ระหว่างทางที่ไป๋ถังกำลังเดินกลับบ้าน จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกเธอขึ้นมา “นี่ เสี่ยวไป๋ มาดื่มกับพี่ชายไหมจ๊ะ”
เสี่ยวไป๋?
นี่เขาเรียกเธออย่างนั้นหรือ
ไป๋ถังหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอพบกับใบหน้าซูบผอมของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนมองเธอมาจากข้างในบ้าน ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความลามก หญิงสาวกำหมัดแน่นแต่ใบหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใส
ดีมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนต้องเสียอาหารให้เธอแล้ว!
จากความทรงจำของร่างเดิม ชายคนนี้มีชื่อว่าจางตู้ เขาเป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยแต่งงาน เพราะด้วยนิสัยของเขาบวกกับหน้าตาและฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับเขา
เพราะเขาไม่ได้แต่งภรรยา เงินที่หามาได้จึงใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เขามักซื้อเหล้ามาดื่ม เวลาเมาจะชอบไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้านและหยอกล้อผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา
ทุกคนเกลียดเขามากและขอให้หัวหน้าหมู่บ้าน ไปตักเตือนเขาแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล
จางตู้มักจะแค่พูดจาลวนลามเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวใคร พฤติกรรมของเขาเพียงสร้างความรำคาญ ท้ายที่สุดผู้คนจึงทำได้เพียงเดินหนีให้ห่างเวลาที่เจอเขาเท่านั้น
จางตู้เห็นไป๋ถังอยากจะได้สามีคนใหม่ที่เลี้ยงดูตัวเอง เขาจึงจับตามองไป๋ถังมานานแล้ว และทุกครั้งที่เขาเห็นเธออยู่คนเดียว เขามักจะพูดจาลวนลามแสดงความลามกใส่
แม้ไป๋ถังจะต้องการหาสามีใหม่ แต่ผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดอย่างจางตู้ไม่มีทางอยู่ในสายตาของเธอ ทุกครั้งที่หญิงสาวได้เจอชายผู้นี้ เธอมักจะมองเขาด้วยความขยะแขยง แล้วรีบเดินจากไป
แต่ไป๋ถังในวันนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้น เธอจงใจเดินเข้าไปหาจางตู้ “คุณเรียกฉันเหรอ”
จางตู้ไม่ได้คาดหวังว่า ไป๋ถังจะตอบสนองเขาในวันนี้ หลังจากรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาก็แสยะยิ้มออกมาอย่างหื่นกระหาย
เขารีบเปิดประตูบ้านแล้วยิ้มจนเห็นฟันสีเหลือง มือก็กวักเรียกให้ไป๋ถังเข้าไปในบ้าน “เข้ามาข้างในสิ”
มุมปากของไป๋ถังกระตุกเล็กน้อย “ได้”
จางตู้รีบเปิดประตูออกให้กว้างที่สุด “เข้ามา เข้ามา”
ด้วยความใจร้อนเขาทนรอให้ไป๋ถังเดินเข้ามาในบ้านไม่ไหว จึงรีบเอื้อมมือเข้าไปดึงตัวของไป๋ถังเข้ามา
น่าเสียดายที่ก่อนที่มือของเขาจะแตะต้องตัวของหญิงสาว ไป๋ถังก็จับแขนของเขาแล้วทุ่มลงกับพื้นด้วยแรงทั้งหมดของเธอ
หน้าอกของจางตู้กระแทกกับพื้นดินแข็งๆ ความเจ็บแล่นผล่านไปทั่วร่างกายจนเขาร้องโอดโอยออกมา
หลังจากนั้นไป๋ถังหยิบก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างๆ แล้วยกขึ้นสูง เล็งไปที่กลางเป้าของเขาเตรียมจะทุบมันอย่างแรง
จางตู้เบิกตากว้างด้วยความสยดสยอง พยายามขยับตัวหนี เขาตะโกนออกมา “หยุด! หยุด! อย่า อย่าทำข้า!”
