แต่นิดเดียว เมื่อสตาร์ทรถและดื่มกาแฟไปนิดหน่อย จูฉิงอันก็ขับรถออกจากปั๊มตามแผนที่ในมือถือที่เธอค้นหาเส้นทางก่อนหน้านี้
จูฉิงอันขับรถไปได้เกือบสามชั่วโมง อากาศก็เปลี่ยนแปลงกระทันหันโดยมีลมและฝนตกหนักอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอรีบลดความเร็วลงและเปิดที่ปัดน้ำฝนจนสุดแต่ก็ยังมองไม่ค่อยเห็นทางเนื่องจากพายุฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ในตอนนี้ จูฉิงอันมองแผนที่อีกครั้งก็เห็นว่าเธอขับรถช้าเกินไปจนกังวลว่าจะหาที่พักในเมืองซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เธออยู่ตอนนี้ถึงสามชั่วโมงไม่ทัน
หลังจากขับไปคิดไปสักพัก จูฉิงอันก็ตัดสินใจเพิ่มความเร็วรถทั้งที่เธอในตอนนี้กลับจามและมีน้ำมูกไหลเสียแล้ว เธอคิดเพียงว่าอยากรีบไปถึงตัวเมืองที่ใกล้ที่สุดเพื่อหาที่พักก่อนจะออกเดินทางต่อในรุ่งเช้าวันถัดไป ขณะที่ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จูฉิงอันพยายามเพ่งมองทางที่เต็มไปด้วยสายฝนอย่างยากลำบาก รถหลายคันบนเส้นทางเดียวกันต่างชะลอและขับช้ากว่าจูฉิงอันเพื่อความปลอดภัย พวกเขาแปลกใจไม่น้อยที่รถทะเบียนเมืองหลวงคันหน้าใช้ความเร็วมากเสียจนหวาดเสียวแทน พวกเขาที่ทำงานส่งของขับเส้นทางนี้จนเคยชินยังไม่มีใครกล้าขับเร็วเท่ากับจูฉิงอันเลยแม้แต่คันเดียว เพราะพวกเขารู้ดีว่าถนนสายนี้ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งยังมีทางโค้งและทางตรงยาวหลายจุดที่อันตราย
จูฉิงอันที่ขับรถตามแผนที่ไม่ได้สนใจเลยว่าเส้นทางข้างหน้าจะอันตรายขนาดไหน ตอนนี้เธอต้องการไปถึงตัวเมืองเพื่อหาที่พักผ่อนให้เร็วที่สุดเท่านั้น ขณะที่เหลืออีกประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรจะถึงตัวเมือง เส้นทางกลับเปลี่ยนเป็นโค้งติด ๆ กันหลายโค้งจนจูฉิงอันไม่สามารถเพิ่มความเร็วได้อีก เธอได้แต่ต้องลดความเร็วลงเพื่อป้องกันอุบัติเหตุหลังจากที่ขับฝ่าสายฝนมาถึงสองชั่วโมงแล้ว แต่ขณะที่เธอกำลังจะลดความเร็วลงอีก รถของเธอก็เสียหลักจากถนนชำรุดจนจูฉิงอันไม่สามารถควบคุมรถได้ ยิ่งเธอเหยียบเบรกอย่างแรงขณะถนนลื่น ก็ยิ่งทำให้รถที่มาด้วยความเร็วหมุนคว้างจนเธอทำอะไรไม่ถูก จูฉิงอันพยายามบังคับพวงมาลัยไม่ให้ออกนอกเส้นทาง เสียดายที่สภาพถนนซึ่งเต็มไปด้วยหลุมและน้ำไม่เอื้ออำนวย
เอี๊ยด! ปัง!! โครม!!!
