ต้าเป่าคิดว่าพ่อกับแม่ต้องวางแผนบางอย่างเกี่ยวกับเขาและน้องชายอย่างแน่นอน ต่อไปเขาจะต้องปกป้องน้องชายและระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น
ลู่หยางเข้าใจสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมา เขาเองก็อยากจะต่อยหน้าเจ้าของร่างเดิมเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบและใจดำเป็นที่สุด
ถ้าเป็นเขาเมื่อได้แต่งงานมีลูกและภรรยาแล้ว ต่อให้จะต้องขายไตหรือเลือดเขาก็จะไม่ยอมให้ครอบครัวของตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอน
ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกับชีวิตของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทั้งสองที่ไร้เดียงสา
ลู่หยางลูบหัวของเด็กชายฝาแฝดทั้งสองและให้คำสัญญา “ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วนะต่อไปพ่อจะดูแลพวกลูกอย่างดีแน่นอน”ในเวลานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลเด็กทั้งสองคนนี้
ไป๋ถังฟังคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็คิดว่าวิญญาณที่เข้ามาแทนที่คนนี้เป็นคนจิตใจดีมากทีเดียว
“ลูกหิวไหม”ไป๋ถังลูบหลังของ เสี่ยวเป่า และพบว่าร่างกายของเขามีแต่กระดูกและผอมมาก ดูเหมือนสิ่งแรกที่เธอควรทำในฐานะแม่คือต้องป้อนอาหารให้กับลูกทั้งสองเสียก่อน
เสี่ยวเป่าลูบท้องแบนๆ ของตนแล้วและพยักหน้า “เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”
เขาและพี่ชายกินแตงกวาที่แม่เฒ่าในหมู่บ้านให้มาเป็นอาหารกลางวัน พ่อแม่มักจะไม่หาอาหารให้พวกเขากิน เพื่อจะได้มีชีวิตพี่ชายจึงต้องไปขออาหารจากคนในหมู่บ้าน
“เด็กๆ หิวแล้ว”ไป๋ถังไม่เคยทำอาหาร เธอเป็นพวกทำลายล้างในห้องครัว ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินเด็กๆ บอกว่าหิว หญิงสาวก็มองไปที่ลู่หยางส่งสัญญาณให้เขาที่เป็นพ่อรีบไปทำอาหารมา
ลู่หยางไม่ได้โต้เถียง เพราะเขาทำอาหารเก่ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเดินไปในห้องเพื่อหาอาหารที่เจ้าของร่างเดิมซ่อนเอาไว้ เขาเดินไปรอบ ๆ และพบหมั่นโถวข้าวโพดเพียงสองก้อนเท่านั้น
ไป๋ถังตกตะลึง “มีเพียงเท่านี้หรือ”
เธอรู้ว่าประเทศจีนในยุคนี้ มีความขาดแคลนอาหารอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าจะขาดแคลนอาหารมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ามาตรการต่างๆ เริ่มผ่อนคลายแล้วหรอกหรือ ชาวบ้านเริ่มใช้เงินในการซื้ออาหารได้โดยไม่ต้องใช้ตั๋วและไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจับ
ลี่จูและชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูไม่ได้อดอยากมากขนาดนั้น แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ เพราะพวกเขาต่างขยันทำงานจึงได้รับส่วนแบ่งอาหารมาก แต่ครอบครัวนี้ทั้งสามีภรรยาต่างก็ขี้เกียจทำงาน และเงินทองก็ไม่มี จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะอดยาก
ลู่หยางมองหมั่นโถวสองก้อนในมือ แล้วถอนหายใจออกมา “มีเท่านี้แหละ”
เสี่ยวเป่าเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่ของเขาพูด และรู้ว่าที่บ้านมีเพียงหมั่นโถวข้าวโพดเพียงแค่สองชิ้น เด็กน้อยก้มหน้าลงลูบท้องที่กำลังหิวของตน เขาคิดว่าครั้งนี้คงไม่ได้กินแน่!