แต่ไป๋ถังยังคงไม่ไหวติง เมื่อเห็นว่าเป้าของเขากำลังจะโดนหินก้อนใหญ่ทุบลงไป จางตู้ก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง
แต่ว่าท้ายที่สุด ก้อนหินก็ไม่ได้ถูกทุบลงไป
ไป๋ถังมองไปที่จางตู้ด้วยสายตาที่ชั่วร้าย “ต่อไปยังคิดลามกกับฉันอยู่หรือเปล่า”
“ไม่แล้ว”จางตู้รีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เขาไม่รู้ว่าไป๋ถังกลายเป็นคนดุร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยปกติเมื่อเขาพูดจาเจ้าชู้ใส่ เธอเพียงแค่กลอกตาใส่เขาเท่านั้น แต่ครั้งนี้เธอเหมือนปีศาจที่ดุร้าย จงใจทำร้ายส่วนสำคัญของเขา
จางตู้รู้สึกหวาดกลัวมาก หากว่ากลางกายของเขาได้รับบาดเจ็บ จนไม่อาจทำเรื่องรักใคร่เช่นนั้นได้ เขาคงรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าจนไม่อาจมีชีวิตอยู่ไปอีก
“ไป๋ถัง ผมผิด...ผมผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย ครั้งนี้ผมดื่มเหล้ามากเกินไปจนไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ขอให้คุณโปรดอภัยให้ด้วย!”
“สำนึกผิดจริงหรือ”ไป๋ถังเหยียบนิ้วมือของเขาเอาไว้ ในมือยังคงโยนก้อนหินขึ้นลงเพื่อข่มขวัญอีกฝ่าย
จางตู้เจ็บมาก เขาต้องการให้เธอปล่อยมือของเขาโดยเร็ว จึงรีบกล่าวประจบสอพลอ “ใช่...ผมสำนึกผิดแล้วจริงๆ คุณต้องการอะไรโปรดบอกมาได้เลย โอ้ย! โอ้ย!”
“ถ้าอย่างนั้นเพื่อแสดงความจริงใจที่คุณสำนึกผิดต่อฉันจริงๆ เอาอาหารในบ้านมาให้ฉันยืมเดี๋ยวนี้”
หน้าผากของจางตู้เต็มไปด้วยเหงื่อ เขารีบพูดทันที “ได้! ได้! ผมจะรีบเอามันมาให้คุณเดี๋ยวนี้!”
ในที่สุดหญิงสาวก็ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ ไป๋ถังค่อย ๆ ยกเท้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปสิฉันจะรอคุณอยู่ที่นี่ “
หลังจากพูดจบเธอก็โยนก้อนหินในมือขึ้นลงเล่นอีกครั้ง “อย่าให้ฉันรอนานเกินไปนักล่ะ”
จางตู้ตัวสั่นจนอยากจะร้องไห้ออกมา เขากุมหน้าอกที่เจ็บปวดของตัวเอง แล้วรีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะรอนาน เมื่อไปถึงห้องครัวเขาตักแป้งข้าวโพดใส่ถุงกระดาษ ตักไปตักมาเขารู้สึกว่ามันเยอะเกินไปจึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา เขาจึงเทแป้งข้าวโพดกลับไปในโถจนเหลือเพียงครึ่งถุง
จากนั้นเขาก็รีบเดินออกมาส่งถุงแป้งข้าวโพดให้กับไป๋ถัง “ไป๋ถัง ผมไม่มีอาหารมากนัก มีเพียงแค่นี้”
ไป๋ถังหยิบมันขึ้นมาและเปิดดู มันมีปริมาณไม่มากนัก ดูเหมือนจะได้เพียงแค่ครึ่งถุงเท่านั้น
เธอเหล่ตามองไปที่จางตู้ “คิดว่าเท่านี้เพียงพอสำหรับฉันงั้นหรอ หรือว่าเมื่อสักครู่ฉันใจดีเกินไป “
ไป๋ถังขว้างก้อนหินเฉียดผ่านเป้ากางเกงของเขาไปนิดเดียว “ผม ผม... ผมจะไปเอามาเพิ่มให้อีก”
จางตู้รู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอะไรออกมา เขาเข้าไปในครัวอีกครั้งและตักแป้งข้าวโพดมาจนเต็มถุง รวมทั้งมันฝรั่งอีกแปดลูก คราวนี้เขายื่นมันให้ไป๋ถังด้วยมือที่สั่นเทา
ไป๋ถังสำรวจของภายในถุงกระดาษ แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ “หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวจบลง ฉันจะเอาอาหารมาใช้คืนให้”
“ไม่ ไม่ต้องคืน”จางตู้ไม่กล้าให้นางมารอย่างเธอชดใช้ เขารีบส่งเธอออกไปจากบริเวณหน้าบ้านด้วยความเคารพ
ไป๋ถังแบกของที่ปล้นกลับบ้านด้วยหน้าตาชื่นมื่น เธอยืนอยู่หน้าบ้านจางตู้แล้วโบกมือลาเขา “จางตู้ขอบคุณมาก คุณเป็นคนดีจริงๆ”
จางตู้ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ ไป๋ถังเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก หากว่าเห็นเธอครั้งหน้าเขาจะต้องอ้อมไปให้ไกลอย่างแน่นอน!
