ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคไหน คนของทางการก็มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทชาวบ้านทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา ครอบครัวของลู่ฮุย เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็หยุดชะงัก ลู่ฮุยรีบวางพลั่วขุดดินลงด้วยสายตาที่สำนึกผิด หลินเม่ยเจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้านก็จ้องไปที่ไป๋ถังและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ปล่อยคนอีกหรือคะ” ไป๋ถังปล่อยมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้รับอิสรภาพ เธอก็บีบนวดไหล่ของตนด้วยความปวดเมื่อย และฟ้องร้องกับหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่หลินทั้งน้ำตา “หัวหน้าหมู่บ้าน คุณต้องช่วยฉัน…แล้วก็ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันด้วยนะคะ สองสามีภรรยาคู่นี้น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าลู่หยางเตะลูกชายของฉัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็จงใจพูดจาใส่ร้ายปล่อยข่าวลือว่าลูกสะใภ้ของฉันแอบสะกดรอยตามผู้ชาย แล้วฉันก็แก่แล้ว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นป้าสะใภ้ของหล่อนด้วยซ้ำ แต่หล่อนยังทำร้ายฉันได้ลงคอ!” หลี่กุ้ยหลันไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือตบตีลู่หยางก่อน เพราะหญิงวัยกลางตนถือว่าตนเองเป็นผู้อาวุโส จะลงมือทุบตีสั่งสอนหลานชายนั้นไม่ใช่เรื
สวีจ้าวมองดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างลู่หยางและไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ ความใกล้ชิดของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันไม่ถูกต้อง คนอื่นอาจจะไม่รู้ความคิดของไป๋ถัง แต่เขารู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการให้เขาพาเธอไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี หรือนี่อาจเป็นวิธีการที่เรียกร้องความสนใจของเธอหรือไม่ที่จงใจทำตัวสนิทสนมกับลู่หยางต่อหน้าของตน เพื่อทำให้เขารู้สึกหึงและอยากจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย หากว่านี่เป็นแผนการของเธอจริงๆ เขาก็ต้องบอกว่าแผนนี้ มันค่อนข้างจะได้ผลเพราะว่าเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายลี่จูเธอพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะไม่อยากให้แม่สามีนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือคนที่เริ่มปัญหาทั้งหมด ดวงตาของลี่จูสั่นไหว หญิงสาวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางเผลอมองไปที่ลู่หยาง ด้วยความไม่รู้ตัว เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เดินหลังค่อมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เขาดูตัวสูงและแข็งแรงมากกว่าเดิม หัวใจของเธอรู้สึกเต้นรัว แต่เมื่อมองดูคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเวลานี้ก็คือไป๋ถัง! ลี่จูกัดริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจ ทำไมคนในอ้อมกอดเขาถึงไม่เป็นเธอ! ในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างมากมาย ความ
