ไป๋ถังไม่รู้ว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นยังคงรอจับผิดเธออยู่ตรงที่เดิม หญิงสาวเดินกลับบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ยิ่งเดินก็ยิ่งหงุดหงิด!
นี่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงชั่วช้า และมีสามีแสนขี้เกียจ ช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาโดยแท้!
สามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้สนใจลูกชายฝาแฝดเลยสักคน ปล่อยให้พวกเขาหิวจนแทะเปลือกไม้กิน ฝ่ายแม่แต่งตัวสวยเพื่อไปยั่วยวนผู้ชายคนอื่น ฝ่ายพ่อจนพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัว ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมาจากที่นอน
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ ความโกรธของไป๋ถังก็มาถึงขีดสุด เธอก้มลงมองไปที่พื้น มองหาหินก้อนใหญ่แล้วหยิบมันขึ้นมา จากนั้นเดินตรงเข้าไปในบ้านหลังคามุงหญ้าอันเก่าโทรม
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน เนื่องจากประตูห้องเปิดอยู่ หญิงสาวจึงเห็นสามีของร่างเดิมนอนแผ่อยู่บนเตียง เพราะอากาศร้อน เขาจึงสวมเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น ที่มุมปากมีน้ำลายไหลออกมา บ่งบอกว่าเขากำลังนอนหลับอย่างสนิทและสบายใจยิ่งนัก
ไป๋ถังแสยะยิ้มที่ตรงมุมปาก เธอกระชับก้อนหินในมือ แล้วเดินเข้าไปบีบคอของผู้ชายคนนั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างยกก้อนหินขึ้นไปอยู่เหนือขาที่สามของเขา “รีบลุกขึ้น แล้วออกไปทำงานรับคะแนนซะ ไม่อย่างนั้นขาที่สามของนายได้เละแน่!”
ตอนนี้ลู่หยางไม่ใช่ลู่หยางคนเดิมอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเจ้าของร่างนอนหลับจนไหลตาย ลู่หยางที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษจึงเข้ามาแทนที่ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขายังนอนหลับสนิท เนื่องจากเขาเพิ่งจับสายลับข้ามชาติที่หนีเข้าป่ามาหลายวัน ร่างกายจึงอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก หลังเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้เขาจึงผล็อยหลับไป เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนมีคนมาบีบคอของตนเองอยู่!
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ และคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสหายร่วมรบที่มากลั่นแกล้ง จึงตะคอกกลับไปอย่างหงุดหงิด “อย่ามากวน กูจะนอน!”
แต่อาการหายใจไม่ออกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังบีบคอเขาอยู่
ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร!
เขาถอยตัวหนีเพื่อรักษาระยะห่าง แต่ผู้หญิงคนนี้แข็งแรงมาก เธอดึงเขากลับมาอีกครั้ง!
ลู่หยางหรี่ตาของเขาลง “คุณเป็นใคร!”
โดยไม่รอให้หญิงสาวตอบ ลู่หยางผลักเธอออกไป จากนั้นก็เริ่มใช้หมัดในการโจมตีเธอ
ไป๋ถังตกตะลึง หญิงสาวไม่คิดว่าชายขี้เกียจคนนี้จะมีความว่องไวเช่นนี้
ไม่มีทางเป็นไปได้!
เธอรีบถอยหลังเพื่อหลบกำปั้นของเขา แต่ปากก็ยังพูดจากวนโมโห “ฉันคือบรรพบุรุษของนายไงละ!”
“เหอะ! อย่างเธอเนี่ยนะ”ลู่หยางตะคอกกลับ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ผู้หญิงตรงหน้ามีเจตนาที่จะฆ่าเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นขอให้จับอีกฝ่ายได้ก่อนแล้วค่อยเค้นสอบก็แล้วกัน
ชายหนุ่มกระโดดลงจากเตียงและเริ่มโจมตีไป๋ถังอย่างแรง เขาเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งจากกองทัพ และในด้านทักษะการต่อสู้เขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อน!
ไป๋ถังหลบหลีกเขาอย่างช่ำชอง ปลายเท้าของเธอเกี่ยวเก้าอี้ตัวเล็กข้างตัวขึ้นมา แล้วโยนเข้าไปใส่ผู้ชายตรงหน้า!
ชายหนุ่มเตะเก้าอี้ออกไป มันตกลงไปบนโต๊ะเตี้ยข้างๆ ทำให้เหยือกน้ำตกลงบนพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นๆ !