เมื่อลู่หยางกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าในห้องครัว มีถุงแป้งข้าวโพด และมันฝรั่งวางอยู่ ชายหนุ่มก็ถามไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ “คุณไปยืมอาหารมากมายมาจากไหน”
ไป๋ถังออกมาต้อนรับชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินเสียงของเขา “ไม่ได้ยืม มีคนให้ฉันมาเปล่าๆ แบบไม่ต้องคืน”
“ไม่ต้องคืนเหรอ...ใครใจดีขนาดนี้”ลู่หยางเดินเข้ามาพร้อมกับพวงปลาตัวอ้วนห้าตัวในมือ “อาหารในยุคนี้ มันมีค่ามาก มีคนให้คุณมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”
ไป๋ถังตาโตเมื่อเห็นปลา เธอยกมันขึ้นมาดูด้วยความดีใจ “สามี...คุณเก่งจังเลยนะคะจับปลามาได้ตั้งหลายตัวเลย”
ลู่หยางพอใจที่ได้รับคำชมแต่เขายังไม่ลืมถามเธอเรื่องอาหารบนโต๊ะ “แล้วสรุปว่ายังไงอาหารนี้มาจากไหนกันแน่”
หญิงสาวพูดอย่างไร้เดียงสาว่า “มีคนให้ฉันมาเพราะว่า...ฉันสวยไงล่ะ”
ลู่หยางเม้มริมฝีปากของเขา และมองไปที่ไป๋ถังอย่างจริงจัง “อย่าโกหก ผมรู้ว่าเหตุผลนี้มันเป็นไปไม่ได้ บอกมาตรงๆ ว่าคุณไปทำอะไรถึงได้อาหารเหล่านี้มา”
ไป๋ถังทำหน้ามุ่ย “คุณนี่มันไม่มีอารมณ์ขันจริงๆ”
ลู่หยางจ้องเธอโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ไป๋ถังยอมจำนน “ก็ได้ ก็ได้ ถ้าฉันพูดออกไปคุณว่าอะไรไหมละ”
“ผมไม่ว่าอะไรหรอก”
หญิงสาวจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กับเขาฟัง ลู่หยางได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
จางตู้สมควรที่จะถูกจัดการในข้อหาลวนลามผู้หญิง และควรได้รับโทษตามเหตุที่กระทำผิด แต่ไป๋ถังใช้วิธีการข่มขู่และกรรโชกทรัพย์คนอื่นเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้อง
ลู่หยางถามอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “นี่เป็นวิธีที่ทหารในยุคอวกาศของคุณจัดการกับคนที่ทำให้คุณขุ่นเคืองใจเหรอครับ”
“หือ...ทหาร...ใครคือทหารเหรอ”ไป๋ถังอมยิ้มแล้วชี้นิ้วมาที่ตัวเอง “คุณคิดว่าฉันเป็นทหารอย่างนั้นเหรอคะ”
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเธอ ลู่หยางก็งงงวย “คุณไม่ได้บอกว่าคุณมียานเกราะเคลื่อนที่...นี่มันควรจะเป็นอาวุธของทหารที่ใช้ต่อสู้กับศัตรูไม่ใช่เหรอครับ”
ไป๋ถังหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉัน!”เธอยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง และพูดด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ “คือโจรสลัดแห่งอวกาศ!”
“...”ลู่หยางที่เป็นทหารได้ยินแล้วแล้วถึงกับพูดไม่ออก!
