ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง
ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียง
เมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆ
เด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟัง
แต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้ว
ใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ
มันจบแล้ว!
ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขาย
ต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเอง
เบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้ง
ไป๋ถังไม่เข้าใจว่าทำไมต้าเป่าถึงร้องไห้ เธอกับลู่หยางทำอะไรผิดงั้นหรือ
หญิงสาวเดินไปและนั่งลงด้านหน้าของเด็กชาย มือเรียวเอื้อมไปแตะใบหน้าเล็ก ๆ ของต้าเป่าแล้วถามด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย “เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า หรือว่ายังหิวอยู่ “
ลู่หยางนั่งลงด้านข้างเช่นกัน แน่นอนว่าเขาไม่ได้รับรู้ว่าต้าเป่ามีความคิดอะไรอยู่ในใจ เขาแค่คิดว่าเด็กน้อยยังคงกินไม่อิ่ม “ลูกกินไม่อิ่มหรือ”
ต้าเป่ารู้สึกหวาดกลัว หัวใจของเขาเต้นแรง และคิดว่าบางทีพ่อกับแม่อาจจะไม่รู้ว่าเขาพยายามแอบฟัง เด็กน้อยจึงรีบพยักหน้าเบาๆ
ลู่หยางเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขามองไปที่ไป๋ถัง “หมั่นโถวข้าวโพดแค่สองลูก พวกเขาต้องไม่อิ่มอยู่แล้ว เราต้องหาอาหารมาให้เด็กๆ เพิ่ม”
ไป๋ถังนึกถึงความทรงจำเมื่อก่อนหน้านี้ โดยปกติเธอจะไปขออาหารจากพ่อแม่ของตัวเอง จากนั้นจะกินมันแค่คนเดียวโดยไม่สนใจสามีและลูก
ส่วนลู่หยางเมื่อมีอาหารเขาก็มักจะเอาไปแอบซ่อนเอาไว้ไม่ยอมแบ่งใครเช่นกัน ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงตัวผอมแห้งซีดเหลืองกันทั้งคู่ เพราะขาดแคลนอาหาร
หลังจากระลึกถึงเรื่องราวเมื่อก่อน ใบหน้าของไป๋ถังก็มืดมน
พ่อแม่พันธุ์อะไรเนี่ย!
ฝาแฝดคู่นี้น่ารักและรู้ความมากขนาดนี้ เหตุใดพวกเขาถึงไม่รู้จักดูแลทะนุถนอมพวกเขากันนะ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ไป๋ถังผู้ซึ่งชื่นชอบเด็กน่ารักเป็นทุนเดิมก็โกรธขึ้นมาอีกครั้ง เธอกำหมัดของตนเองแน่น
ต้าเป่าตัวสั่นมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของแม่
ลู่หยางแตะแขนของไป๋ถังเบาๆ เพื่อเตือนสติว่าตอนนี้เธอกำลังทำให้เด็กกลัว
ไป๋ถังรีบโอบต้าเป่าเข้ามาในอ้อมแขนและปลอบโยนเขา “แม่ไม่ได้โกรธต้าเป่านะ ลูกไม่ต้องกลัว ตอนนี้พ่อกับแม่จะไปหาอาหารมาให้ ลูกรออยู่ที่บ้านกับน้องนะ”
ลู่หยางกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปหาอาหารกับไป๋ถัง
ถนนในหมู่บ้านตอนนี้ปูด้วยหิน เมื่อเดินออกมาจากบ้าน แล้วเลี้ยวซ้ายเดินขึ้นเนิน บ้านหลังแรกด้านในสุด จะเป็นบ้านลุงของลู่หยาง หรือก็คือบ้านที่ลี่จูแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้
อาศัยความทรงจำของร่างกายเดิม ไป๋ถังชี้นิ้วไปที่บ้านหลังนั้น “บ้านข้างหน้าดูเหมือนจะเป็นบ้านลุงของคุณใช่ไหม ลองเข้าไปขอยืมอาหารสิ”
ลู่หยางมองตามนิ้วของเธอ “ก็ใช่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเดิมจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา”
ไป๋ถังหัวเราะ “ร่างเดิมของพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับใครในหมู่บ้านบ้างล่ะ”
ลู่หยางเองก็คิดเช่นนั้นเนื่องจาก เจ้าของร่างเดิมเป็นผู้ชายเกียจคร้าน ส่วนภรรยาก็แต่งตัวสวยยั่วยวนผู้ชายคนอื่นไปวันๆ คนในหมู่บ้านเป็นชาวนาที่ขยันขันแข็งและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พวกเขาเห็นสองสามีภรรยาที่เป็นเช่นนี้จึงไม่ค่อยที่จะชอบพวกเขานัก