รถของจูฉิงอันหยุดลงก็ตอนที่มันหมุนออกนอกเส้นทางไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางภายในเสี้ยววินาที ก่อนสติสุดท้ายของจูฉิงอันจะดับลง เธอได้แต่คิดว่าในโลกนี้เธอยังติดค้างใครหรือมีห่วงอะไรหรือไม่ ตอนนี้ร่างกายของเธอถูกอัดติดกับตัวรถจนชาไปหมด เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักและคิดว่าน่าจะมีรถที่เห็นอุบัติเหตุของเธอเข้ามาช่วยเธอได้ทัน จูฉิงอันรู้สึกว่าตัวเองรอนานจนทนไม่ไหวทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านไปหลังการชนเพียงไม่ถึงห้านาทีเท่านั้น
จูฉิงอันเริ่มสติรางเลือนลงทุกทีจากอาการบาดเจ็บ เธอคิดเพียงว่าในโลกนี้เธอไม่ได้ติดค้างใครอีกแล้ว หากเธอไม่รอดจริง ๆ เธอก็ขอให้คนค้นพบพินัยกรรมที่เธอทำเอาไว้ให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยเท่านั้น จูฉิงอันภาวนาซ้ำ ๆ ก่อนสติสุดท้ายของเธอจะดับลงไปตลอดกาล
รถที่ขับตามหลังจูฉิงอันมาช้า ๆ หลายคัน กว่าที่จะเห็นว่ารถของจูฉิงอันที่แซงพวกเขาหลายคันก่อนหน้านี้ประสบอุบัติเหตุเข้าแล้วก็เป็นตอนที่เธอเสียชีวิตคาซากรถซึ่งยับยู่ยี่จากการชนต้นไม้อย่างแรงเสียแล้ว พวกเขาได้แต่พากันจอดรถเพื่อดูว่าจะช่วยเหลือคนขับได้หรือไม่ เมื่อดูแล้วเกินกำลังของพวกเขา ทุกคนจึงได้แต่ต้องกลับขึ้นรถไปโทรศัพท์เรียกหน่วยกู้ภัยและตำรวจแทน คนขับหลายคนที่ต้องรีบไปส่งของขับรถออกจากที่เกิดเหตุหลังจากเห็นว่าช่วยอะไรไม่ได้แล้ว มีเพียงรถสองสามคันที่อยู่รอเจ้าหน้าที่ในรถท่ามกลางสายฝนเท่านั้น พวกเขากลัวว่าถ้าไม่มีใครอยู่เป็นพยานให้อาจถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคู่กรณีของรถคันเกิดเหตุได้ รถทั้งสามคันจึงต่างรออยู่ด้วยกันทั้งอย่างนั้น
กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยจะมาถึงที่เกิดเหตุ เวลาก็ผ่านไปกว่า 30 นาที เนื่องจากสายฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าปกติ เจ้าของรถสามคันที่รอเจ้าหน้าที่อยู่ก่อนหน้านี้รีบถือร่มลงจากรถไปเล่าเหตุการณ์ให้ตำรวจฟังตามความจริงว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุน่าจะไม่ชินเส้นทางและมาด้วยความเร็วเมื่อตำรวจฟังคำให้การของพลเมืองดีทั้งสามคนเสร็จ ตำรวจก็ปล่อยให้พวกเขาออกจากที่เกิดเหตุหลังขอเบอร์โทรของพวกเขาเอาไว้เผื่อจะขอคำให้การเพิ่มเติม ไม่นานนักเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็นำร่างของจูฉิงอันออกจากรถได้ เจ้าหน้าที่หลายคนตรวจสอบภายในรถจนพบว่าโทรศัพท์ของผู้ตายยังคงใช้งานได้ เพียงแต่หน้าจอแตกร้าวเท่านั้น เขาจึงหาเบอร์โทรล่าสุดเพื่อแจ้งให้ญาติทราบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว[ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นญาติเจ้าของโทรศัพท์หรือเปล่าครับ ][ ไม่ใช่ครับ ผมเป็นหัวหน้าของเธอครับ ไม่ทราบใครโทรมาครับ ][ ผมเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยเมืองเหลียงเฮ่อครับ เจ้าของโทรศัพท์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณช่วยติดต่อญาติเพื่อมารับศพด้วยนะครับ ][ อะไรนะครับ!!! ][ ผมบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตแล้วครับ รบกวนคุณติ
หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แม่เฒ่าจูได้แต่กระฟัดกระเฟียดที่จูฉางหยูขัดคำสั่งนาง ครั้นจะให้นางวิ่งไปที่บ้านท่านหมอก็ดูจะไม่เหมาะสมนัก นางกลัวว่าหากผู้ใหญ่บ้านรู้เข้าจะมาลงโทษนางอีก ก่อนหน้านี้เขาปล่อยผ่านเพราะเรื่องราวยังไม่ร้ายแรง แต่ตอนนี้นางไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยผ่านอีกหรือไม่จึงไม่กล้าเสี่ยง ด้วยความโมโห แม่เฒ่าจูไม่อยู่นินทาชาวบ้านต่อ นางใช้ไม้เท้าพาตัวเองกลับไปบ้านตระกูลจูเพื่อรอจัดการเจ้าพวกบ้านรองที่บังอาจขัดคำสั่งนางหลินอ้ายกับลูกชายไปถึงบ้านท่านหมอก็ร้องเรียกท่านเสียงดังด้วยกลัวว่าท่านหมอชราจะไม่ได้ยินพวกนาง ไม่นานนักหมอกวงก็เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้พวกเขา ก่อนจะถามนางว่าเหตุใดจึงดูเร่งร้อนเพียงนี้“ฮึก.. ท่านหมอช่วยลูกสาวข้าด้วยเจ้าค่ะ นางป่วยมาหลายวันแล้วจนอาการทรุดลง สามีข้ากำลังพานางมาที่นี่เจ้าค่ะ”“อ้าว ถึงว่าสิ ข้าไม่เห็นนังหนูฉิงอันนำสมุนไพรมาฝากข้านานแล้ว พวกเจ้าเข้ามาก่อน ข้าจะไปดูว่ามียาอะไรเหลืออยู่บ้าง”หมอกวงพูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป หลินอ้ายกับลูกชายได้แต่รอว่าเมื่อไหร่จูฉางหยูจะพาจูฉิงอันมาถึง หลังจากกังวลอยู่ไม่นาน นางก็เห็นสามีวิ่งมาเกือบถึงบ้านท่านหมอแล้ว“ท่านพี่ รีบพาลูกเข้า
“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก!! ข้าบอกว่าไม่ให้พานังตัวขาดทุนไปหาหมอยังกล้าขัด ถ้าวันนี้ข้าไม่เอาเลือดหัวพวกเจ้าออก อย่ามาเรียกข้าว่าแม่เฒ่าจูเลย”“ท่านแม่ตีพวกมันให้ตายเลย ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าทำไมเสบียงในบ้านหายไปบ่อย ๆ นี่พวกมันคงแอบขโมยทุกวันกระมังเจ้าค่ะ”แม่เฒ่าจูไม่สนใจว่าจูฉางหยูจะกำลังอุ้มจูฉิงอันอยู่ นางพุ่งเข้าไปพร้อมไม้ท่อนยาวที่ไม่รู้ว่าไปนำมาจากไหนหวดเข้าใส่กลุ่มจูฉางหยูอย่างไม่ออมแรงจูฉางหยูเห็นแม่ตนเองพุ่งเข้ามาเช่นนี้ก็รีบหันหลังบังร่างของทุกคนในบ้านเอาไว้จนถูกไม้หวดเข้าเต็มแรงจนเขาเกือบเสียหลักล้มลงไปกองที่พื้น“ฮือ… ท่านแม่ ท่านอย่าตีท่านพี่”“ฮือ… ท่านย่า อย่าตีท่านพ่อขอรับ” สองแฝดรีบเข้าไปเกาะขาแม่เฒ่าจู“หลีกไป! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าโหดร้าย”พลั่ก! ตุ้บ! โอ๊ย!!!จูฉางหยูได้ยินเสียงร้องของลูกชายก็รีบหันกลับไปมอง เขาเห็นแม่เฒ่าจูเงื้อไม้ตีเด็กทั้งสองอย่างรุนแรง ภรรยาของเขาพยายามเอาตัวบังลูกไว้ก็พลอยถูกทำร้ายไปด้วย จูฉางหยูทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาวิ่งเข้าชนแม่เฒ่าจูจนนางล้มลงตุ้บ! กรี๊ด!!!“ไอ้ลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าทำร้ายข้าหรือ? อาฮวา ไปเอามีดในครัวมา วันนี้ข้าจะสับพวกมั