ที่ห้องฝั่งตรงข้ามเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากห้องของพ่อแม่ เด็กชายร่างผอมสองคนที่นอนอยู่ตื่นขึ้นทันที โดยปกติพวกเขาสองพี่น้องต้องนอนตื่นสายเพราะว่าการนอนหลับจะช่วยให้พวกเขาไม่หิว แต่ครั้งนี้พวกเขากลับสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมาจากห้องของพ่อกับแม่
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก และถามพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงเล็กๆ ที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม “พี่ชาย ดูเหมือนว่าพ่อแม่กำลังทะเลาะกัน เราจะทำยังไงดี”
“ไม่ใช่เรื่องของเรา...ปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกันไปเถอะ”ต้าเป่าพูดอย่างเฉยเมย
เสี่ยวเป่าถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “แล้วถ้าพ่อกับแม่ตีกันจนตายล่ะ”
ต้าเป่าอยากจะพูดออกไปว่าคงจะดี ถ้าพวกเขาตาย แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน
แม้ว่าพ่อกับแม่จะไม่ได้ใจดีกับพวกเขาทั้งคู่ แต่ลึกๆ ในใจของเด็กน้อย...ก็ไม่ได้อยากให้พวกเขาตาย
“พี่ชาย จะทำยังไงดี”เสี่ยวเป่ามักจะเชื่อฟังผู้เป็นพี่เสมอ
ทั้งสองเป็นฝาแฝดกัน และเกิดในเวลาต่างกันเพียงไม่กี่นาที แต่ต้าเป่าดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเสี่ยวเป่ามาก
ต้าเป่าเม้มปากและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ไปดูกันเถอะ ถ้าพวกเราสามารถเกลี่ยกล่อมไม่ให้ พ่อกับแม่ทะเลาะกันได้ก็ดีไป แต่ถ้าพวกเขาไม่หยุด เราก็ควรอยู่ห่างๆ มิฉะนั้นพวกเราก็จะโดนลูกหลงไปด้วย”
“อืม”เสี่ยวเป่าเช็ดน้ำตาของเขา แล้วค่อย ๆ ขยับตัวลงมาจากเตียง เด็กน้อยทั้งสองสวมรองเท้าผ้าขนาดเล็กที่มีรูขาด แล้วจูงมือพากันวิ่งไปที่ประตูห้องตรงข้าม
ไป๋ถังและลู่หยางได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ตู้เสื้อผ้าในห้องล้มระเนระนาด โต๊ะกินข้าวขาหักไปข้างหนึ่ง แจกันแตกกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น ในห้องตอนนี้ดูเหมือนกับเพิ่งเกิดสงคราม!
ต้าเป่า และเสี่ยวเป่าแอบมองที่ประตูห้องด้วยความตกใจ ทำไมจู่ๆ พ่อกับแม่ถึงทะเลาะกันรุนแรงขนาดนี้
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองต่อสู้กัน พ่อแม่ของพวกเขาแข็งแรงมากขนาดนี้เชียวหรือ
ในยุคที่ขาดข้อมูลข่าวสาร แม้ว่าต้าเป่าจะเป็นเด็กที่ฉลาดมากแค่ไหน เขาก็คาดไม่ถึงว่าพ่อกับแม่ของตน ในเวลานี้ถูกคนอื่นมายึดร่างไปแล้ว!
พวกเขาทั้งคู่มองดูพ่อกับแม่ทะเลาะกันด้วยความกังวล ดวงตาสีดำของเด็กน้อยทั้งสอง จ้องมองด้วยความเป็นห่วง
เมื่อพวกเขาเห็นว่าเท้าของแม่กำลังจะเตะก้านคอของพ่อ เด็กน้อยทั้งสองก็ปิดปากและจมูกด้วยความกลัว
เมื่อเห็นพ่อใช้แขนข้างเดียวกั้นเท้าแม่เอาไว้ จากนั้นมืออีกข้างของพ่อก็กำหมัดจะเข้าไปชกที่หน้าของแม่!
เด็กน้อยทั้งสองก็ปิดตาและแอบมองผ่านนิ้วน้อยๆ ของพวกเขา...แต่โชคดีที่ครั้งนี้พ่อไม่ได้ต่อยหน้าแม่ เด็กน้อยทั้งสองถอนหายใจอย่างโล่งอก!