ลู่หยางเห็นท่าทีของเสี่ยวเป่า เขาก็รู้สึกเสียใจ เด็กตัวเล็กๆ เท่านี้ต้องมากังวลเรื่องอาหารการกิน มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน “เด็กโง่ พ่อกับแม่จะไม่ปล่อยให้พวกลูกต้องหิวแน่นอน รอหน่อยนะพ่อจะรีบไปอุ่นมาให้”
ชายหนุ่มจัดการก่อไฟต้มน้ำเพื่อนึ่งหมั่นโถว ให้กับลูกชายทั้งสอง หลังจากอุ่นหมั่นโถวจนร้อน เขานำมันใส่จาน แล้วเอาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าบ้านให้ลูกชายทั้งสองกิน
เด็กทั้งสองกัดหมั่นโถวเข้าปากแล้วกลืนมันลงไปอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย
ไป๋ถังเทน้ำต้มสุกให้พวกเขาดื่ม “ดื่มน้ำก่อน เดี๋ยวจะติดคอเอา “
เสี่ยวเป่ากินหมั่นโถวไปครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นอีกครึ่งไปให้แม่ของตน “แม่อยากกินไหม”
ไป๋ถังยิ้มให้กับเด็กน้อย “แม่ไม่กิน เสี่ยวเป่ากินเถอะ”
ต้าเป่าเมื่อเห็นน้องชายทำเช่นนั้น แม้เขาจะไม่เต็มใจแต่ก็ยังถามพ่อออกไป “พ่อ อยากกินไหม”
ขอร้องล่ะ พ่อต้องพูดว่าไม่กินนะ!
ต้าเป่าภาวนาอยู่ในใจ เพราะพ่อของเขาเป็นคนน่ากลัวมาก เด็กน้อยเคยเห็นพ่อยัดหมั่นโถวชิ้นใหญ่เข้าปากได้เพียงคำเดียว!
ลู่หยางไม่รู้ว่าลูกชายคนโตของครอบครัวคิดกับเขาเช่นไร แต่ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจมาก เพราะเด็กสองคนนี้ยังคงมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ แม้ว่าจะถูกกระทำอย่างรุนแรงก็ตาม
เขาลูบหัวต้าเป่าด้วยความอ่อนโยน “พ่อไม่หิว ลูกกินเถอะ”
ต้าเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบจัดการกับหมั่นโถวที่เหลือเข้าปากอย่างรวดเร็ว
เขาคิดว่าหลังจากได้กินอาหารดีๆ เช่นนี้ ไม่รู้ว่ามื้อต่อไปเขาจะยังได้กินอยู่ไหม
ท่าทางของพ่อกับแม่ ทำให้เขานึกหวาดกลัว เป็นอย่างมาก มีแม่เฒ่าในหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนที่พ่อแม่จะเอาลูกๆ ไปขาย พวกเขามักจะป้อนอาหารให้อิ่มก่อนเสมอ
หัวใจของต้าเป่ารู้สึกเจ็บปวด เขาก้มหน้าจิบน้ำในถ้วย โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพ่อกับแม่
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว ไป๋ถังก็ขยิบตาส่งสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องคุยกันแล้ว
ลู่หยางพยักหน้าบอกให้ ต้าเป่า และเสี่ยวเป่านั่งรออยู่ตรงนี้ ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องพร้อมกับไป๋ถัง
ในห้องยังคงระเกะระกะไปด้วยสิ่งของที่ทั้งสองคนทำพัง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะพวกเขากำลังให้ความสนใจกับหัวข้อที่กำลังจะสนทนามากกว่า
ไป๋ถังยื่นมือไปหาลู่หยางอย่างเป็นทางการ “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อไป๋ถังมาจากยุคอวกาศ แต่เพราะยานเกราะระเบิดก็เลยทะลุมิติเข้ามาอยู่ที่นี่”
“ยุคอวกาศ”ลู่หยางตะลึง “ยุคอวกาศที่มีแต่ในภาพยนตร์ไซไฟน่ะเหรอ”
ไป๋ถังเลิกคิ้ว “คุณมาจาก...”