#####18 สวีจ้าวคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงยอมหุบปาก หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว จึงสั่งให้ทั้งสองฝ่ายขอโทษกัน “เร็วเข้า พวกคุณรีบขอโทษกันและกันเถอะ เราจะได้เริ่มประชุมเรื่องสำคัญการเสียที ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว!” ทั้งสองฝ่ายต่างฝืนใจขอโทษซึ่งกันและกัน ไป๋ถังแกล้งทำเป็นเช็ดน้ำตา ทั้งที่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยด ก่อนจะกล่าวขอโทษครอบครัวลุงสามีด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากเรื่องนี้สงบเรียบร้อย หัวหน้าหมู่บ้านก็เรียกทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าลานนวดข้าว โดยเขาเป็นฝ่ายยืนตรงกลาง ไป๋ถังและลู่หยางอุ้มเด็กทั้งสองแล้วเดินไปข้างหน้า ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าที่เมื่อสักครู่ยังตกใจจนร้องไห้ ในตอนนี้พวกเขาดูนิ่งสงบมาก ไป๋ถังคิดว่าพวกเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจจึงรีบปลอบโยนเด็กน้อยทั้งสอง “พวกลูกวางใจเถอะพ่อกับแม่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้อยู่แล้ว” ลู่หยางก็ลูบหัวของพวกเขาเช่นกัน “ไหนให้พ่อดูซิ ตาบวมหรือเปล่า” เมื่อเห็นครอบครัวนี้ดูรักกันดี ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูประหลาดใจที่ได้เห็น โดยเฉพาะสวีจ้าวที่รู้ว่าไป๋ถังเกลียดเด็กทั้งสองมากแค่ไหน เพราะเขาเคยได้ยินเธอบ่นอยู่หลายครั้ง แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูรักลูกของตัวเอ
ในตอนนั้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายของพรรค มีเยาวชนที่มีการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งจากเมืองหลวงมายังชนบท และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเลวร้ายมาก และชีวิตของเยาวชนที่มีการศึกษาก็ลำบาก ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะแต่งงานกับชาวบ้านในท้องถิ่นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในท้ายที่สุดใครจะคิดว่าจะมีการปฏิรูปประเทศและเริ่มฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ตอนนี้เยาวชนที่มีการศึกษาสามารถกลับเข้าเมืองเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนคนที่แต่งงานไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้วเยาวชนเหล่านี้ก็คิดว่าตนเอง เป็นคนมีการศึกษา การได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงอนาคตของพวกเขาย่อมสดใส ใครจะยอมคนอุดอู้อยู่ที่ชนบทอีกต่อไปกันเล่า เมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว เยาวชนเหล่านี้จะยังคิดถึงภรรยาหน้าเหลืองหรือสามีที่หยาบกร้านในชนบทอยู่อีกหรือ บางคนก็ฉลาดที่จะพูดปลอบใจภรรยาและสามีตัวเองว่า เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วจะกลับมารับไปอยู่ที่เมืองหลวง อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์มากมายว่า เยาวชนที่มีการศึ