แต่พวกเขายังคงต่อสู้กันอยู่ ต้าเป่าและเสี่ยวเป่ากลัวว่า หากพวกเขาสู้กันต่อไป หนึ่งในนั้นอาจจะตายจริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงตะโกนห้ามออกไป “พ่อ แม่ อย่าทะเลาะกันอีกเลย!”
ในขณะเดียวกันไป๋ถังและลู่หยาง ผู้ซึ่งกำลังเหวี่ยงหมัดเตะขาใส่คู่ต่อสู้ พวกเขาหยุดชะงักอย่างกะทันหันและมองไปที่ประตูโดยพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเห็นใบหน้าผอมบางและดูสกปรกของเด็กน้อยทั้งสองที่หน้าตาดูคล้ายกัน ลู่หยางก็ถามด้วยความตกใจ “พวกหนูเป็นใคร”
เสี่ยวเป่าไม่คาดคิดว่าพ่อของเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักตนเอง ด้วยความอ่อนไหวเด็กน้อยจึงร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นน้องชายร้องต้าเป่าก็ร้องไห้ตามกันไปด้วย
ลู่หยางไม่คาดคิดว่าคำถามง่ายๆ ของเขาจะทำให้เด็กร้องไห้ ชายหนุ่มเป็นทหาร และเขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเด็กได้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปอุ้มเด็กน้อยเพื่อปลอบโยน
ไป๋ถังรู้จากความทรงจำว่าเด็กทั้งสองเกิดจากร่างกายนี้ของเธอ หญิงสาวจึงรีบเข้าไปปลอบโยนเด็กทั้งสองเช่นกัน
เธอและลู่หยางต่างเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาข้างละคน หลังจากเกลี้ยกล่อมเด็ก ๆ ให้หยุดร้องไห้ไป๋ถังกับลู่หยางก็สงบสติอารมณ์ลงได้
ตอนนี้ลู่หยางได้สืบทอดความทรงจำของร่างกายเดิมมาแล้ว หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มองไปที่หญิงสาวฝั่งตรงข้าม
ไป๋ถังสบตากับอีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ หลังจากนั้นทั้งคู่ต่างก็ถามออกมาพร้อมกัน “คุณก็ทะลุมิติมาเหมือนกันใช่ไหม!”
หลังจากที่ไป๋ถังสงบสติอารมณ์ลง เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสามีจอมขี้เกียจของร่างเดิม เนื่องจากโดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่เอาแต่นอนทั้งวัน จะมีทักษะในการต่อสู้อย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ได้อย่างไรดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีวิญญาณจากที่อื่นมาแทนที่ด้วยเช่นกัน เธอจึงถามออกไปว่าเขาทะลุมิติมาเหมือนกันใช่ไหมแล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อีกฝ่ายก็เหมือนกันกับเธอ!ไป๋ถังหัวเราะ รู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าตื่นเต้นขึ้นทุกที เธอพูดกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เรามาคุยกันหน่อยไหม “ลู่หยางมองผู้หญิงตรงหน้าที่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เมื่อสักครู่เธอยังอยากจะฆ่าเขา แต่ตอนนี้กลับยิ้มให้อย่างสบายๆผู้หญิงคนนี้...ช่างแปลกประหลาดจริงๆ“แล้วเด็กสองคนนี้ล่ะ “ลู่หยางมองเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขาสองพี่น้องซบอยู่ที่อกของพ่อกับแม่ มีน้ำมูกไหลออกมาจากรูจมูกของพวกเขาและมันกำลังจะไหลเข้าไปในปาก ไป๋ถังเห็นแล้วก็รีบตะโกน “เร็วๆ เอากระดาษมาเช็ดน้ำมูกของพวกเขาก่อน”“ดูเหมือนว่าจะใช้หมดไปเมื่อสองสามวันก่อนและพวกเราก็ไม่มีเงินซื้อมัน”ลู่หยางนึกถึงความทรงจำของร่างเดิมไป๋ถังนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เธอก