ลู่หยางเคยปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายหลายครั้ง ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็ว
“สวัสดี ผมชื่อลู่หยาง มาจากศตวรรษที่ 21 เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ “
ดวงตาของไป๋ถังเป็นประกาย วิญญาณของอีกฝ่ายดูไม่เลวเลยทีเดียว เป็นถึงทหารจากหน่วยรบพิเศษ
รอยยิ้มของไป๋ถังสดใส ก่อนจะดึงมือของตนออกจากฝ่ามือของชายหนุ่ม “ดูเหมือนว่าคุณจะเป็นคนที่อายุใกล้เคียงกับคนในยุคนี้ แต่ในความคิดของฉันคุณก็ถือว่าเป็นคนในยุคโบราณเช่นกัน”
เมื่อลู่หยางได้ยินเช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ทะเลาะกัน ไป๋ถังบอกว่าเธอเป็นบรรพบุรุษของเขา
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้เปรียบจึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างยียวน “ดูเหมือนว่าผมจะเป็นบรรพบุรุษของคุณนะครับ”
ไป๋ถังยิ้มหวานตอบเช่นกัน “ถ้าอย่างนั้น...ฉันควรจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้คุณดีไหมคะ”
ลู่หยาง “...”ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไ
ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไป
ลุงของลู่หยางชื่อว่าลู่ฮุ่ย แต่ก่อนที่บิดาของเขายังอยู่ ครอบครัวทั้งคู่ยังคงสนิทสนมกันดี แต่เมื่อไม่มีบิดาของลู่หยาง ลุงคนนี้ก็ไม่ได้สนใจใยดีหลานชายคนนี้อีกชายหนุ่มเสี่ยงดวงลองเคาะประตูบ้านของลุงดู หลังจากรออยู่ไม่นานหลี่กุ้ยหลันผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ออกมาเปิดประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นลู่หยาง ใบหน้าของเธอก็แสดงความรังเกียจออกมา “แกมาทำไม!”นอกจากสีหน้าที่ไม่ชื่นชอบแล้วน้ำเสียงของป้าสะใภ้ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงลู่หยางรู้สึกอายเล็กน้อย ชาติก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นเขาเขาพยายามยิ้มให้กับป้าสะใภ้ของร่างเดิม “ป้าสะใภ้ คือ... ผมขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารที่บ้าน และลูกทั้งสองของผมก็หิวมาก ป้าสะใภ้พอจะให้ผมยืมอาหารก่อนได้ไหม ผมจะรีบจ่ายคืนให้ทันทีหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง”“ให้แกยืมอาหารงั้นรึ”หลี่กุ้ยหลันหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ลู่หยาง แกมาขอยืมแล้วเคยคืนด้วยเหรอ... หลังจากพ่อของแกตาย ฉันเคยให้ยืมอาหารไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร สุดท้ายแ
ไป๋ถังและลู่หยางเดินควงแขนกันลงมาตามทางลาด จนเมื่อพ้นจากบริเวณสายตาของพวกป้าสะใภ้ ท่าทีที่สนิทสนมคลอเคลียกันเมื่อสักครู่ของพวกเขาก็หยุดชะงัก ทั้งสองต่างรีบแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็วลู่หยางกระแอมในลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ผมขอโทษที่สัมผัสตัวคุณ เมื่อสักครู่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “ไป๋ถังโบกมืออย่างโดยไม่ถือสาอะไร “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”เธอมองกลับไปที่บ้านลุงของลู่หยางแล้วจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางเสียใจ “แน่นอนว่าความสัมพันธ์พวกเราไม่ดี เรายืมอาหารใครไม่ได้เลย ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่นะ คุณมีแผนที่จะเลี้ยงดูฉันและลูกๆ ยังไงคะ”ลู่หยางมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณดูจะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วจังเลยนะครับ”ไป๋ถังยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบกลับมา “สถานการณ์ตอนนี้มันบังคับให้ฉันต้องปรับตัวนี่คะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”ไป๋ถังกุมท้องแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นถนน หญิงสาวเงยหน้ามองไปที่ลู่หยางด้วยท่าทางน่าสงสาร “สามีคะ โปรดหาอาหารมาเติมกระเพาะให้ฉันด้วย”“คุณเรียกผมว่าสามีได้คล่องปากเชียวนะ”ลู่หยางรู้สึกว่ายิ่งเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์