เช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศหนาวเย็น ป่าเขาล้อมรอบหมู่บ้านด้วยหมอกขาวที่ลอยอ้อยอิ่ง จูฉางหยูสะพายธนูและกระบอกน้ำไว้บนหลัง เดินลึกเข้าไปในป่าด้วยความมุ่งมั่น เขาต้องการล่าสัตว์เพื่อหาอาหารมาจุนเจือครอบครัวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงเสียงใบไม้กรอบแกรบใต้ฝ่าเท้าของเขาและเสียงนกที่ร้องอยู่ในไพรพงทำให้ป่าดูเหมือนมีชีวิต แต่จูฉางหยูไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เขาจดจ่อกับรอยเท้ากวางที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน มันเป็นรอยเท้าสดใหม่ที่นำเขาลึกเข้าไปในป่าที่ไม่คุ้นเคยเมื่อเขาพบร่างกวางตัวใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ จูฉางหยูหยุดเดิน หัวใจของเขาเต้นแรงขณะที่เขาประเมินระยะและความแม่นยำของลูกธนู เขาค่อยๆ ยกธนูขึ้นเล็ง แต่ในขณะนั้นเอง เสียงแตกของกิ่งไม้บางเบาใต้เท้าของเขาทำให้กวางสะดุ้งและวิ่งหนีไปจูฉางหยูรีบวิ่งตาม แต่ด้วยความเร่งรีบ เขากลับไม่ทันระวัง พื้นดินใต้เท้าของเขาเป็นทางลาดชันที่ปกคลุมด้วยใบไม้แห้ง เขาพลัดตกลงไปในเหวเล็กๆ ที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้ร่างของเขากระแทกกับก้อนหินและกิ่งไม้ระหว่างทาง จนกระทั่งเขาหยุดลงที่พื้นดินด้านล่าง เขารู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แขนและขา รอยแผลเปิดและรอยฟกช
ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน “ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวังค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ คุณชายน้อยทั้งสองตั้งใจเรียนมาก และบ่าวคนอื่นๆ ก็ดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี” เฉินหลงรายงานหลินฉางหยูพยักหน้าด้วยความพอใจที่ได้ยินเช่นนั้น จากนั้นเฉินหลงจึงขอตัวออกไปซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมสำหรับทำอาหาร เนื่องจากตอนนี้มีคนอยู่ในจวนมากขึ้น เขาต้องการซื้ออาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคนหลินอ้ายที่ได้ฟังรายงานของเฉินหลงก็รู้สึกสบายใจที่ลูกชายทั้งสองสบายดี แต่นางก็ยังคงมีความห่วงใยอยู่ในใจ นางจึงมอบเงินเพิ่มเติมให้เฉินหลงอีกห้าตำลึง“เฉินหลง นี่เป็นเงินอีกห้าตำลึง ข้าอยากให้เจ้าเอาไว้ซื้อวัตถุดิบดีๆ ทำอาหารให้ฉิงเฉิงกับฉิงหยาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณนายหญิงมากขอรับ ข้าจะดูแลคุณชายน้อยทั้งสองเป็นอย่างดี” เฉินหลงกล่าว
ก่อนที่หลินฉางหยูจะพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ หลินอ้ายได้พูดคุยกับหลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางอีกครั้ง นางกำชับให้ลูกชายทั้งสองดูแลตัวเองให้ดี เชื่อฟังบ่าวที่จวน และตั้งใจเรียนหนังสือ“ฉิงเฉิง ฉิงหยาง เจ้าทั้งสองดูแลตัวเองด้วยนะ เชื่อฟังเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ ตั้งใจเรียนหนังสือ และอย่าดื้อรั้น” หลินอ้ายกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเด็กชายทั้งสองรับปากผู้เป็นแม่ พวกเขารู้ว่าแม่เป็นห่วงพวกเขามาก และพวกเขาจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง“ขอรับ ท่านแม่ พวกเราจะดูแลตัวเองให้ดี” เด็กชายทั้งสองตอบพร้อมกันหลังจากนั้น หลินฉางหยูจึงพาหลินอ้ายและหลินฉิงอันขึ้นเกวียนลาเพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านต้าไห่ ทิ้งให้หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอำเภอหลังจากที่หลินฉางหยู หลินอ้าย และหลินฉิงอันกลับไปแล้ว หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางไม่ได้สั่งการอะไรกับเฉินหลงเพิ่มเติม พวกเขาเพียงแค่ขอบคุณเฉินหลงและบ่าวคนอื่นๆ
หลังจากที่จัดการเรื่องบ้านและทาสเรียบร้อยแล้ว หลินฉางหยูได้พาหลินอ้ายไปยังตลาดในอำเภอเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเตรียมไว้ให้บ่าวที่ต้องดูแลจวนใหม่ พวกเขาซื้อข้าวสาร ผักสด เนื้อสัตว์ เครื่องปรุงรส และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับหลายวันหลินอ้ายเลือกซื้อของอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นของคุณภาพดีและราคาเหมาะสม นางคิดถึงบ่าวทั้งสี่คนที่ต้องดูแลจวนในอำเภอ และอยากให้พวกเขาได้รับประทานอาหารที่ดีเมื่อซื้อของเสร็จเรียบร้อย หลินอ้ายจึงเรียกเฉินหลงซึ่งเป็นหัวหน้าบ่าวที่จวนใหม่มาพบ นางได้มอบเงินให้เฉินหลงจำนวนห้าตำลึง เพื่อให้เขาใช้จ่ายซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นอื่นๆ ในระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่“เฉินหลง นี่เป็นเงินจำนวนห้าตำลึง เจ้าเก็บรักษาไว้ให้ดี และใช้จ่ายอย่างประหยัด ซื้ออาหารและสิ่งของที่จำเป็นสำหรับทุกคนในจวน” หลินอ้ายกล่าวพร้อมยื่นถุงเงินให้เฉินหลงเฉินหลงรับถุงเงินมาด้วยความเคารพและกล่าวขอบคุณ“ขอบคุณ
หลินฉางหยูเห็นท่าทีของทาสทั้งหมดแล้วก็หันหน้าไปหาหลินอ้ายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เขาพอใจมากที่ได้คนมีความสามารถหลากหลาย พวกเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่เป็นเพียงชาวบ้านหาเช้ากินค่ำ พวกเขาไม่คิดจะข่มเหงทาสพวกนี้สักนิด ขอเพียงพวกเขาตั้งใจทำงานให้ครอบครัวหลินก็เพียงพอแล้วเด็กชายทั้งสองได้แต่มองทาสทั้งแปดอย่างอยากรู้อยากเห็น ส่วนหลินฉิงอันที่เคยผ่านโลกมาตั้งแต่ภพก่อนไม่ได้รู้สึกอันใดมากนัก นางเพียงรอดูว่าคนเหล่านี้เหมาะที่จะใช้งานหรือไม่เท่านั้น เพราะนางยังมีวิธีการช่วยครอบครัวหาเงินได้อีกมาก ถ้าพวกเขาเชื่อใจได้และซื่อสัตย์จริง ๆ นางก็จะมอบงานที่ดีให้กับพวกเขาในอนาคตเองไม่นานนักผู้ดูแลก็นำสัญญาขายตัวและเงินทอน 15 ตำลึง มามอบให้หลินฉางหยู ระหว่างที่หลินฉางหยูพาทุกคนเดินออกจากโรงค้าทาส เขากระซิบกับภรรยาเสียงเบา“ฮูหยิน เจ้าว่าเราควรซื้อสิ่งใดให้พวกเขาก่อนดี”“ท่านพี่อย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ เราไปหาซื้อที่นอนกับเสื้อผ้าให้พวกเขาเสียก่อน ไหนจะพวกวัตถุดิบทำ