ไป๋ถังใช้หลังมือตบที่หน้าอกของเขาเหมือนกับสหายทั่วไป “สหายลู่หยางคุณลองไปขอยืมอาหารดูสิ เผื่อครั้งนี้จะได้”
ดวงตาของลู่หยางหรี่แคบลง มือของผู้หญิงคนนี้ที่สัมผัสหน้าอกเขาอย่างหน้าตาเฉย “คุณจะไม่ไปกับผมเหรอ”
ไป๋ถังยักไหล่ “ญาติของคุณไม่ได้ชอบฉันนี่คะ ถ้าฉันเข้าไปไม่แน่ว่ายังไม่ทันพูดก็คงถูกไล่ออกมาแล้ว”
ลู่หยางพูดไม่ออกเพราะว่าชื่อเสียงของ ไป๋ถังแย่กว่าเขามากจริงๆ “เอาเถอะ...คุณรออยู่ที่นี่ พยายามมองที่ประตูบ้านของเราไว้ด้วย ผมกลัวว่าเด็กๆ จะเป็นอันตราย”
“เข้าใจแล้ว คุณรีบไปเร็วเข้า”ไป๋ถังรับคำ แล้วดันหลังเขาให้เดินเข้าไป หญิงสาวมองย้อนกลับไปที่ประตูบ้านของตัวเอง เนื่องจากเธอยืนอยู่บนเนินจึงเห็นหน้าบ้านของตนเองได้อย่างชัดเจนเธอเห็นเด็กทั้งสองนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้านอย่างเรียบร้อยเชื่อฟัง
ฝ่ายต้าเป่าและเสี่ยวเป่า เมื่อเห็นแม่ของพวกตนมองกลับมา ทั้งสองรีบก้มศีรษะลง
ต้าเป่าบอกน้องชายของเขาอย่างรอบคอบ “อย่าเงยหน้าขึ้นมองไม่อย่างนั้นแม่จะสงสัย”
เสี่ยวเป่า ถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ “พี่ชาย พ่อกับแม่ไปหาอาหารมาให้เราแสดงว่า...ตอนนี้พวกเขาน่าจะชอบพวกเรา…แล้วทำไมพี่ยังระแวงอยู่ล่ะ”
“เสี่ยวเป่าไม่คิดว่า...นี่มันเป็นเรื่องแปลกหรือ ปกติพ่อแม่เคยให้เรากินอาหารด้วยเหรอ”ต้าเป่าเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ มือเล็กกำกางเกงที่ขาดของเขาไว้แน่น “ยิ่งพวกเขาทำดีกับพวกเราอย่างนี้ไม่แน่ว่า อีกไม่นานจะเอาพวกเราไปขายก็ได้”
“ห๊ะ อะไรนะ!”เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมา “ฮือ...พี่พูดจริงเหรอ...พี่ไม่ได้โกหกใช่ไหม พ่อกับแม่จะพาเราไปขายจริงหรือ”
เมื่อเห็นน้องชายของเขาร้องไห้ ต้าเป่าก็อยากจะร้องไห้ด้วย แต่สุดท้ายเขาก็พยายามเข้มแข็งไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา ต้าเป่าดึงน้องชายมากอดแล้วพูดปลอบโยนน้องชายอย่างหนักแน่น “อย่ากลัวเลย ถ้าพ่อกับแม่จะพาพวกเราไปขายจริงๆ พี่จะพาเสี่ยวเป่าหนีไปเอง”
“เราจะไปไหน ถ้าไม่มีพ่อกับแม่ เสี่ยวเป่า...เสี่ยวเป่ากลัว”เสี่ยวเป่ายิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
ต้าเป่าลูบหลังน้องชายเบาๆ “ถึงไม่มีพ่อกับแม่ แต่เสี่ยวเป่ายังมีพี่ชาย และพี่ชายก็จะดูแลเสี่ยวเป่าตลอดไป”
ไป๋ถังไม่ได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องไห้ แต่เมื่อมองจากระยะไกลเธอก็เห็นว่า จู่ๆ พวกเขาก็กอดกัน แต่หญิงสาวคิดว่าพี่น้องทั้งสองเพียงเล่นด้วยกันเท่านั้น เธอจึงไม่ได้สนใจอะไร แล้วหันไปมองทางลู่หยางเพื่อลุ้นว่าเขาจะไปขออาหารจากบ้านลุงได้หรือไม่
ลุงของลู่หยางชื่อว่าลู่ฮุ่ย แต่ก่อนที่บิดาของเขายังอยู่ ครอบครัวทั้งคู่ยังคงสนิทสนมกันดี แต่เมื่อไม่มีบิดาของลู่หยาง ลุงคนนี้ก็ไม่ได้สนใจใยดีหลานชายคนนี้อีกชายหนุ่มเสี่ยงดวงลองเคาะประตูบ้านของลุงดู หลังจากรออยู่ไม่นานหลี่กุ้ยหลันผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ออกมาเปิดประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นลู่หยาง ใบหน้าของเธอก็แสดงความรังเกียจออกมา “แกมาทำไม!”นอกจากสีหน้าที่ไม่ชื่นชอบแล้วน้ำเสียงของป้าสะใภ้ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงลู่หยางรู้สึกอายเล็กน้อย ชาติก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นเขาเขาพยายามยิ้มให้กับป้าสะใภ้ของร่างเดิม “ป้าสะใภ้ คือ... ผมขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารที่บ้าน และลูกทั้งสองของผมก็หิวมาก ป้าสะใภ้พอจะให้ผมยืมอาหารก่อนได้ไหม ผมจะรีบจ่ายคืนให้ทันทีหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง”“ให้แกยืมอาหารงั้นรึ”หลี่กุ้ยหลันหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ลู่หยาง แกมาขอยืมแล้วเคยคืนด้วยเหรอ... หลังจากพ่อของแกตาย ฉันเคยให้ยืมอาหารไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร สุดท้ายแ