ลู่หยางรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย เขามีภรรยาที่เป็นโจรอาศัยอยู่ในบ้าน ในฐานะทหารเขามีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก หลังจากเงียบไปสักครู่ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วคุณมียานเกราะใช้ได้อย่างไร” “ก็ซื้อมาน่ะสิ...เราเป็นโจรสลัด แน่นอนว่าเราต้องมีกองกำลังทางทหารของเราเอง ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องถูกทหารอวกาศจับได้”ไป๋ถังพูดขึ้นมาแล้วก็นึกฉุนเฉียว “แต่ยานเกราะที่ซื้อมาครั้งนี้ไม่ได้คุณภาพ ฉันเลยทะลุมิติย้อนเวลามานานเกินไปมากเลยทีเดียว!”ลู่หยางคิดว่าเทคโนโลยีในภายภาคหน้าคงจะเจริญก้าวหน้ามาก เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีเงินถึงขนาดซื้อยานเกราะได้ คงจะปล้นสมบัติของคนอื่นไปไม่น้อย “คุณออกไป... ปล้นบ่อยไหม”ไป๋ถังเห็นสีหน้าของเขาก็รีบอธิบาย “คุณไม่ต้องกังวล ในอวกาศมีกลุ่มโจรสลัดอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่ได้เน้นปล้นชิงสมบัติ” “แล้วพวกคุณปล้นอะไร”คิ้วของลู่หยางขมวดแน่น ไป๋ถังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มองไปที่ลู่หยางอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า ริมฝีปากสีแดงขยับพูดอย่างช้าๆ “ปล้น...ผู้...ชาย” ”...”ลู่หยางถอนหายใจทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “คุณพูดจริงเหรอ” “จริงสิ…ม
ลู่หยางยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูไป๋ถังเล่นกับเด็กอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เข้าไปรบกวนชายหนุ่มคิดว่าคนที่อ่อนโยนกับเด็กๆ คงไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร ยิ่งกว่านั้นตอนนี้ทั้งคู่ก็คงไม่มีทางกลับไปในโลกเดิมได้อีก พวกเขาจะมาระแวงกันเองก็คงไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา ในเวลานี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเอาชีวิตรอดในยุคนี้ให้ได้! เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่หยางก็สลัดความคิดเกี่ยวกับตัวตนในโลกเดิมของไป๋ถัง ชายหนุ่มเอ่ยบอกหญิงสาวที่กำลังเล่นกับเด็กๆ “คุณเล่นกับลูกๆ ไปนะ ผมจะไปทำอาหารเย็นให้” “ได้เลยค่ะ” ไป๋ถังทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์โอเค เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไปทำอาหาร เธอก็ชี้ไปที่ถุงแป้งข้าวโพดและมันฝรั่ง “เอาแป้งข้าวโพดกับมันฝรั่งในถุงนั่นไปทำอาหารด้วยสิคะ จะได้มีกับข้าวเพิ่มขึ้นหลายๆ อย่าง”ลู่หยางพยักหน้าและพูดกับลูกทั้งสอง “พ่อจะไปทำของอร่อยให้พวกลูกนะ” ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าพยักหน้ารับ “ขอบคุณครับพ่อ”ลู่หยางใช้มือข้างที่ว่างลูบผมของเด็กน้อยทั้งสอง ด้วยความอ่อนโยน เด็กแฝดคู่นี้น่ารักและเชื่อฟัง พวกเขาไม่ส่งเสียงดังโวยวาย และรู้ความทุกอย่าง จึงทำให้เขาเอ็นดูสงสารมีความรู้สึกอยากจะเลี้ยงดูพวกเขามากขึ้นไปอีกชายหนุ่มหยิบ
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่
การมีภรรยาเป็นโจรอยู่ในครอบครัวนั้น มันทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเป็นโรคประสาทภรรยาของเขาเป็นคนพูดตรงจนทำให้เขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “ผมจะไปต้มน้ำไว้ให้คุณกับลูกอาบ คุณนั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับไป๋ถังอีก เขาลุกขึ้นและรีบเดินกลับไปที่ครัว เมื่อเห็นท่าทางลนลานของเขา ไป๋ถังก็ตะโกนตามหลัง “คุณอายเหรอคะ” มุมปากของลู่หยางกระตุก ผู้หญิงคนนี้!ลู่หยางพยายามไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขากลัวว่ายิ่งเขาคุยด้วย อีกฝ่ายก็จะยิ่งกลั่นแกล้งเขา เขารู้สึกว่าในยุคอวกาศ ในยามที่พวกผู้ชายออกมาข้างนอก พวกเขาต้องระมัดระวังตัวกันมากแน่! เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นว่าแม่ของพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันแต่เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะตามไปด้วย ต้าเป่าคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขา มีเสียงหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ต้าเป่าก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มือก็ออกแรงล้างจานต่อไปพวกเขาผลัดกันอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะบ้านของพวกเขาไม่มีทีวี อันที่จริงในหมู่บ้านชน