หลังจากที่ทุกคนได้ดูรูปถ่ายของฆาตกรแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็สั่งให้แยกย้ายกันไปได้ แต่เจ้าหน้าที่หลินยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้านฉันมีบางคำที่ต้องพูด” หัวหน้าหมู่บ้านจ้าวรีบยกมือขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงก่อน “ทุกคนอย่าเพิ่งไปเจ้าหน้าที่หลินมีเรื่องจะพูด” คนที่เพิ่งลุกขึ้นไปเมื่อสักครู่จึงนั่งลงไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่หลินมองไปที่ชาวบ้านทุกคนและเปล่งเสียงของตนออกมา “ฉันมีบางคำที่จะบอก เมื่อสักครู่ทุกคนได้ยินเรื่องที่เยาวชนผู้มีการศึกษาเป็นฆาตกรนี้อาจทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง... แต่ว่ากลุ่มเยาวชนผู้มีการศึกษาในหมู่บ้านของเรากำลังจะกลับเข้า เมืองหลวงดังนั้นขอให้ชาวบ้านอย่าได้หวาดกลัวจนเลือกปฏิบัติกับพวกเขานะคะ ฉันเชื่อว่าเยาวชนที่มีการศึกษาในหมู่บ้านของเราเป็นคนดีทุกคน” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอชาวบ้านก็หันไปมองเยาวชนที่มีการศึกษาที่มีกันอยู่ห้าคน มีคู่รักชายหญิงที่ยืนยันความสัมพันธ์กันแล้วนอกจากนั้นก็เหลือเพียงชายโสดอีกแค่สามคน ในบรรดาชายหนุ่มที่เหลือยกเว้น สวีจ้าว พวกเขาไม่ได้หน้าตาดีนัก แต่พวกเขาเป็นพวกฉลาดเฉลียวและมีความคิดมองการณ์ไกลจึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
หลังจากที่ครอบครัวของป้าสะใภ้จากไป ลู่หยางและไป๋ถังก็เดินกลับบ้าน โดยผ่านหอพักเยาวชนที่มีการศึกษาโดยไม่แวะเลยสักนิด สวีจ้าวยืนอยู่ที่มุมประตู มองดูด้านหลังของ ไป๋ถังที่เดินจากไปโดยไม่หันมามอง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนทำไมหญิงสาวถึงไม่มาเธอไม่อยากแต่งงานกับเขาแล้วงั้นหรอ!หลังจากกลับบ้าน ลู่หยางไปทำปลาต้มมันฝรั่ง และแป้งข้าวโพดจี่ เป็นอาหารมื้อเช้า ส่วนไป๋ถังเล่นกับเด็กสองคนอยู่ที่ลานหน้าบ้านเมื่อเห็นกลุ่มมดเดินกันเป็นแถว เสี่ยวเป่าก็นั่งยอง ๆ และนับจำนวนพวกมันด้วยใบหน้ามีความสุข“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หนึ่ง สอง สาม...ห้า หนึ่ง...” เด็กน้อยนับหนึ่งได้ถึงห้าเท่านั้น เมื่อเขาถึงเลขห้าก็จะย้อนกลับไปนับเลขหนึ่งใหม่ไป๋ถังไม่ได้สนใจในตอนแรก แต่หลังจากฟังเขาพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง เธอก็นึกสงสัย “เสี่ยวเป่า นับเลขได้ถึงห้าเท่านั้นหรือ”เสี่ยวเป่านั่งลงบนพื้นแล้วหันกลับมา เขาพยักหน้า “แม่ เสี่ยวเป่าฉลาดไหม”ไป๋ถังหัวเราะแล้วสัมผัสศีรษะเล็กๆ ของเขา “ใช่ ฉลาดมาก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ต้าเป่าก็ยกคางขึ้นแล้วพูดขึ้นมาเพื่อให้แม่ชมเชย “แม่...ผมเป็นคนสอนน้องชายเอง”“จริงเหรอ ต้าเป่