ไป๋ถังและลู่หยางเดินควงแขนกันลงมาตามทางลาด จนเมื่อพ้นจากบริเวณสายตาของพวกป้าสะใภ้ ท่าทีที่สนิทสนมคลอเคลียกันเมื่อสักครู่ของพวกเขาก็หยุดชะงัก ทั้งสองต่างรีบแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็วลู่หยางกระแอมในลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ผมขอโทษที่สัมผัสตัวคุณ เมื่อสักครู่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “ไป๋ถังโบกมืออย่างโดยไม่ถือสาอะไร “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”เธอมองกลับไปที่บ้านลุงของลู่หยางแล้วจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางเสียใจ “แน่นอนว่าความสัมพันธ์พวกเราไม่ดี เรายืมอาหารใครไม่ได้เลย ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่นะ คุณมีแผนที่จะเลี้ยงดูฉันและลูกๆ ยังไงคะ”ลู่หยางมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณดูจะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วจังเลยนะครับ”ไป๋ถังยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบกลับมา “สถานการณ์ตอนนี้มันบังคับให้ฉันต้องปรับตัวนี่คะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”ไป๋ถังกุมท้องแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นถนน หญิงสาวเงยหน้ามองไปที่ลู่หยางด้วยท่าทางน่าสงสาร “สามีคะ โปรดหาอาหารมาเติมกระเพาะให้ฉันด้วย”“คุณเรียกผมว่าสามีได้คล่องปากเชียวนะ”ลู่หยางรู้สึกว่ายิ่งเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์
ระหว่างทางที่ไป๋ถังกำลังเดินกลับบ้าน จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกเธอขึ้นมา “นี่ เสี่ยวไป๋ มาดื่มกับพี่ชายไหมจ๊ะ”เสี่ยวไป๋?นี่เขาเรียกเธออย่างนั้นหรือไป๋ถังหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอพบกับใบหน้าซูบผอมของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนมองเธอมาจากข้างในบ้าน ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความลามก หญิงสาวกำหมัดแน่นแต่ใบหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใสดีมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนต้องเสียอาหารให้เธอแล้ว!จากความทรงจำของร่างเดิม ชายคนนี้มีชื่อว่าจางตู้ เขาเป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยแต่งงาน เพราะด้วยนิสัยของเขาบวกกับหน้าตาและฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับเขาเพราะเขาไม่ได้แต่งภรรยา เงินที่หามาได้จึงใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เขามักซื้อเหล้ามาดื่ม เวลาเมาจะชอบไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้านและหยอกล้อผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา ทุกคนเกลียดเขามากและขอให้หัวหน้าหมู่บ้าน ไปตักเตือนเขาแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จางตู้มักจะแค่พูดจาลวนลามเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวใคร พฤติกรรมของเขาเพียงสร้างความรำคาญ ท้ายที่สุดผู้คนจึงทำได้เพียงเดินหนีให้ห่างเวลาที
ลู่หยางรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย เขามีภรรยาที่เป็นโจรอาศัยอยู่ในบ้าน ในฐานะทหารเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หลังจากเงียบไปสักครู่ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วคุณมียานเกราะใช้ได้อย่างไร” “ก็ซื้อมาน่ะสิ...เราเป็นโจรสลัด แน่นอนว่าเราต้องมีกองกำลังทางทหารของเราเอง ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องถูกทหารอวกาศจับได้”ไป๋ถังพูดขึ้นมาแล้วก็นึกฉุนเฉียว “แต่ยานเกราะที่ซื้อมาครั้งนี้ไม่ได้คุณภาพ ฉันเลยทะลุมิติย้อนเวลามานานเกินไปมากเลยทีเดียว!”ลู่หยางคิดว่าเทคโนโลยีในภายภาคหน้าคงจะเจริญก้าวหน้ามาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีเงินถึงขนาดซื้อยานเกราะได้ คงจะปล้นสมบัติของคนอื่นไปไม่น้อย “คุณออกไป... ปล้นบ่อยไหม”ไป๋ถังเห็นสีหน้าของเขาก็รีบอธิบาย “คุณไม่ต้องกังวล ในอวกาศมีกลุ่มโจรสลัดอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่ได้เน้นปล้นชิงสมบัติ” “แล้วพวกคุณปล้นอะไร”คิ้วของลู่หยางขมวดแน่น ไป๋ถังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มองไปที่ลู่หยางอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากสีแดงขยับพูดอย่างช้าๆ “ปล้น...ผู้...ชาย” ”...”ลู่หยางถอนหายใจทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “คุณพูดจริงเหรอ” “จริงสิ…ม
ลู่หยางยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูไป๋ถังเล่นกับเด็กอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เข้าไปรบกวนชายหนุ่มคิดว่าคนที่อ่อนโยนกับเด็กๆ คงไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ทั้งคู่ก็คงไม่มีทางกลับไปในโลกเดิมได้อีก พวกเขาจะมาระแวงกันเองก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเอาชีวิตรอดในยุคนี้ให้ได้! เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่หยางก็สลัดความคิดเกี่ยวกับตัวตนในโลกเดิมของไป๋ถัง ชายหนุ่มเอ่ยบอกหญิงสาวที่กำลังเล่นกับเด็กๆ “คุณเล่นกับลูกๆ ไปนะ ผมจะไปทำอาหารเย็นให้” “ได้เลยค่ะ” ไป๋ถังทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์โอเค เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไปทำอาหาร เธอก็ชี้ไปที่ถุงแป้งข้าวโพดและมันฝรั่ง “เอาแป้งข้าวโพดกับมันฝรั่งในถุงนั่นไปทำอาหารด้วยสิคะ จะได้มีกับข้าวเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง”ลู่หยางพยักหน้าและพูดกับลูกทั้งสอง “พ่อจะไปทำของอร่อยให้พวกลูกนะ” ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับ “ขอบคุณครับพ่อ”ลู่หยางใช้มือข้างที่ว่างลูบผมของเด็กน้อยทั้งสอง ด้วยความอ่อนโยน เด็กแฝดคู่นี้น่ารักและเชื่อฟัง พวกเขาไม่ส่งเสียงดังโวยวาย และรู้ความทุกอย่าง จึงทำให้เขาเอ็นดูสงสารมีความรู้สึกอยากจะเลี้ยงดูพวกเขามากขึ้นไปอีกชายหนุ่มหยิบ
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่