วันรุ่งขึ้นเสียงฆ้องเรียกประชุมดังสนั่นมาจากนอกบ้าน มีเสียงคนตะโกนว่า “เรียกประชุมด่วน เรียกประชุมด่วน อีกครึ่งชั่วโมงทุกคนมาเจอกันที่ลานนวดข้าว!” ไป๋ถังลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่อเห็นว่าทั้งแขนและขาของเธอพาดทับไปที่ลู่หยาง ใบหน้าเล็กๆ ก็แข็งทื่อ เธอลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นพวกนอนดิ้น ในตอนที่อยู่โลกเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เธอนอนดิ้นจนตกเตียงลงไป เตียงที่เธอนอนจะต้องกว้างมากกว่าห้าเมตร! หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าลู่หยางจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเธอกอดเขาอยู่ เธอค่อยไป ยกมือและเท้าขึ้นฝากตัวของชายหนุ่มเบา ๆแต่ลู่หยางที่อุทิศแขนให้เธอนอนหนุนต่างหมอน เขาก็ตื่นขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก “คุณนอนกอดผมทั้งคืนเลยนะ รู้สึกสบายดีไหมล่ะ” “...” ไป๋ถังพูดไม่ออกเธอรู้สึกเขินอาย เมื่อมองชายหนุ่มที่แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็ยังคงดูดี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ... ฉันเป็นพวกนอนดิ้น เมื่อคืนต้องลำบากคุณแล้ว” ลู่หยางจ้องไปที่ใบหน้าแดงของเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ดูเจ้าอารมณ์ พูดจาโผงผาง แต่บางครั้งก็ดูท่าทางน่าเอ็นดู เ
ไป๋ถังมองผู้หญิงถักเปียที่ยืนอยู่ด้านข้างของลี่จูดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะชื่อชุนเหยียน ทั้งคู่ช่างเหมาะสมที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบทำตัวน่ารำคาญเหมือนๆ กัน “พี่สะใภ้รู้ได้อย่างไรว่าสวีจ้าวให้ฉันยืมอาหารแค่คนเดียว พี่สะใภ้คอยเฝ้าดูเขาตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอคะ”ไป๋ถังจงใจพูดแบบคลุมเครือ ลี่จูเป็นคนในยุคนี้ตรงนั้นเธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินคำพูดของไป๋ถังจึงโกรธขึ้นมาทันทีชี้ “อย่าพูดพล่อยๆนะ”“แล้วเมื่อสักครู่พี่สะใภ้ไม่ได้พูดพล่อยๆ ใส่ร้ายฉันก่อนเหรอ”ไป๋ถังโต้กลับอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านโดยรอบรู้สึกขบขันและพากันชี้ไปที่ลี่จู เธอรู้สึกตื่นตระหนกและอับอายสายตาผู้คน ลู่เฉิงคือสามีของลี่จู วันนี้เนื่องจากโรงงานหยุดเขาจึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มยืนห่างออกไปไม่มากเพราะต้องคอยดูลูกชายของตน เมื่อเห็นว่าภรรยาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาจึงรีบเดินเข้ามาช่วยเหลือ ไป๋ถังกล้าพูดจาดูถูกภรรยาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร! ลู่เฉิงโกรธจนควันแทบจะออกหูเขาส่งลูกชายของจนให้พ่อแม่ดูแล แล้วรีบเดินไปหาภรรยา ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ลี่จูเพื่อแสดงความปกป้อง สายตาจ้
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคไหน คนของทางการก็มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทชาวบ้านทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา ครอบครัวของลู่ฮุย เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็หยุดชะงัก ลู่ฮุยรีบวางพลั่วขุดดินลงด้วยสายตาที่สำนึกผิด หลินเม่ยเจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้านก็จ้องไปที่ไป๋ถังและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ปล่อยคนอีกหรือคะ” ไป๋ถังปล่อยมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้รับอิสรภาพ เธอก็บีบนวดไหล่ของตนด้วยความปวดเมื่อย และฟ้องร้องกับหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่หลินทั้งน้ำตา “หัวหน้าหมู่บ้าน คุณต้องช่วยฉัน…แล้วก็ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันด้วยนะคะ สองสามีภรรยาคู่นี้น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าลู่หยางเตะลูกชายของฉัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็จงใจพูดจาใส่ร้ายปล่อยข่าวลือว่าลูกสะใภ้ของฉันแอบสะกดรอยตามผู้ชาย แล้วฉันก็แก่แล้ว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นป้าสะใภ้ของหล่อนด้วยซ้ำ แต่หล่อนยังทำร้ายฉันได้ลงคอ!” หลี่กุ้ยหลันไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือตบตีลู่หยางก่อน เพราะหญิงวัยกลางตนถือว่าตนเองเป็นผู้อาวุโส จะลงมือทุบตีสั่งสอนหลานชายนั้นไม่ใช่เรื