อีกด้านหนึ่งครอบครัวของ ลู่เฉิงกำลังกินอาหารเช้ากันด้วยความไม่สบอารมณ์ในขณะที่กินข้าวหลี่กุ้ยหลันก็ยังคงด่าทอไป๋ถังไปด้วย ทุกคำพูดล้วนสบถออกมาจนหมดไม่ว่าจะเป็นไร้ยางอายหรือโสเภณีลี่จูกินโดยที่เอาแต่ก้มหน้า เธอไม่กล้าส่งเสียงออกมาเพราะกลัวว่า แม่สามีและสามีของเธอจะลุกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้มีต้นเหตุมาจากที่เธอไปหาเรื่องไป๋ถังก่อนโชคดีที่ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดของแม่สามีล้วนไปลงที่ไป๋ถัง “แม่ เลิกโมโหเถอะกินข้าวให้อิ่มก่อน...เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง!” ลู่เฉิงคีบผักดองลงในชามให้กับแม่หน้าอกของหลี่กุ้ยหลันกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความหงุดหงิด “จะไม่ให้ฉันโมโหได้อย่างไร วันนี้ครอบครัวของพวกเราเสียหน้ามากจริงๆ!”หญิงวัยกลางคนหันไปถามลูกชายของเธอว่า “เมื่อสักครู่นี้แกบอกว่าจะจัดการเอง แล้วแกมีวิธีการอะไรที่จะจัดการพวกมันหรอ”ลู่เฉิงกัดฟันและพูดว่า “แม้ว่าผมจะสู้มันด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ แต่ผมเรียกต้าเว่ยมาจัดการพวกมัน ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนสองคนจะจัดการไอ้ตัวไร้ค่าคนนั้นไม่ได้”ต้าเว่ยเป็นเพื่อนจากหมู่บ้านเดียวกันที่ออกมาช่วยลู่เฉิงในวันนี้ เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่ออกมาตำหนิลู่
ชีวิตประจำวันของพ่อแม่มือใหม่ทั้งสองคือทำงานและเลี้ยงดูลูก ไป๋ถังมีหน้าที่อยู่เป็นเพื่อนๆ คอยดูแลเด็กๆ อยู่ที่บ้านส่วนชายหนุ่มช่วงเช้าไปทำงานรับแต้มค่าแรงในไร่ ส่วนตอนบ่ายขึ้นเขาออกไปล่าสัตว์ บางวันได้ปลา บางวันได้ไก่ป่าผ่านไปหลายวันชีวิตของพวกเขาก็สงบสุขดี มีเนื้อสัตว์ให้กินทุกวัน ใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองก็เริ่มผ่องใสมีเลือดฝาดขึ้นมาส่วนฆาตกร เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจับตัวเขาได้ ในหมู่บ้านก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเพิ่มเติมเช้านี้ก็เป็นอีกวันที่ธรรมดา ไป๋ถังยกจานแป้งข้าวโพดจี่ออกมา ส่วนลู่หยางก็ถือถ้วยซุปปลาออกมาพร้อมกับชามเปล่าอีกสี่ใบเด็กน้อยทั้งสองอยากจะไปช่วยพ่อยกชามด้วยความกระตือรือร้น “ไม่เป็นไรหรอกลูก พ่อยกเองได้ พวกลูกไปนั่งรอเถอะ”ไป๋ถังกวักมือให้เด็กๆ มานั่งที่เก้าอี้ตัวเล็ก “ต้าเป่า เสี่ยวเป่า รีบมานั่งเร็ว”เด็กทั้งสองวิ่งกลับไปและนั่งอย่างเชื่อฟังบนม้านั่งตัวเล็ก สายตาคอยจ้องมองที่จานแป้งจี่และซุปปลาที่อยู่ตรงหน้าเด็กน้อยดีใจมากที่ทุกวันได้กินอาหารอย่างเต็มอิ่มลู่หยางวางชามไปตรงหน้าเด็กสองคน และคีบแป้งข้าวโพดจี่ใส่ชามให้พวกเขา “พวกลูกรีบกินเถอะ…รสชาติของน้ำซุปจะอร่อ
ลู่ซีซีโทรกลับไปหาที่บ้านและบอกว่าตอนนี้เธอได้อยู่กับพี่ชายคนรองเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อคือคนที่มารับสาย“ลูกดูแลตัวเองดีๆ นะ รีบพักผ่อนเถอะ”ลู่หยางวางสายแล้วถอนหายใจออกมาไป๋ถังที่นั่งอยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเข้าใจ “เริ่มคิดถึงลูกสาวแล้วใช่ไหมคะ” เธอจับมือของสามีเอาไว้และพูดปลอบใจ “ลูกๆ ของเราทุกคนโตขึ้นทุกวัน พวกเขาย่อมต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง”ลู่หยางเข้าใจในข้อนี้ดี