ต้าเป่าคิดว่าพ่อกับแม่ต้องวางแผนบางอย่างเกี่ยวกับเขาและน้องชายอย่างแน่นอน ต่อไปเขาจะต้องปกป้องน้องชายและระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นลู่หยางเข้าใจสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมา เขาเองก็อยากจะต่อยหน้าเจ้าของร่างเดิมเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบและใจดำเป็นที่สุดถ้าเป็นเขาเมื่อได้แต่งงานมีลูกและภรรยาแล้ว ต่อให้จะต้องขายไตหรือเลือดเขาก็จะไม่ยอมให้ครอบครัวของตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอนยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกับชีวิตของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทั้งสองที่ไร้เดียงสาลู่หยางลูบหัวของเด็กชายฝาแฝดทั้งสองและให้คำสัญญา “ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วนะต่อไปพ่อจะดูแลพวกลูกอย่างดีแน่นอน”ในเวลานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลเด็กทั้งสองคนนี้ไป๋ถังฟังคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็คิดว่าวิญญาณที่เข้ามาแทนที่คนนี้เป็นคนจิตใจดีมากทีเดียว“ลูกหิวไหม”ไป๋ถังลูบหลังของ เสี่ยวเป่า และพบว่าร่างกายของเขามีแต่กระดูกและผอมมาก ดูเหมือนสิ่งแรกที่เธอควรทำในฐานะแม่คือต้องป้อนอาหารให้กับลูกทั้งสองเสียก่อนเสี่ยวเป่าลูบท้องแบนๆ ของตนแล้วและพยักหน้า “เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”เขาและพี่ชายกินแตงกวาที่แม่เฒ่าในหม
ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไ
ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไป
ลุงของลู่หยางชื่อว่าลู่ฮุ่ย แต่ก่อนที่บิดาของเขายังอยู่ ครอบครัวทั้งคู่ยังคงสนิทสนมกันดี แต่เมื่อไม่มีบิดาของลู่หยาง ลุงคนนี้ก็ไม่ได้สนใจใยดีหลานชายคนนี้อีกชายหนุ่มเสี่ยงดวงลองเคาะประตูบ้านของลุงดู หลังจากรออยู่ไม่นานหลี่กุ้ยหลันผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ออกมาเปิดประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นลู่หยาง ใบหน้าของเธอก็แสดงความรังเกียจออกมา “แกมาทำไม!”นอกจากสีหน้าที่ไม่ชื่นชอบแล้วน้ำเสียงของป้าสะใภ้ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงลู่หยางรู้สึกอายเล็กน้อย ชาติก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นเขาเขาพยายามยิ้มให้กับป้าสะใภ้ของร่างเดิม “ป้าสะใภ้ คือ... ผมขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารที่บ้าน และลูกทั้งสองของผมก็หิวมาก ป้าสะใภ้พอจะให้ผมยืมอาหารก่อนได้ไหม ผมจะรีบจ่ายคืนให้ทันทีหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง”“ให้แกยืมอาหารงั้นรึ”หลี่กุ้ยหลันหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ลู่หยาง แกมาขอยืมแล้วเคยคืนด้วยเหรอ... หลังจากพ่อของแกตาย ฉันเคยให้ยืมอาหารไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร สุดท้ายแ
ไป๋ถังและลู่หยางเดินควงแขนกันลงมาตามทางลาด จนเมื่อพ้นจากบริเวณสายตาของพวกป้าสะใภ้ ท่าทีที่สนิทสนมคลอเคลียกันเมื่อสักครู่ของพวกเขาก็หยุดชะงัก ทั้งสองต่างรีบแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็วลู่หยางกระแอมในลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ผมขอโทษที่สัมผัสตัวคุณ เมื่อสักครู่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “ไป๋ถังโบกมืออย่างโดยไม่ถือสาอะไร “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”เธอมองกลับไปที่บ้านลุงของลู่หยางแล้วจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางเสียใจ “แน่นอนว่าความสัมพันธ์พวกเราไม่ดี เรายืมอาหารใครไม่ได้เลย ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่นะ คุณมีแผนที่จะเลี้ยงดูฉันและลูกๆ ยังไงคะ”ลู่หยางมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณดูจะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วจังเลยนะครับ”ไป๋ถังยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบกลับมา “สถานการณ์ตอนนี้มันบังคับให้ฉันต้องปรับตัวนี่คะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”ไป๋ถังกุมท้องแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นถนน หญิงสาวเงยหน้ามองไปที่ลู่หยางด้วยท่าทางน่าสงสาร “สามีคะ โปรดหาอาหารมาเติมกระเพาะให้ฉันด้วย”“คุณเรียกผมว่าสามีได้คล่องปากเชียวนะ”ลู่หยางรู้สึกว่ายิ่งเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์