สวีจ้าวมองดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างลู่หยางและไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ ความใกล้ชิดของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันไม่ถูกต้อง คนอื่นอาจจะไม่รู้ความคิดของไป๋ถัง แต่เขารู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการให้เขาพาเธอไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี หรือนี่อาจเป็นวิธีการที่เรียกร้องความสนใจของเธอหรือไม่ที่จงใจทำตัวสนิทสนมกับลู่หยางต่อหน้าของตน เพื่อทำให้เขารู้สึกหึงและอยากจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย หากว่านี่เป็นแผนการของเธอจริงๆ เขาก็ต้องบอกว่าแผนนี้ มันค่อนข้างจะได้ผลเพราะว่าเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายลี่จูเธอพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะไม่อยากให้แม่สามีนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือคนที่เริ่มปัญหาทั้งหมด ดวงตาของลี่จูสั่นไหว หญิงสาวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางเผลอมองไปที่ลู่หยาง ด้วยความไม่รู้ตัว เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เดินหลังค่อมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เขาดูตัวสูงและแข็งแรงมากกว่าเดิม หัวใจของเธอรู้สึกเต้นรัว แต่เมื่อมองดูคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเวลานี้ก็คือไป๋ถัง! ลี่จูกัดริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจ ทำไมคนในอ้อมกอดเขาถึงไม่เป็นเธอ! ในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างมากมาย ความ
หลังจากที่ทุกคนได้ดูรูปถ่ายของฆาตกรแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็สั่งให้แยกย้ายกันไปได้ แต่เจ้าหน้าที่หลินยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้านฉันมีบางคำที่ต้องพูด” หัวหน้าหมู่บ้านจ้าวรีบยกมือขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงก่อน “ทุกคนอย่าเพิ่งไปเจ้าหน้าที่หลินมีเรื่องจะพูด” คนที่เพิ่งลุกขึ้นไปเมื่อสักครู่จึงนั่งลงไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่หลินมองไปที่ชาวบ้านทุกคนและเปล่งเสียงของตนออกมา “ฉันมีบางคำที่จะบอก เมื่อสักครู่ทุกคนได้ยินเรื่องที่เยาวชนผู้มีการศึกษาเป็นฆาตกรนี้อาจทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง... แต่ว่ากลุ่มเยาวชนผู้มีการศึกษาในหมู่บ้านของเรากำลังจะกลับเข้า เมืองหลวงดังนั้นขอให้ชาวบ้านอย่าได้หวาดกลัวจนเลือกปฏิบัติกับพวกเขานะคะ ฉันเชื่อว่าเยาวชนที่มีการศึกษาในหมู่บ้านของเราเป็นคนดีทุกคน” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอชาวบ้านก็หันไปมองเยาวชนที่มีการศึกษาที่มีกันอยู่ห้าคน มีคู่รักชายหญิงที่ยืนยันความสัมพันธ์กันแล้วนอกจากนั้นก็เหลือเพียงชายโสดอีกแค่สามคน ในบรรดาชายหนุ่มที่เหลือยกเว้น สวีจ้าว พวกเขาไม่ได้หน้าตาดีนัก แต่พวกเขาเป็นพวกฉลาดเฉลียวและมีความคิดมองการณ์ไกลจึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
ในตอนนั้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายของพรรค มีเยาวชนที่มีการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งจากเมืองหลวงมายังชนบท และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเลวร้ายมาก และชีวิตของเยาวชนที่มีการศึกษาก็ลำบาก ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะแต่งงานกับชาวบ้านในท้องถิ่นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในท้ายที่สุดใครจะคิดว่าจะมีการปฏิรูปประเทศและเริ่มฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ตอนนี้เยาวชนที่มีการศึกษาสามารถกลับเข้าเมืองเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนคนที่แต่งงานไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้วเยาวชนเหล่านี้ก็คิดว่าตนเอง เป็นคนมีการศึกษา การได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงอนาคตของพวกเขาย่อมสดใส ใครจะยอมคนอุดอู้อยู่ที่ชนบทอีกต่อไปกันเล่า เมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว เยาวชนเหล่านี้จะยังคิดถึงภรรยาหน้าเหลืองหรือสามีที่หยาบกร้านในชนบทอยู่อีกหรือ บางคนก็ฉลาดที่จะพูดปลอบใจภรรยาและสามีตัวเองว่า เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วจะกลับมารับไปอยู่ที่เมืองหลวง อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์มากมายว่า เยาวชนที่มีการศึ