แต่เขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ “ซีซีเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่เคยออกจากบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ นานแบบนี้”“ตอนนี้คุณต้องทำใจไว้ให้ชินเถอะค่ะ ในอนาคตลูกสาวของเราก็จะต้องแต่งงาน” ไป๋ถังพูดแกล้งอีกฝ่าย“ลูกเขยในอนาคตของผมต้องสามารถดูแลซีซีของเราได้ ถ้าหาลูกเขยไม่ได้จริงๆ พวกเราก็แค่เลี้ยงดูเธอไปตลอดเท่านั้น”“ช่างเถอะค่ะ ฉันไม่คุยกับคุณเรื่องนี้แล้ว ยิ่งแก่คุณก็ยิ่งเรื่องมากนะคะ” ไป๋ถังบ่นแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องลู่หยางได้ยินเธอบ่นว่าตนเองแก่ เขาก็รีบตามเข้าไปในห้องเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้แก่อย่างที่เธอคิด“ผมแก่อย่างที่คุณว่าอยู่หรือเปล่าครับ” ลู่หยางถามขณะทาบทับอยู่บนหลังของเธอไป๋ถังส่งเสียงครางในลำคอ มือทั้งสองกุมผ้าห่มใต้ร่
ในปี 1999 ไป๋ถังได้นำเข้าคอมพิวเตอร์มาจากต่างประเทศ เธอเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่หลายสาขาแม้จำนวนเกมส์ในเครื่องจะมีไม่มากแต่พวกเด็กวัยรุ่นก็นิยมเข้ามาเล่นเป็นจำนวนมากเพราะว่ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่ กิจการนี้เฟื่องฟูจนทำให้ครอบครัวของเธอยิ่งร่ำรวยมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเหลือกินเหลือใช้จนถึงรุ่นเหลนฝาแฝดทั้งสองในปีนี้มีอายุได้ยี่สิบสองปี ลู่เจี้ยนลูกชายคนโตชอบเรียนหนังสือ ตอนนี้เขากำลังจะเรียนต่อปริญญาโทและในอนาคตอาจจะเรียนต่อปริญญาเอกต่อไป ซึ่งลู่หยางและไป๋ถังสนับสนุนลูกทุกคนให้ทำตามสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่โดยไม่บังคับใดๆส่วนลู่จวิ้นลูกชายคนรองชอบทำธุรกิจ เขาชื่นชอบธุรกิจสื่อบันเทิง จึงตั้งบริษัทเพื่อซื้อภาพยนตร์ในวงการฮอลลีวูดมาฉายภายในประเทศ ซึ่งธุรกิจนี้สร้างเม็ดเงินให้กับเขาเป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศ เพื่อสรรหาภาพยนตร์ที่น่าสนใจเข้ามาฉายและปีนี้ลู่ซีซีลูกสาวคนเล็กอายุสิบเจ็ด เพราะเข้าเรียนเร็ว เธอจึงจบระดับมัธยมปลายตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้หญิงสาวตัดสินใจที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยมีลู่จวิ้นที่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศนั้นคอยดูแลวันนี้ลู่หยาง ไป๋ถังและลู่
แม้ว่าลู่หยางและลูกชายทั้งสองจะพยายามขัดขวาง ไม่ให้ลู่ซีซีได้เข้าใกล้กับผู้ชายมากเกินไป แต่ไป๋ถังค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้และต้องการให้ลูกสาวมีเพื่อนเพิ่มหลายๆ คนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ในปี 1985 ลู่ซีซีมีอายุได้สามขวบ ขณะที่เธอกำลังขี่จักรยานอยู่ในสนามเด็กเล่น ก็มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ วิ่งเข้ามาหาและชวนเธอพูดคุยด้วย “น้องสาว หยุดจักรยานก่อน ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” ซีซีหยุดและหันหน้าไปหาเขา ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย “พี่ชาย มีอะไรจะคุยกับซีซีเหรอคะ” เด็กน้อยมีท่าทีเขินอาย “ฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ” “ได้สิค่ะ” ซีซีตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มของเธอ เด็กชายเมื่อเห็นลักยิ้มของซีซี เขาก็คิดว่าเธอน่ารักมาก เขารีบแนะนำตัวเองให้เด็กหญิงรู้จักทันที “ฉันชื่อสือหยง ปีนี้อายุ 6 ขวบ กำลังจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา แล้วเธอล่ะ?” ลู่ซีซีตอบกลับด้วยเสียงเล็กๆ “หนูชื่อลู่ซีซี ปีนี้อายุสามขวบ ปีหน้าจะเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง” เธอยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือกับอีกฝ่าย เพราะผู้เป็นแม่บอกว่าเวลามีเพื่อนใหม่ต้องจับมือกันเพื่อแสดงความเป็นมิตรที่ดี แต่มือของเด็กน้อยทั้งสองยังไม่ทันจะได้สัมผัสกัน
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ภายใต้การดูแลของลู่หยาง ทำให้ไป๋ถังมีความสุขมาก และตอนนี้เธออยู่ในช่วงใกล้คลอด วันนี้เธอจึงไปเดินเที่ยวที่สวนสาธารณะเพื่อที่จะได้คลอดง่ายๆลู่หยางซื้อกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภรรยาและลูกๆ เก็บไว้เป็นความทรงจำ ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาวิ่งกันไปรอบๆ และขอให้ผู้เป็นพ่อถ่ายรูปของพวกเขา“พ่อ ถ่ายรูปผมหน่อย”“พ่อ ผมอยู่นี่”“พ่อ ทำไมพ่อไม่ถ่ายรูปผมเลย”“พ่อ!”เด็กน้อยวิ่งกันวุ่นวาย ลู่หยางที่กำลังจดจ่ออยู่กับการถ่ายภาพของไป๋ถัง บางครั้งก็หันไปถ่ายลูกชายทั้งสองที่วิ่งไปวิ่งมา เด็กน้อยทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงมากขึ้นตามวัยของพวกเขาไป๋ถังหัวเราะกับท่าทางถ่ายรูปของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังทำท่าตลกๆ แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกปวดท้อง หญิงสาวรีบตะโกนเรียกสามี “เสี่ยวหยาง”เมื่อลู่หยางได้ยิน เขาก็วิ่งไปหาเธอแทบจะทันที “เสี่ยวไป๋!”“ฉันปวดท้อง ตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่าจะคลอดเลยค่ะ” ไป๋ถังพูดพร้อมกุมท้องของเธอ ที่ส่วนล่างก็รู้สึกเหมือนกับมีน้ำไหลออกมาลู่หยางอุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วหันไปบอกลูกๆ ทั้งสอง “อาเจี้ยนจูงมือน้องตามพ่อมา”ลู่เจี้ยนและลู่จวิ้นตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จ
เมื่อลู่หยางและไป๋ถังกลับมาถึงบ้าน เด็กน้อยทั้งสองก็รีบวิ่งมาหาพ่อกับแม่ของตนด้วยความดีใจ“พ่อ!” ต้าเป่ากอดต้นขาของลู่หยาง ส่วนเสี่ยวเป่ากอดต้นขาของไป๋ถัง เด็กน้อยทั้งคู่เงยหน้ามองด้วยดวงตาใสแจ๋วทั้งสองสามีภรรยาจึงอุ้มเด็กน้อยเข้าเอว และเช็ดหน้าที่เปื้อนเหงื่อให้กับพวกเขาก่อนจะหัวเราะเสียงดัง“แม่ครับ ซื้อขนมมาให้พวกผมด้วยหรือครับ” เสี่ยวเป่าถามด้วยน้ำเสียงเล็กๆไป๋ถังหัวเราะออกมาและพูดว่า “เจ้าหนูน้อยชอบกิน!”