การมีภรรยาเป็นโจรอยู่ในครอบครัวนั้น มันทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเป็นโรคประสาทภรรยาของเขาเป็นคนพูดตรงจนทำให้เขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “ผมจะไปต้มน้ำไว้ให้คุณกับลูกอาบ คุณนั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับไป๋ถังอีก เขาลุกขึ้นและรีบเดินกลับไปที่ครัว เมื่อเห็นท่าทางลนลานของเขา ไป๋ถังก็ตะโกนตามหลัง “คุณอายเหรอคะ” มุมปากของลู่หยางกระตุก ผู้หญิงคนนี้!ลู่หยางพยายามไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขากลัวว่ายิ่งเขาคุยด้วย อีกฝ่ายก็จะยิ่งกลั่นแกล้งเขา เขารู้สึกว่าในยุคอวกาศ ในยามที่พวกผู้ชายออกมาข้างนอก พวกเขาต้องระมัดระวังตัวกันมากแน่! เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นว่าแม่ของพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันแต่เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะตามไปด้วย ต้าเป่าคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขา มีเสียงหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ต้าเป่าก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มือก็ออกแรงล้างจานต่อไปพวกเขาผลัดกันอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะบ้านของพวกเขาไม่มีทีวี อันที่จริงในหมู่บ้านชน
วันรุ่งขึ้นเสียงฆ้องเรียกประชุมดังสนั่นมาจากนอกบ้าน มีเสียงคนตะโกนว่า “เรียกประชุมด่วน เรียกประชุมด่วน อีกครึ่งชั่วโมงทุกคนมาเจอกันที่ลานนวดข้าว!” ไป๋ถังลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่อเห็นว่าทั้งแขนและขาของเธอพาดทับไปที่ลู่หยาง ใบหน้าเล็กๆ ก็แข็งทื่อ เธอลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นพวกนอนดิ้น ในตอนที่อยู่โลกเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เธอนอนดิ้นจนตกเตียงลงไป เตียงที่เธอนอนจะต้องกว้างมากกว่าห้าเมตร! หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าลู่หยางจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเธอกอดเขาอยู่ เธอค่อยไป ยกมือและเท้าขึ้นฝากตัวของชายหนุ่มเบา ๆแต่ลู่หยางที่อุทิศแขนให้เธอนอนหนุนต่างหมอน เขาก็ตื่นขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก “คุณนอนกอดผมทั้งคืนเลยนะ รู้สึกสบายดีไหมล่ะ” “...” ไป๋ถังพูดไม่ออกเธอรู้สึกเขินอาย เมื่อมองชายหนุ่มที่แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็ยังคงดูดี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ... ฉันเป็นพวกนอนดิ้น เมื่อคืนต้องลำบากคุณแล้ว” ลู่หยางจ้องไปที่ใบหน้าแดงของเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ดูเจ้าอารมณ์ พูดจาโผงผาง แต่บางครั้งก็ดูท่าทางน่าเอ็นดู เ
หลังจากที่ทุกคนได้ดูรูปถ่ายของฆาตกรแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็สั่งให้แยกย้ายกันไปได้ แต่เจ้าหน้าที่หลินยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้านฉันมีบางคำที่ต้องพูด” หัวหน้าหมู่บ้านจ้าวรีบยกมือขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงก่อน “ทุกคนอย่าเพิ่งไปเจ้าหน้าที่หลินมีเรื่องจะพูด” คนที่เพิ่งลุกขึ้นไปเมื่อสักครู่จึงนั่งลงไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่หลินมองไปที่ชาวบ้านทุกคนและเปล่งเสียงของตนออกมา “ฉันมีบางคำที่จะบอก เมื่อสักครู่ทุกคนได้ยินเรื่องที่เยาวชนผู้มีการศึกษาเป็นฆาตกรนี้อาจทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง... แต่ว่ากลุ่มเยาวชนผู้มีการศึกษาในหมู่บ้านของเรากำลังจะกลับเข้า เมืองหลวงดังนั้นขอให้ชาวบ้านอย่าได้หวาดกลัวจนเลือกปฏิบัติกับพวกเขานะคะ ฉันเชื่อว่าเยาวชนที่มีการศึกษาในหมู่บ้านของเราเป็นคนดีทุกคน” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอชาวบ้านก็หันไปมองเยาวชนที่มีการศึกษาที่มีกันอยู่ห้าคน มีคู่รักชายหญิงที่ยืนยันความสัมพันธ์กันแล้วนอกจากนั้นก็เหลือเพียงชายโสดอีกแค่สามคน ในบรรดาชายหนุ่มที่เหลือยกเว้น สวีจ้าว พวกเขาไม่ได้หน้าตาดีนัก แต่พวกเขาเป็นพวกฉลาดเฉลียวและมีความคิดมองการณ์ไกลจึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