#####18 สวีจ้าวคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงยอมหุบปาก หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว จึงสั่งให้ทั้งสองฝ่ายขอโทษกัน “เร็วเข้า พวกคุณรีบขอโทษกันและกันเถอะ เราจะได้เริ่มประชุมเรื่องสำคัญการเสียที ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว!” ทั้งสองฝ่ายต่างฝืนใจขอโทษซึ่งกันและกัน ไป๋ถังแกล้งทำเป็นเช็ดน้ำตา ทั้งที่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยด ก่อนจะกล่าวขอโทษครอบครัวลุงสามีด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากเรื่องนี้สงบเรียบร้อย หัวหน้าหมู่บ้านก็เรียกทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าลานนวดข้าว โดยเขาเป็นฝ่ายยืนตรงกลาง ไป๋ถังและลู่หยางอุ้มเด็กทั้งสองแล้วเดินไปข้างหน้า ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าที่เมื่อสักครู่ยังตกใจจนร้องไห้ ในตอนนี้พวกเขาดูนิ่งสงบมาก ไป๋ถังคิดว่าพวกเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจจึงรีบปลอบโยนเด็กน้อยทั้งสอง “พวกลูกวางใจเถอะพ่อกับแม่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้อยู่แล้ว” ลู่หยางก็ลูบหัวของพวกเขาเช่นกัน “ไหนให้พ่อดูซิ ตาบวมหรือเปล่า” เมื่อเห็นครอบครัวนี้ดูรักกันดี ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูประหลาดใจที่ได้เห็น โดยเฉพาะสวีจ้าวที่รู้ว่าไป๋ถังเกลียดเด็กทั้งสองมากแค่ไหน เพราะเขาเคยได้ยินเธอบ่นอยู่หลายครั้ง แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูรักลูกของตัวเอ
สวีจ้าวมองดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างลู่หยางและไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ ความใกล้ชิดของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันไม่ถูกต้อง คนอื่นอาจจะไม่รู้ความคิดของไป๋ถัง แต่เขารู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการให้เขาพาเธอไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี หรือนี่อาจเป็นวิธีการที่เรียกร้องความสนใจของเธอหรือไม่ที่จงใจทำตัวสนิทสนมกับลู่หยางต่อหน้าของตน เพื่อทำให้เขารู้สึกหึงและอยากจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย หากว่านี่เป็นแผนการของเธอจริงๆ เขาก็ต้องบอกว่าแผนนี้ มันค่อนข้างจะได้ผลเพราะว่าเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายลี่จูเธอพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะไม่อยากให้แม่สามีนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือคนที่เริ่มปัญหาทั้งหมด ดวงตาของลี่จูสั่นไหว หญิงสาวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางเผลอมองไปที่ลู่หยาง ด้วยความไม่รู้ตัว เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เดินหลังค่อมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เขาดูตัวสูงและแข็งแรงมากกว่าเดิม หัวใจของเธอรู้สึกเต้นรัว แต่เมื่อมองดูคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเวลานี้ก็คือไป๋ถัง! ลี่จูกัดริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจ ทำไมคนในอ้อมกอดเขาถึงไม่เป็นเธอ! ในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างมากมาย ความ
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคไหน คนของทางการก็มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทชาวบ้านทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา ครอบครัวของลู่ฮุย เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็หยุดชะงัก ลู่ฮุยรีบวางพลั่วขุดดินลงด้วยสายตาที่สำนึกผิด หลินเม่ยเจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้านก็จ้องไปที่ไป๋ถังและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ปล่อยคนอีกหรือคะ” ไป๋ถังปล่อยมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้รับอิสรภาพ เธอก็บีบนวดไหล่ของตนด้วยความปวดเมื่อย และฟ้องร้องกับหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่หลินทั้งน้ำตา “หัวหน้าหมู่บ้าน คุณต้องช่วยฉัน…แล้วก็ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันด้วยนะคะ สองสามีภรรยาคู่นี้น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าลู่หยางเตะลูกชายของฉัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็จงใจพูดจาใส่ร้ายปล่อยข่าวลือว่าลูกสะใภ้ของฉันแอบสะกดรอยตามผู้ชาย แล้วฉันก็แก่แล้ว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นป้าสะใภ้ของหล่อนด้วยซ้ำ แต่หล่อนยังทำร้ายฉันได้ลงคอ!” หลี่กุ้ยหลันไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือตบตีลู่หยางก่อน เพราะหญิงวัยกลางตนถือว่าตนเองเป็นผู้อาวุโส จะลงมือทุบตีสั่งสอนหลานชายนั้นไม่ใช่เรื