ระหว่างทางที่ไป๋ถังกำลังเดินกลับบ้าน จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกเธอขึ้นมา “นี่ เสี่ยวไป๋ มาดื่มกับพี่ชายไหมจ๊ะ”เสี่ยวไป๋?นี่เขาเรียกเธออย่างนั้นหรือไป๋ถังหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอพบกับใบหน้าซูบผอมของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนมองเธอมาจากข้างในบ้าน ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความลามก หญิงสาวกำหมัดแน่นแต่ใบหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใสดีมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนต้องเสียอาหารให้เธอแล้ว!จากความทรงจำของร่างเดิม ชายคนนี้มีชื่อว่าจางตู้ เขาเป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยแต่งงาน เพราะด้วยนิสัยของเขาบวกกับหน้าตาและฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับเขาเพราะเขาไม่ได้แต่งภรรยา เงินที่หามาได้จึงใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เขามักซื้อเหล้ามาดื่ม เวลาเมาจะชอบไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้านและหยอกล้อผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา ทุกคนเกลียดเขามากและขอให้หัวหน้าหมู่บ้าน ไปตักเตือนเขาแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จางตู้มักจะแค่พูดจาลวนลามเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวใคร พฤติกรรมของเขาเพียงสร้างความรำคาญ ท้ายที่สุดผู้คนจึงทำได้เพียงเดินหนีให้ห่างเวลาที
ลู่หยางรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย เขามีภรรยาที่เป็นโจรอาศัยอยู่ในบ้าน ในฐานะทหารเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หลังจากเงียบไปสักครู่ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วคุณมียานเกราะใช้ได้อย่างไร” “ก็ซื้อมาน่ะสิ...เราเป็นโจรสลัด แน่นอนว่าเราต้องมีกองกำลังทางทหารของเราเอง ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องถูกทหารอวกาศจับได้”ไป๋ถังพูดขึ้นมาแล้วก็นึกฉุนเฉียว “แต่ยานเกราะที่ซื้อมาครั้งนี้ไม่ได้คุณภาพ ฉันเลยทะลุมิติย้อนเวลามานานเกินไปมากเลยทีเดียว!”ลู่หยางคิดว่าเทคโนโลยีในภายภาคหน้าคงจะเจริญก้าวหน้ามาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีเงินถึงขนาดซื้อยานเกราะได้ คงจะปล้นสมบัติของคนอื่นไปไม่น้อย “คุณออกไป... ปล้นบ่อยไหม”ไป๋ถังเห็นสีหน้าของเขาก็รีบอธิบาย “คุณไม่ต้องกังวล ในอวกาศมีกลุ่มโจรสลัดอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่ได้เน้นปล้นชิงสมบัติ” “แล้วพวกคุณปล้นอะไร”คิ้วของลู่หยางขมวดแน่น ไป๋ถังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มองไปที่ลู่หยางอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากสีแดงขยับพูดอย่างช้าๆ “ปล้น...ผู้...ชาย” ”...”ลู่หยางถอนหายใจทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “คุณพูดจริงเหรอ” “จริงสิ…ม
ลู่หยางยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูไป๋ถังเล่นกับเด็กอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เข้าไปรบกวนชายหนุ่มคิดว่าคนที่อ่อนโยนกับเด็กๆ คงไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ทั้งคู่ก็คงไม่มีทางกลับไปในโลกเดิมได้อีก พวกเขาจะมาระแวงกันเองก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเอาชีวิตรอดในยุคนี้ให้ได้! เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่หยางก็สลัดความคิดเกี่ยวกับตัวตนในโลกเดิมของไป๋ถัง ชายหนุ่มเอ่ยบอกหญิงสาวที่กำลังเล่นกับเด็กๆ “คุณเล่นกับลูกๆ ไปนะ ผมจะไปทำอาหารเย็นให้” “ได้เลยค่ะ” ไป๋ถังทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์โอเค เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไปทำอาหาร เธอก็ชี้ไปที่ถุงแป้งข้าวโพดและมันฝรั่ง “เอาแป้งข้าวโพดกับมันฝรั่งในถุงนั่นไปทำอาหารด้วยสิคะ จะได้มีกับข้าวเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง”ลู่หยางพยักหน้าและพูดกับลูกทั้งสอง “พ่อจะไปทำของอร่อยให้พวกลูกนะ” ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับ “ขอบคุณครับพ่อ”ลู่หยางใช้มือข้างที่ว่างลูบผมของเด็กน้อยทั้งสอง ด้วยความอ่อนโยน เด็กแฝดคู่นี้น่ารักและเชื่อฟัง พวกเขาไม่ส่งเสียงดังโวยวาย และรู้ความทุกอย่าง จึงทำให้เขาเอ็นดูสงสารมีความรู้สึกอยากจะเลี้ยงดูพวกเขามากขึ้นไปอีกชายหนุ่มหยิบ
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็