จากนั้นเธอก็ให้ลู่หยางส่งกระเป๋าที่อยู่ด้านข้างมาให้ แล้วหยิบขนมขึ้นชื่อจากเมืองหลวงมาแกะแบ่งให้กับเด็กน้อยทั้งสองได้ชิม“ขอบคุณครับพ่อ!” เด็กแฝดทั้งคู่พูดอย่างมีความสุขและเริ่มกินขนม ลู่หยางและไป๋ถังยิ้มอย่างมีความสุขการมีลูกๆ ตัวน้อยคอยอยู่ที่บ้านมันช่างทำให้พวกเขาอบอุ่นในหัวใจราวกับมีเสื้อบุนวมตัวเล็กๆ ห่อหุ้มอยู่ฝ่ายลี่จูเห็นไป๋ถังกลับมาจากเมืองหลวงพร้อมกับลู่หยาง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะมีอนาคตที่ดีขึ้นอีกแล้ว เธอนึกเศร้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่โชคดีแบบนี้บ้าง ตอนนี้คนในครอบครัวของสามีต่างเกลียดเธอ เป็นเพราะว่าเธอแอบนำเงินเก็บในบ้านไปลงทุนและสินค้าก็ขายไม่ออกจนสูญเสียเงินไปเปล่
สองสามีภรรยาวัยชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินว่าลู่หยางตกลงที่จะซื้อบ้าน“นี่เป็นเงินสองพันหยวนค่ะ คุณลุงลองนับดูอีกครั้งสิคะว่าครบหรือไม่”ไป๋ถังนับเงินสองพันหยวน จากกระเป๋าให้ลุงมู่ เมื่อชายชรารับไปก็นับเงินอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าอย่างอย่างระมัดระวัง ส่งให้ภรรยาของตนเป็นคนเก็บไว้เมื่อตกลงซื้อขายบ้านกันได้ลุงมู่ก็เข็นจักรยานออกไปกับกลุ่มของลู่หยาง เพื่อทำการโอนบ้าน ในอนาคตการซื้อทรัพย์สินค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่าในยุคนี้พวกเขาเพียงแค่ไปลงทะเบียนโดยตรงกับสำนักงานการจัดการที่อยู่อาศัยหลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม เมื่อเจ้าหน้าที่ประทับตราลงบนหนังสือความเป็นเจ้าของบ้าน มันก็มีผลตามกฎหมายทันที บ้านหลังนี้จึงกลายเป็นของไป๋ถัง พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง การดำเนินการทุกอย่างก็เสร็จสิ้น และลุงมู่จะย้ายออกจากบ้านไปเซี่ยงไฮ้ในสิ้นเดือนนี้ในเวลานี้พวกเขาได้มีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคือการซื้อโกดังเพื่อก่อตั้งโรงงาน “ผมมีโกดังเก่าอยู่แห่งหนึ่ง คุณลู่อยากลองไปดูไหมครับ” “ไปเลยครับ” เมื่อได้ยินดังนั้นผู้จัดการฟ่านจึงพาเขาและไป๋ถังไปดูโกดังที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเห็
ตอนนี้พวกเขามีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของตัวเองแล้ว แต่ว่าก่อนที่จะเปิดโรงงานพวกเขาต้องหาซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งโรงงานเสียก่อนพวกเขาทั้งคู่เดินทางเข้าเมืองหลวงโดยให้พ่อกับแม่มาคอยดูแลลูกฝาแฝดทั้งสอง เพราะการเดินทางโดยรถไฟในสมัยนี้ค่อนข้างลำบาก“ต้าเป่า เสี่ยวเป่า เดี๋ยวพอกับแม่จะรีบกลับมาหานะ ตอนนี้อยู่กับคุณตาคุณยายไปก่อนนะครับ “ ลู่หยางลูบหัวลูกน้อยทั้งสองที่ทำตาละห้อย ยืนส่งพวกเขาที่หน้าบ้าน“พ่อกับแม่รีบกลับมานะครับ” เสี่ยวเป่าพูดกำชับด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ของเขา“แน่นอนจ้ะ แม่กับพ่อจะรีบกลับมา” ไป๋ถังให้สัญญากับลูกๆความเร็วของรถไฟในช่วงทศวรรษที่ 1980 อยู่ระหว่าง 60 ถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจากอำเภอที่พวกเขาอาศัยไปยังเมืองหลวง ใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง รถไฟจะออกในเวลาเที่ยงคืนของทุกวันและจะไปถึงเมืองหลวงในตอนเที่ยงของอีกวันถัดมาสถานีรถไฟ เต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการจะเดินทางไปยังเมืองหลวง ดังนั้นที่นี้จึงมักแออัดและมีเสียงพูดคุยของชาวบ้านดังอื้ออึงแม้ว่าอุณหภูมิในตอนกลางคืนจะไม่ค่อยร้อน แต่เป็นเพราะมีคนเป็นจำนวนมากเกินไป อากาศในสถานีรถไฟจึงถ่ายเทได้ไม่เต็มที่ มันเต็มไปด้วยกลิ่นที่ไ