ในตอนนั้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายของพรรค มีเยาวชนที่มีการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งจากเมืองหลวงมายังชนบท และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเลวร้ายมาก และชีวิตของเยาวชนที่มีการศึกษาก็ลำบาก ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะแต่งงานกับชาวบ้านในท้องถิ่นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในท้ายที่สุดใครจะคิดว่าจะมีการปฏิรูปประเทศและเริ่มฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ตอนนี้เยาวชนที่มีการศึกษาสามารถกลับเข้าเมืองเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนคนที่แต่งงานไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้วเยาวชนเหล่านี้ก็คิดว่าตนเอง เป็นคนมีการศึกษา การได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงอนาคตของพวกเขาย่อมสดใส ใครจะยอมคนอุดอู้อยู่ที่ชนบทอีกต่อไปกันเล่า เมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว เยาวชนเหล่านี้จะยังคิดถึงภรรยาหน้าเหลืองหรือสามีที่หยาบกร้านในชนบทอยู่อีกหรือ บางคนก็ฉลาดที่จะพูดปลอบใจภรรยาและสามีตัวเองว่า เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วจะกลับมารับไปอยู่ที่เมืองหลวง อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์มากมายว่า เยาวชนที่มีการศึ
#####18 สวีจ้าวคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงยอมหุบปาก หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว จึงสั่งให้ทั้งสองฝ่ายขอโทษกัน “เร็วเข้า พวกคุณรีบขอโทษกันและกันเถอะ เราจะได้เริ่มประชุมเรื่องสำคัญการเสียที ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว!” ทั้งสองฝ่ายต่างฝืนใจขอโทษซึ่งกันและกัน ไป๋ถังแกล้งทำเป็นเช็ดน้ำตา ทั้งที่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยด ก่อนจะกล่าวขอโทษครอบครัวลุงสามีด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากเรื่องนี้สงบเรียบร้อย หัวหน้าหมู่บ้านก็เรียกทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าลานนวดข้าว โดยเขาเป็นฝ่ายยืนตรงกลาง ไป๋ถังและลู่หยางอุ้มเด็กทั้งสองแล้วเดินไปข้างหน้า ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าที่เมื่อสักครู่ยังตกใจจนร้องไห้ ในตอนนี้พวกเขาดูนิ่งสงบมาก ไป๋ถังคิดว่าพวกเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจจึงรีบปลอบโยนเด็กน้อยทั้งสอง “พวกลูกวางใจเถอะพ่อกับแม่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้อยู่แล้ว” ลู่หยางก็ลูบหัวของพวกเขาเช่นกัน “ไหนให้พ่อดูซิ ตาบวมหรือเปล่า” เมื่อเห็นครอบครัวนี้ดูรักกันดี ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูประหลาดใจที่ได้เห็น โดยเฉพาะสวีจ้าวที่รู้ว่าไป๋ถังเกลียดเด็กทั้งสองมากแค่ไหน เพราะเขาเคยได้ยินเธอบ่นอยู่หลายครั้ง แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูรักลูกของตัวเอ
สวีจ้าวมองดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างลู่หยางและไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ ความใกล้ชิดของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันไม่ถูกต้อง คนอื่นอาจจะไม่รู้ความคิดของไป๋ถัง แต่เขารู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการให้เขาพาเธอไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี หรือนี่อาจเป็นวิธีการที่เรียกร้องความสนใจของเธอหรือไม่ที่จงใจทำตัวสนิทสนมกับลู่หยางต่อหน้าของตน เพื่อทำให้เขารู้สึกหึงและอยากจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย หากว่านี่เป็นแผนการของเธอจริงๆ เขาก็ต้องบอกว่าแผนนี้ มันค่อนข้างจะได้ผลเพราะว่าเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายลี่จูเธอพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะไม่อยากให้แม่สามีนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือคนที่เริ่มปัญหาทั้งหมด ดวงตาของลี่จูสั่นไหว หญิงสาวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางเผลอมองไปที่ลู่หยาง ด้วยความไม่รู้ตัว เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เดินหลังค่อมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เขาดูตัวสูงและแข็งแรงมากกว่าเดิม หัวใจของเธอรู้สึกเต้นรัว แต่เมื่อมองดูคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเวลานี้ก็คือไป๋ถัง! ลี่จูกัดริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจ ทำไมคนในอ้อมกอดเขาถึงไม่เป็นเธอ! ในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างมากมาย ความ
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคไหน คนของทางการก็มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทชาวบ้านทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา ครอบครัวของลู่ฮุย เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็หยุดชะงัก ลู่ฮุยรีบวางพลั่วขุดดินลงด้วยสายตาที่สำนึกผิด หลินเม่ยเจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้านก็จ้องไปที่ไป๋ถังและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ปล่อยคนอีกหรือคะ” ไป๋ถังปล่อยมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้รับอิสรภาพ เธอก็บีบนวดไหล่ของตนด้วยความปวดเมื่อย และฟ้องร้องกับหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่หลินทั้งน้ำตา “หัวหน้าหมู่บ้าน คุณต้องช่วยฉัน…แล้วก็ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันด้วยนะคะ สองสามีภรรยาคู่นี้น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าลู่หยางเตะลูกชายของฉัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็จงใจพูดจาใส่ร้ายปล่อยข่าวลือว่าลูกสะใภ้ของฉันแอบสะกดรอยตามผู้ชาย แล้วฉันก็แก่แล้ว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นป้าสะใภ้ของหล่อนด้วยซ้ำ แต่หล่อนยังทำร้ายฉันได้ลงคอ!” หลี่กุ้ยหลันไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือตบตีลู่หยางก่อน เพราะหญิงวัยกลางตนถือว่าตนเองเป็นผู้อาวุโส จะลงมือทุบตีสั่งสอนหลานชายนั้นไม่ใช่เรื
ไป๋ถังมองผู้หญิงถักเปียที่ยืนอยู่ด้านข้างของลี่จูดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะชื่อชุนเหยียน ทั้งคู่ช่างเหมาะสมที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบทำตัวน่ารำคาญเหมือนๆ กัน “พี่สะใภ้รู้ได้อย่างไรว่าสวีจ้าวให้ฉันยืมอาหารแค่คนเดียว พี่สะใภ้คอยเฝ้าดูเขาตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอคะ”ไป๋ถังจงใจพูดแบบคลุมเครือ ลี่จูเป็นคนในยุคนี้ตรงนั้นเธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินคำพูดของไป๋ถังจึงโกรธขึ้นมาทันทีชี้ “อย่าพูดพล่อยๆนะ”“แล้วเมื่อสักครู่พี่สะใภ้ไม่ได้พูดพล่อยๆ ใส่ร้ายฉันก่อนเหรอ”ไป๋ถังโต้กลับอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านโดยรอบรู้สึกขบขันและพากันชี้ไปที่ลี่จู