ตอนนี้พวกเขามีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของตัวเองแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดโรงงานพวกเขาต้องหาซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งโรงงานเสียก่อนพวกเขาทั้งคู่เดินทางเข้าเมืองหลวงโดยให้พ่อกับแม่มาคอยดูแลลูกฝาแฝดทั้งสอง เพราะการเดินทางโดยรถไฟในสมัยนี้ค่อนข้างลำบาก“ต้าเป่า เสี่ยวเป่า เดี๋ยวพอกับแม่จะรีบกลับมาหานะ ตอนนี้อยู่กับคุณตาคุณยายไปก่อนนะครับ “ ลู่หยางลูบหัวลูกน้อยทั้งสองที่ทำตาละห้อย ยืนส่งพวกเขาที่หน้าบ้าน“พ่อกับแม่รีบกลับมานะครับ” เสี่ยวเป่าพูดกำชับด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ของเขา“แน่นอนจ้ะ แม่กับพ่อจะรีบกลับมา” ไป๋ถังให้สัญญากับลูกๆความเร็วของรถไฟในช่วงทศวรรษที่ 1980 อยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากอำเภอที่พวกเขาอาศัยไปยังเมืองหลวง ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง รถไฟจะออกในเวลาเที่ยงคืนของทุกวันและจะไปถึงเมืองหลวงในตอนเที่ยงของอีกวันถัดมาสถานีรถไฟ เต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการจะเดินทางไปยังเมืองหลวง ดังนั้นที่นี้จึงมักแออัดและมีเสียงพูดคุยของชาวบ้านดังอื้ออึงแม้ว่าอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะไม่ค่อยร้อน แต่เป็นเพราะมีคนเป็นจำนวนมากเกินไป อากาศในสถานีรถไฟจึงถ่ายเทได้ไม่เต็มที่ มันเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไ
แบบเสื้อผ้าที่ลู่หยางได้ขายให้กับโรงงานของเจียงชิง ได้ราคามาสี่พันหยวน ส่วนรายได้จากส่วนแบ่งสี่เปอร์เซ็นจะถูกคำนวณอีกครั้งในตอนสิ้นเดือน ไป๋ถังลองไปเดินสำรวจร้านค้าก็เห็นว่ารูปแบบเสื้อผ้าของลู่หยางได้รับความนิยมมาก รายได้ตอนสิ้นเดือนที่คำนวณออกมาพวกเขาจะต้องได้ไม่น้อยแน่“ไม่น่าเชื่อนะคะว่า เสื้อผ้าในยุคนี้จะขายดีมากขนาดนี้” ไป๋ถังพูดขึ้นมา“ยุคนี้เป็นช่วงเฟื่องฟูของกิจการเสื้อผ้าครับ เราจะกอบโกยได้ในเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้เท่านั้น ในอนาคตก็จะมีหลายโรงงานผุดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ด คู่แข่งทางการค้าก็จะมีมาก ส่วนแบ่งทางการตลาดก็จะมากขึ้นไปด้วย”“แต่คงอีกนานเลยเราถึงจะก็มีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของเราเอง”การเปิดโรงงานต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำอย่างน้อยหมื่นหยวน ทั้งซื้อที่ดินตั้งโรงงาน ซื้อจักรเย็บผ้าและจ้างคน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายรออยู่มหาศาล ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ขายแบบเสื้อผ้าและรอเก็บเงินแบ่งเปอร์เซ็นต์จากทางโรงงาน ช่วงเวลาว่าง ๆ จากการขายเสื้อผ้าที่แผงลอย ไป๋ถังจะไปรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้าน วันนี้ป้าซูในซอยข้างบ้านมาขอให้เธอซ่อมวิทยุให้เวลานี้เป็นเวลาตอนเย็นที่หลายบ้านกำลั
เมื่อไป๋ถังตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เธอนวดเอวที่ปวดเมื่อยไปหมด ส่วนกลางกายยังคงมีอาการเจ็บอยู่เล็กน้อย บ่งบอกว่าเมื่อคืนพวกเขาทั้งคู่ร้อนแรงกันขนาดไหนข้างกายของเธอว่างเปล่า เพราะลู่หยางตื่นขึ้นนานแล้ว วันนี้เขาวางแผนที่จะเข้าอำเภอ เพื่อไปคืนจักรยานและสอบถามผู้อำนวยการจาง ถึงเรื่องที่จะหาบ้านเช่าในอำเภอให้ได้หรือไม่ไป๋ถังเดินออกจากห้อง เธอเห็นชายหนุ่มกำลังต้มโจ๊กอยู่หน้าเตา หญิงสาวจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้ม และกอดเขาจากด้านหลัง“รู้สึกเพลียไหมครับ” ลู่หยางเอี้ยวตัวมาหอมแก้มเธอเช่นกัน“นิดหน่อยค่ะ”เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ทางกาย การแตะเนื้อต้องตัวก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้รู้สึกเคอะเขินซึ่งกันและกันเช้าวันนี้ลู่หยางปั่นจักรยานเข้าอำเภอ ไปหาผู้จัดการจางที่โรงงาน เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่าได้หาบ้านเช่าให้กับลู่หยางได้แล้ว จากนั้นก็ให้ต้าจวงพาลู่หยางไปดูบ้านชายหนุ่มมองบ้านหลังสีขาวที่ดูเรียบง่ายก็รู้สึกพึงพอใจ ประกอบกับราคาค่าเช่าต่อเดือนก็ไม่แพงมาก เจ้าของบ้านคิดเพียง 4 หยวนต่อเดือนเท่านั้น แต่ชายหนุ่มต้องพาภรรยามาดูตัวบ้านเสียก่อนถึงจะตัดสินใจได้ ซึ่งผู้จัดการจางก็ให้เขายืมรถไ