ระหว่างทางที่ไป๋ถังกำลังเดินกลับบ้าน จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกเธอขึ้นมา “นี่ เสี่ยวไป๋ มาดื่มกับพี่ชายไหมจ๊ะ”เสี่ยวไป๋?นี่เขาเรียกเธออย่างนั้นหรือไป๋ถังหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอพบกับใบหน้าซูบผอมของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนมองเธอมาจากข้างในบ้าน ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความลามก หญิงสาวกำหมัดแน่นแต่ใบหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใสดีมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนต้องเสียอาหารให้เธอแล้ว!จากความทรงจำของร่างเดิม ชายคนนี้มีชื่อว่าจางตู้ เขาเป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยแต่งงาน เพราะด้วยนิสัยของเขาบวกกับหน้าตาและฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับเขาเพราะเขาไม่ได้แต่งภรรยา เงินที่หามาได้จึงใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เขามักซื้อเหล้ามาดื่ม เวลาเมาจะชอบไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้านและหยอกล้อผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา ทุกคนเกลียดเขามากและขอให้หัวหน้าหมู่บ้าน ไปตักเตือนเขาแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จางตู้มักจะแค่พูดจาลวนลามเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวใคร พฤติกรรมของเขาเพียงสร้างความรำคาญ ท้ายที่สุดผู้คนจึงทำได้เพียงเดินหนีให้ห่างเวลาที
ลู่หยางรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย เขามีภรรยาที่เป็นโจรอาศัยอยู่ในบ้าน ในฐานะทหารเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หลังจากเงียบไปสักครู่ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วคุณมียานเกราะใช้ได้อย่างไร” “ก็ซื้อมาน่ะสิ...เราเป็นโจรสลัด แน่นอนว่าเราต้องมีกองกำลังทางทหารของเราเอง ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องถูกทหารอวกาศจับได้”ไป๋ถังพูดขึ้นมาแล้วก็นึกฉุนเฉียว “แต่ยานเกราะที่ซื้อมาครั้งนี้ไม่ได้คุณภาพ ฉันเลยทะลุมิติย้อนเวลามานานเกินไปมากเลยทีเดียว!”ลู่หยางคิดว่าเทคโนโลยีในภายภาคหน้าคงจะเจริญก้าวหน้ามาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีเงินถึงขนาดซื้อยานเกราะได้ คงจะปล้นสมบัติของคนอื่นไปไม่น้อย “คุณออกไป... ปล้นบ่อยไหม”ไป๋ถังเห็นสีหน้าของเขาก็รีบอธิบาย “คุณไม่ต้องกังวล ในอวกาศมีกลุ่มโจรสลัดอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่ได้เน้นปล้นชิงสมบัติ” “แล้วพวกคุณปล้นอะไร”คิ้วของลู่หยางขมวดแน่น ไป๋ถังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มองไปที่ลู่หยางอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากสีแดงขยับพูดอย่างช้าๆ “ปล้น...ผู้...ชาย” ”...”ลู่หยางถอนหายใจทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “คุณพูดจริงเหรอ” “จริงสิ…ม
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็