เธอรู้สึกตื่นตระหนกและอับอายสายตาผู้คน ลู่เฉิงคือสามีของลี่จู วันนี้เนื่องจากโรงงานหยุดเขาจึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มยืนห่างออกไปไม่มากเพราะต้องคอยดูลูกชายของตน เมื่อเห็นว่าภรรยาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาจึงรีบเดินเข้ามาช่วยเหลือ ไป๋ถังกล้าพูดจาดูถูกภรรยาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร! ลู่เฉิงโกรธจนควันแทบจะออกหูเขาส่งลูกชายของจนให้พ่อแม่ดูแล แล้วรีบเดินไปหาภรรยา ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ลี่จูเพื่อแสดงความปกป้อง สายตาจ้
วันรุ่งขึ้นเสียงฆ้องเรียกประชุมดังสนั่นมาจากนอกบ้าน มีเสียงคนตะโกนว่า “เรียกประชุมด่วน เรียกประชุมด่วน อีกครึ่งชั่วโมงทุกคนมาเจอกันที่ลานนวดข้าว!” ไป๋ถังลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่อเห็นว่าทั้งแขนและขาของเธอพาดทับไปที่ลู่หยาง ใบหน้าเล็กๆ ก็แข็งทื่อ เธอลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นพวกนอนดิ้น ในตอนที่อยู่โลกเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เธอนอนดิ้นจนตกเตียงลงไป เตียงที่เธอนอนจะต้องกว้างมากกว่าห้าเมตร! หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าลู่หยางจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเธอกอดเขาอยู่ เธอค่อยไป ยกมือและเท้าขึ้นฝากตัวของชายหนุ่มเบา ๆแต่ลู่หยางที่อุทิศแขนให้เธอนอนหนุนต่างหมอน เขาก็ตื่นขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก “คุณนอนกอดผมทั้งคืนเลยนะ รู้สึกสบายดีไหมล่ะ” “...” ไป๋ถังพูดไม่ออกเธอรู้สึกเขินอาย เมื่อมองชายหนุ่มที่แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็ยังคงดูดี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ... ฉันเป็นพวกนอนดิ้น เมื่อคืนต้องลำบากคุณแล้ว” ลู่หยางจ้องไปที่ใบหน้าแดงของเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ดูเจ้าอารมณ์ พูดจาโผงผาง แต่บางครั้งก็ดูท่าทางน่าเอ็นดู เ
การมีภรรยาเป็นโจรอยู่ในครอบครัวนั้น มันทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเป็นโรคประสาทภรรยาของเขาเป็นคนพูดตรงจนทำให้เขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “ผมจะไปต้มน้ำไว้ให้คุณกับลูกอาบ คุณนั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับไป๋ถังอีก เขาลุกขึ้นและรีบเดินกลับไปที่ครัว เมื่อเห็นท่าทางลนลานของเขา ไป๋ถังก็ตะโกนตามหลัง “คุณอายเหรอคะ” มุมปากของลู่หยางกระตุก ผู้หญิงคนนี้!ลู่หยางพยายามไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขากลัวว่ายิ่งเขาคุยด้วย อีกฝ่ายก็จะยิ่งกลั่นแกล้งเขา เขารู้สึกว่าในยุคอวกาศ ในยามที่พวกผู้ชายออกมาข้างนอก พวกเขาต้องระมัดระวังตัวกันมากแน่! เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นว่าแม่ของพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันแต่เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะตามไปด้วย ต้าเป่าคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขา มีเสียงหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ต้าเป่าก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มือก็ออกแรงล้างจานต่อไปพวกเขาผลัดกันอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะบ้านของพวกเขาไม่มีทีวี อันที่จริงในหมู่บ้านชน
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่