เมื่อทุกคนไปถึงอำเภอ หลินฉางหยูก็เข้าไปทำเรื่องซื้อขายโดยรับตั๋วแลกเงินจากหลินอ้ายไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนคนอื่น ๆ ต่างรอเขาที่ห้องโถงรับแขก ไม่นานนักหลินฉางหยูก็ถือโฉนดพร้อมกับกุญแจของจวนพวงใหญ่ออกมาพร้อมเจ้าหน้าที่หลินฉางหยูส่งโฉนดให้หลินอ้ายเก็บเอาไว้ ส่วนเขาถือกุญแจที่หนักไม่น้อยด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่บอกทางหลินฉางหยูให้ขับเกวียนไปยังถนนฝั่งตะวันตกซึ่งมีโรงค้าทาสของทางการอยู่เมื่อไปถึงด้านหน้า พวกเขาก็พบกับผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นำทาสมาขายหรือซื้อทาสไปเดินผ่านไปมาไม่น้อย“เจ้านำเกวียนลาไปจอดด้านนั้นก่อน ข้าจะให้คนงานดูแลให้ แล้วเราค่อยเข้าไปด้านในด้วยกัน” เจ้าหน้าที่บอกกับหลินฉางหยู“ขอรับ”หลินอ้ายและเด็ก ๆ ต่างมองเห็นทาสที่ถูกนำมาขายและซื้อไปก็นึกเวทนาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ละคนสภาพไม่ต่างจากขอทานสักนิด ไม่รู้ว่าหากพวกเขาซื้อไปแล้วทาสเหล่านั้นจะสามารถทำงานให้ได้หรือไม่ ทั้งสี่คนได้แต่ถอนหายใจกับภาพที่เ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ลองทบทวนดูอีกครั้งดีไหมเจ้าคะ ข้าคิดว่าการซื้อทาสเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ อย่างไรข้ากับท่านพ่อยังต้องทำงานหาเงิน ส่วนท่านแม่ก็ต้องดูแลบ้าน ตอนนี้น้อง ๆ อายุจะ 10 ขวบแล้ว หากพวกเขาสามารถดูแลตัวเองและดูแลทาสได้ ในอนาคตหากพวกเขาสอบได้ขุนนาง พวกเขาจะต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอีกมากมายนัก การฝึกฝนพวกเขาเสียแต่ตอนนี้ ข้าคิดว่าดีแล้วเจ้าค่ะ”“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ ข้ากับน้องดูแลตัวเองได้แล้วขอรับ หากพี่ใหญ่ซื้อทาสให้พวกเราก็ดีไม่น้อย อย่างไรข้ากับน้องก็ฝึกวรยุทธ์กับพี่ชายเหิงมาตลอด ข้าคิดว่าพวกข้าสองคนจะเอาตัวรอดได้ขอรับ” หลินฉิงเฉิงพูดด้วยแววตาจริงจัง“ข้าเห็นด้วยกับพี่รองขอรับ ท่านพ่อ ท่านแม่อย่าได้กังวลเลยนะขอรับ หากพวกท่านเป็นห่วงพวกเรา พวกท่านแค่แวะไปเยี่ยมเราที่อำเภอก็ได้แล้วขอรับ” หลินฉิงหยางพูดสนับสนุนพี่ชายและพี่สาวอีกแรงหนึ่งหลินฉางหยูกับหลินอ้ายหันมองกันอย่างจนใจ แต่ในเมื่อพวกเขาพี่น้องต่างเชื่อมั่นในกันและกันเช่นนี้ พ
ชีวิตของตระกูลหลินกลับมาดำเนินไปตามปกติ หลินฉางหยูและหลินฉิงอันยังคงขึ้นเขาไปจับปลาและนำมาพักไว้ในบ่อก่อนที่จะนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถังเช่นเคย กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ช่วยให้พวกเขามีรายได้เลี้ยงดูครอบครัววันหนึ่ง ขณะที่สองพ่อลูกกำลังเตรียมปลาเพื่อนำไปส่งที่โรงเตี๊ยมไห่ถัง หลินฉิงอันก็เอ่ยขึ้นด้วยความคิดที่อยู่ในใจมาสักพัก“ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ข้าอยากจะพาน้องชายทั้งสองไปอำเภอด้วย” หลินฉิงอันกล่าว“ไปอำเภอหรือ? มีธุระอันใดหรือ อันเออร์?” หลินฉางหยูถามด้วยความสงสัย“ข้าอยากจะพาน้องๆ ไปสมัครเรียนที่สำนักศึกษาในอำเภอเจ้าค่ะ พวกเขาโตพอที่จะเริ่มเรียนหนังสือได้แล้ว” หลินฉิงอันอธิบายหลินฉางหยูพยักหน้าเห็นด้วย เขาเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับลูกชายทั้งสอง และเขาก็อยากจะให้ลูกๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้เมื่อหลินอ้ายได้ยินว่าหลินฉิงอันจะพาน้องชายทั้งสองไปสมัครเรียนที่อำเภอ