แบบเสื้อผ้าที่ลู่หยางได้ขายให้กับโรงงานของเจียงชิง ได้ราคามาสี่พันหยวน ส่วนรายได้จากส่วนแบ่งสี่เปอร์เซ็นจะถูกคำนวณอีกครั้งในตอนสิ้นเดือน ไป๋ถังลองไปเดินสำรวจร้านค้าก็เห็นว่ารูปแบบเสื้อผ้าของลู่หยางได้รับความนิยมมาก รายได้ตอนสิ้นเดือนที่คำนวณออกมาพวกเขาจะต้องได้ไม่น้อยแน่“ไม่น่าเชื่อนะคะว่า เสื้อผ้าในยุคนี้จะขายดีมากขนาดนี้” ไป๋ถังพูดขึ้นมา“ยุคนี้เป็นช่วงเฟื่องฟูของกิจการเสื้อผ้าครับ เราจะกอบโกยได้ในเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้เท่านั้น ในอนาคตก็จะมีหลายโรงงานผุดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ด คู่แข่งทางการค้าก็จะมีมาก ส่วนแบ่งทางการตลาดก็จะมากขึ้นไปด้วย”“แต่คงอีกนานเลยเราถึงจะก็มีเงินทุนมากพอที่จะเปิดโรงงานของเราเอง”การเปิดโรงงานต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำอย่างน้อยหมื่นหยวน ทั้งซื้อที่ดินตั้งโรงงาน ซื้อจักรเย็บผ้าและจ้างคน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายรออยู่มหาศาล ตอนนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ขายแบบเสื้อผ้าและรอเก็บเงินแบ่งเปอร์เซ็นต์จากทางโรงงาน ช่วงเวลาว่าง ๆ จากการขายเสื้อผ้าที่แผงลอย ไป๋ถังจะไปรับซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้าน วันนี้ป้าซูในซอยข้างบ้านมาขอให้เธอซ่อมวิทยุให้เวลานี้เป็นเวลาตอนเย็นที่หลายบ้านกำลั
เมื่อไป๋ถังตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เธอนวดเอวที่ปวดเมื่อยไปหมด ส่วนกลางกายยังคงมีอาการเจ็บอยู่เล็กน้อย บ่งบอกว่าเมื่อคืนพวกเขาทั้งคู่ร้อนแรงกันขนาดไหนข้างกายของเธอว่างเปล่า เพราะลู่หยางตื่นขึ้นนานแล้ว วันนี้เขาวางแผนที่จะเข้าอำเภอ เพื่อไปคืนจักรยานและสอบถามผู้อำนวยการจาง ถึงเรื่องที่จะหาบ้านเช่าในอำเภอให้ได้หรือไม่ไป๋ถังเดินออกจากห้อง เธอเห็นชายหนุ่มกำลังต้มโจ๊กอยู่หน้าเตา หญิงสาวจึงชะโงกหน้าไปหอมแก้ม และกอดเขาจากด้านหลัง“รู้สึกเพลียไหมครับ” ลู่หยางเอี้ยวตัวมาหอมแก้มเธอเช่นกัน“นิดหน่อยค่ะ”เมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ทางกาย การแตะเนื้อต้องตัวก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้รู้สึกเคอะเขินซึ่งกันและกันเช้าวันนี้ลู่หยางปั่นจักรยานเข้าอำเภอ ไปหาผู้จัดการจางที่โรงงาน เมื่อไปถึงเขาก็บอกว่าได้หาบ้านเช่าให้กับลู่หยางได้แล้ว จากนั้นก็ให้ต้าจวงพาลู่หยางไปดูบ้านชายหนุ่มมองบ้านหลังสีขาวที่ดูเรียบง่ายก็รู้สึกพึงพอใจ ประกอบกับราคาค่าเช่าต่อเดือนก็ไม่แพงมาก เจ้าของบ้านคิดเพียง 4 หยวนต่อเดือนเท่านั้น แต่ชายหนุ่มต้องพาภรรยามาดูตัวบ้านเสียก่อนถึงจะตัดสินใจได้ ซึ่งผู้จัดการจางก็ให้เขายืมรถไ