ตอนนี้พวกเขามีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของตัวเองแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดโรงงานพวกเขาต้องหาซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งโรงงานเสียก่อนพวกเขาทั้งคู่เดินทางเข้าเมืองหลวงโดยให้พ่อกับแม่มาคอยดูแลลูกฝาแฝดทั้งสอง เพราะการเดินทางโดยรถไฟในสมัยนี้ค่อนข้างลำบาก“ต้าเป่า เสี่ยวเป่า เดี๋ยวพอกับแม่จะรีบกลับมาหานะ ตอนนี้อยู่กับคุณตาคุณยายไปก่อนนะครับ “ ลู่หยางลูบหัวลูกน้อยทั้งสองที่ทำตาละห้อย ยืนส่งพวกเขาที่หน้าบ้าน“พ่อกับแม่รีบกลับมานะครับ” เสี่ยวเป่าพูดกำชับด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ของเขา“แน่นอนจ้ะ แม่กับพ่อจะรีบกลับมา” ไป๋ถังให้สัญญากับลูกๆความเร็วของรถไฟในช่วงทศวรรษที่ 1980 อยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากอำเภอที่พวกเขาอาศัยไปยังเมืองหลวง ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง รถไฟจะออกในเวลาเที่ยงคืนของทุกวันและจะไปถึงเมืองหลวงในตอนเที่ยงของอีกวันถัดมาสถานีรถไฟ เต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการจะเดินทางไปยังเมืองหลวง ดังนั้นที่นี้จึงมักแออัดและมีเสียงพูดคุยของชาวบ้านดังอื้ออึงแม้ว่าอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะไม่ค่อยร้อน แต่เป็นเพราะมีคนเป็นจำนวนมากเกินไป อากาศในสถานีรถไฟจึงถ่ายเทได้ไม่เต็มที่ มันเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไ
แบบเสื้อผ้าที่ลู่หยางได้ขายให้กับโรงงานของเจียงชิง ได้ราคามาสี่พันหยวน ส่วนรายได้จากส่วนแบ่งสี่เปอร์เซ็นจะถูกคำนวณอีกครั้งในตอนสิ้นเดือน ไป๋ถังลองไปเดินสำรวจร้านค้าก็เห็นว่ารูปแบบเสื้อผ้าของลู่หยางได้รับความนิยมมาก รายได้ตอนสิ้นเดือนที่คำนวณออกมาพวกเขาจะต้องได้ไม่น้อยแน่“ไม่น่าเชื่อนะคะว่า เสื้อผ้าในยุคนี้จะขายดีมากขนาดนี้” ไป๋ถังพูดขึ้นมา“ยุคนี้เป็นช่วงเฟื่องฟูของกิจการเสื้อผ้าครับ เราจะกอบโกยได้ในเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้เท่านั้น ในอนาคตก็จะมีหลายโรงงานผุดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ด คู่แข่งทางการค้าก็จะมีมาก ส่วนแบ่งทางการตลาดก็จะมากขึ้นไปด้วย”“แต่คงอีกนานเลยเราถึงจะก็มีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของเราเอง”การเปิดโรงงานต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำอย่างน้อยหมื่นหยวน ทั้งซื้อที่ดินตั้งโรงงาน ซื้อจักรเย็บผ้าและจ้างคน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายรออยู่มหาศาล ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ขายแบบเสื้อผ้าและรอเก็บเงินแบ่งเปอร์เซ็นต์จากทางโรงงาน ช่วงเวลาว่าง ๆ จากการขายเสื้อผ้าที่แผงลอย ไป๋ถังจะไปรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้าน วันนี้ป้าซูในซอยข้างบ้านมาขอให้เธอซ่อมวิทยุให้เวลานี้เป็นเวลาตอนเย็นที่หลายบ้านกำลั
เมื่อไป๋ถังตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เธอนวดเอวที่ปวดเมื่อยไปหมด ส่วนกลางกายยังคงมีอาการเจ็บอยู่เล็กน้อย บ่งบอกว่าเมื่อคืนพวกเขาทั้งคู่ร้อนแรงกันขนาดไหนข้างกายของเธอว่างเปล่า เพราะลู่หยางตื่นขึ้นนานแล้ว วันนี้เขาวางแผนที่จะเข้าอำเภอ เพื่อไปคืนจักรยานและสอบถามผู้อำนวยการจาง ถึงเรื่องที่จะหาบ้านเช่าในอำเภอให้ได้หรือไม่ไป๋ถังเดินออกจากห้อง เธอเห็นชายหนุ่มกำลังต้มโจ๊กอยู่หน้าเตา หญิงสาวจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้ม และกอดเขาจากด้านหลัง“รู้สึกเพลียไหมครับ” ลู่หยางเอี้ยวตัวมาหอมแก้มเธอเช่นกัน“นิดหน่อยค่ะ”เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ทางกาย การแตะเนื้อต้องตัวก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้รู้สึกเคอะเขินซึ่งกันและกันเช้าวันนี้ลู่หยางปั่นจักรยานเข้าอำเภอ ไปหาผู้จัดการจางที่โรงงาน เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่าได้หาบ้านเช่าให้กับลู่หยางได้แล้ว จากนั้นก็ให้ต้าจวงพาลู่หยางไปดูบ้านชายหนุ่มมองบ้านหลังสีขาวที่ดูเรียบง่ายก็รู้สึกพึงพอใจ ประกอบกับราคาค่าเช่าต่อเดือนก็ไม่แพงมาก เจ้าของบ้านคิดเพียง 4 หยวนต่อเดือนเท่านั้น แต่ชายหนุ่มต้องพาภรรยามาดูตัวบ้านเสียก่อนถึงจะตัดสินใจได้ ซึ่งผู้จัดการจางก็ให้เขายืมรถไ