ไป๋ถังมองผู้หญิงถักเปียที่ยืนอยู่ด้านข้างของลี่จูดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะชื่อชุนเหยียน ทั้งคู่ช่างเหมาะสมที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบทำตัวน่ารำคาญเหมือนๆ กัน “พี่สะใภ้รู้ได้อย่างไรว่าสวีจ้าวให้ฉันยืมอาหารแค่คนเดียว พี่สะใภ้คอยเฝ้าดูเขาตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอคะ”ไป๋ถังจงใจพูดแบบคลุมเครือ ลี่จูเป็นคนในยุคนี้ตรงนั้นเธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินคำพูดของไป๋ถังจึงโกรธขึ้นมาทันทีชี้ “อย่าพูดพล่อยๆนะ”“แล้วเมื่อสักครู่พี่สะใภ้ไม่ได้พูดพล่อยๆ ใส่ร้ายฉันก่อนเหรอ”ไป๋ถังโต้กลับอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านโดยรอบรู้สึกขบขันและพากันชี้ไปที่ลี่จู เธอรู้สึกตื่นตระหนกและอับอายสายตาผู้คน ลู่เฉิงคือสามีของลี่จู วันนี้เนื่องจากโรงงานหยุดเขาจึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มยืนห่างออกไปไม่มากเพราะต้องคอยดูลูกชายของตน เมื่อเห็นว่าภรรยาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาจึงรีบเดินเข้ามาช่วยเหลือ ไป๋ถังกล้าพูดจาดูถูกภรรยาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร! ลู่เฉิงโกรธจนควันแทบจะออกหูเขาส่งลูกชายของจนให้พ่อแม่ดูแล แล้วรีบเดินไปหาภรรยา ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ลี่จูเพื่อแสดงความปกป้อง สายตาจ้
วันรุ่งขึ้นเสียงฆ้องเรียกประชุมดังสนั่นมาจากนอกบ้าน มีเสียงคนตะโกนว่า “เรียกประชุมด่วน เรียกประชุมด่วน อีกครึ่งชั่วโมงทุกคนมาเจอกันที่ลานนวดข้าว!” ไป๋ถังลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่อเห็นว่าทั้งแขนและขาของเธอพาดทับไปที่ลู่หยาง ใบหน้าเล็กๆ ก็แข็งทื่อ เธอลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นพวกนอนดิ้น ในตอนที่อยู่โลกเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เธอนอนดิ้นจนตกเตียงลงไป เตียงที่เธอนอนจะต้องกว้างมากกว่าห้าเมตร! หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าลู่หยางจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเธอกอดเขาอยู่ เธอค่อยไป ยกมือและเท้าขึ้นฝากตัวของชายหนุ่มเบา ๆแต่ลู่หยางที่อุทิศแขนให้เธอนอนหนุนต่างหมอน เขาก็ตื่นขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก “คุณนอนกอดผมทั้งคืนเลยนะ รู้สึกสบายดีไหมล่ะ” “...” ไป๋ถังพูดไม่ออกเธอรู้สึกเขินอาย เมื่อมองชายหนุ่มที่แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็ยังคงดูดี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ... ฉันเป็นพวกนอนดิ้น เมื่อคืนต้องลำบากคุณแล้ว” ลู่หยางจ้องไปที่ใบหน้าแดงของเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ดูเจ้าอารมณ์ พูดจาโผงผาง แต่บางครั้งก็ดูท่าทางน่าเอ็นดู เ
การมีภรรยาเป็นโจรอยู่ในครอบครัวนั้น มันทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเป็นโรคประสาทภรรยาของเขาเป็นคนพูดตรงจนทำให้เขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “ผมจะไปต้มน้ำไว้ให้คุณกับลูกอาบ คุณนั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับไป๋ถังอีก เขาลุกขึ้นและรีบเดินกลับไปที่ครัว เมื่อเห็นท่าทางลนลานของเขา ไป๋ถังก็ตะโกนตามหลัง “คุณอายเหรอคะ” มุมปากของลู่หยางกระตุก ผู้หญิงคนนี้!ลู่หยางพยายามไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขากลัวว่ายิ่งเขาคุยด้วย อีกฝ่ายก็จะยิ่งกลั่นแกล้งเขา เขารู้สึกว่าในยุคอวกาศ ในยามที่พวกผู้ชายออกมาข้างนอก พวกเขาต้องระมัดระวังตัวกันมากแน่! เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นว่าแม่ของพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันแต่เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะตามไปด้วย ต้าเป่าคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขา มีเสียงหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ต้าเป่าก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มือก็ออกแรงล้างจานต่อไปพวกเขาผลัดกันอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะบ้านของพวกเขาไม่มีทีวี อันที่จริงในหมู่บ้านชน
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่