ผู้ใหญ่บ้านหลี่กล่าวอวยพรให้ลูกหลานทุกคนมีความสุข สุขภาพแข็งแรง และประสบความสำเร็จในชีวิต ลูกหลานก็อวยพรให้ผู้ใหญ่บ้านหลี่และภรรยามีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกหลานไปนานๆเสียงหัวเราะและรอยยิ้มดังขึ้นเป็นระยะ บ่งบอกถึงความสุขและความอบอุ่นที่อยู่ในครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านหลี่ แม้ว่าผู้ใหญ่บ้านหลี่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของเขา แต่เขาก็ยังคงนึกถึงตระกูลหลินและสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อหมู่บ้าน เขาคิดถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของตระกูลหลินที่ได้ช่วยเหลือเหิงจิ้งกั๋วและองครักษ์ของเขา รวมถึงการสร้างห้องเก็บของและการสนับสนุนชาวบ้านในการขายเกาลัดคั่ว ผู้ใหญ่บ้านหลี่รู้สึกขอบคุณตระกูลหลินที่ได้นำความเจริญและความสุขมาสู่หมู่บ้านต้าไห่บรรยากาศในวันปีใหม่ของหมู่บ้านต้าไห่จึงเต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น และความหวัง ทุกคนต่างเริ่มต้นปีใหม่ด้วยจิตใจที่เบิกบานและมีความหวังในอนาคตที่ดีเมื่อเทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หิมะยังคงโปรยปรายลงมาเป็น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวได้มาเยือนอย่างเต็มตัว หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาปกคลุมทั่วผืนดิน บรรยากาศหนาวเย็นแผ่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง แต่ชีวิตในหมู่บ้านต้าไห่ยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าหนาวแล้ว แต่ตระกูลหลินยังคงต้องเดินทางไปส่งปลาและถั่วงอกที่โรงเตี๊ยมไห่ถังตามปกติ พวกเขายังเหลือปลาที่ต้องส่งอีกเจ็ดรอบ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอที่จะทำให้พวกเขาตัดสินใจฝ่าความหนาวเย็นเดินทางไปส่งสินค้าและรับเงินจากเถ้าแก่หลิวหลินฉางหยูและหลินฉิงอันเตรียมตัวสำหรับการเดินทางอย่างรอบคอบ พวกเขาสวมเสื้อผ้าหนาๆ หลายชั้น เพื่อป้องกันความหนาวเย็น หลินฉิงอันมีความกังวลเกี่ยวกับลาของพวกเขาที่ต้องเดินทางในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ นางกลัวว่าลาจะหนาวสั่นและเจ็บเท้า นางจึงขอให้หลินอ้ายช่วยเย็บถุงเท้าหนาๆ ให้กับลา โดยใช้วัสดุจากหนังสัตว์เก่าๆ ที่เก็บไว้ในบ้าน“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าอยากจะขอให้ท่านแม่ช่วยเย็บถุงเท้าให้กับลาหน่อยเจ้าค่ะ อากาศหนาวเช่นนี้ ข้ากลัวว่ามันจะเจ็บเท้า” หลินฉิงอันกล่าว