ช่วงปี 1981 เยาวชนที่มีการศึกษาในหมู่บ้าน มีกำหนดที่จะกลับเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อทำการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ไป๋ถังลูกสะใภ้ตระกูลลู่ เมื่อได้ทราบข่าวเธอก็ไปหา สวีจ้าว เยาวชนผู้มีการศึกษาทุกวัน เพื่อหวังให้เขาพาตนเองกลับเข้าเมืองหลวงไปด้วย
หญิงสาวเดินส่ายสะโพกไปตามถนนด้วยท่าทางจริตจะก้าน ในเวลานี้เป็นช่วงบ่ายคล้อย ชาวบ้านพึ่งกินข้าวกลางวันและพักผ่อนจากการทำงานในทุ่งนา พวกเขามองดูใบหน้าของเธอที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง แล้วก็นึกดูถูกอยู่ในใจ
ไป๋ถังไม่ได้สนใจสายตาดูถูกของชาวบ้าน เธอเดินผ่านพวกเขาไปโดยไม่มองทาง แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรดินที่เธอเหยียบ จู่ๆ มันก็ทรุดตัวลงไป หญิงสาวจึงเสียการทรงตัวแล้วตกลงไปในคูน้ำข้างถนน!
มีหญิงสาวที่แต่งงานแล้วหลายคนที่พาลูกมานั่งรับลมเย็นๆ ใต้ต้นไทรใหญ่ มองเห็นเหตุการณ์แล้วพากันหัวเราะเยาะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูผู้หญิงชั่วคนนั้นสิ มัวแต่จะไปยั่วยวนผู้ชาย เดินไม่ยอมดูทางจนตกลงไปในคูน้ำข้างถนน!”
“สามีของหล่อนก็ช่างแปลกประหลาดนักภรรยาอยากจะปีนขึ้นไปบนเตียงคนอื่น เขาก็ยังไม่ยอมสนใจ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
ลี่จูนั่งฟังบรรดาเพื่อนบ้านนินทาไป๋ถังอย่างเงียบๆ มุมปากของเธอมีรอยยิ้มที่พึงพอใจ
ก่อนที่จะแต่งงานลี่จูและไป๋ถังเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน แต่ทั้งคู่กลับตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน หลังจากนั้นพวกเธอก็ผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้
แต่เมื่อมองดูสถานการณ์ตรงหน้า ลี่จูรู้สึกขอบคุณพ่อแม่ของตนเหลือเกิน ที่เตือนสติโดยบอกว่านอกจากใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว ลู่หยางก็ไม่มีอะไรดีเลย และในอนาคตเธอจะต้องอดอยากหากได้แต่งงานกับเขา ดังนั้นพ่อแม่ของเธอจึงบังคับให้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของลู่หยางแทน
ในเวลาไม่กี่ปีต่อมา คำพูดของพ่อแม่ล้วนเป็นจริง ลู่หยางยังคงยากจนเช่นเดิม แต่ครอบครัวของสามีเธอกลับมีฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ้มด้วยความรู้สึกว่าตนเองชนะ แต่ต่อหน้าคนอื่นก็ต้องแสร้งทำเป็นคนใจดี “ทำไมเธอยังไม่ขึ้นมาจากคูน้ำอีก ไม่รู้ว่าข้อเท้าแพลงหรือเปล่า พวกเราไปช่วยดึงเธอขึ้นมาเถอะ”
ลี่จูชวนเพื่อนบ้านอีกสองสามคนเข้าไปดูไป๋ถังที่นอนคว่ำอยู่ด้านล่าง และเมื่อเห็นว่าเธอค่อยๆ พลิกตัวขึ้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร พวกเธอจึงไม่ได้ลงไปช่วย
ไป๋ถังในตอนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงชั่วคนเดิมอีกต่อไป เธอคือโจรสลัดอวกาศในปี 4200 เพราะว่าเธอต้องขับยานเกราะ หนีจากการตามล่าของทหารอวกาศ เมื่อถึงคราวจวนตัว หญิงสาวจึงเปิดฟังก์ชั่นทะลุมิติ จากนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ได้ย้อนเวลามาถึง 2000 ปี!
ร่างกายที่เธอได้มาครอบครองคือหญิงสาวชาวบ้านที่มีชื่อเดียวกันกับเธอ จากความทรงจำของร่างเดิม เธอมีสามีที่แสนเกียจคร้านและลูกชายฝาแฝดวัย 4 ขวบอีกคู่หนึ่ง!
เพราะสามีเป็นคนขี้เกียจ เมื่อเขาไปทำงาน คะแนนการทำงานของเขาจะได้น้อยที่สุด และอาหารที่ได้รับการปันส่วนมาก็น้อย ในที่สุดไป๋ถังก็ได้รู้ว่าเธอแต่งงานกับผู้ชายไร้ประโยชน์ และเข้าใจถึงความสำคัญของเงิน
ดังนั้นเธอจึงแต่งตัวสวยๆ และไปยั่วยวนสวีจ้าวอยู่บ่อยๆ เพื่อหวังติดตามเขาไปมีชีวิตที่ดีขึ้นในเมืองหลวงไป๋ถังโมโหยิ่งนัก ดูเหมือนว่าพ่อค้าต่างโลกคนนั้น จะขายยานเกราะที่มีคุณภาพต่ำให้กับเธอ แต่ถึงเธอจะโกรธขนาดไหน ตอนนี้ก็ไม่สามารถกลับไปเล่นงานเขาได้!
หญิงสาวลุกขึ้นยืนแม้บนตัวจะยังเปื้อนไปด้วยโคลน เธอก็ไม่สนใจรีบโหนตัวขึ้นไปบนถนนโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว!
มีหญิงสาวหลายคนที่มองดูไป๋ถังด้วยความตลกขบขัน แต่เมื่อพวกเธอเห็นการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของไป๋ถัง พวกเธอก็ถอยหลังหนีด้วยความประหลาดใจ
“ไป๋ถังแข็งแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”ลี่จูพึมพำกับตนเอง เธอรู้จักไป๋ถังมากกว่าคนอื่นๆ ไป๋ถังเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่หาได้ยากในยุคนี้ พ่อแม่รักเธอมากและไม่เคยปล่อยให้เธอไปทำงานในทุ่งนา นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมีผิวขาว และรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นกว่าผู้หญิงชาวบ้านทั่วไป ถือได้ว่าเป็นคนสวยที่มีชื่อเสียงในตำบลนี้
แต่เพราะเธอเป็นคนตื้นเขินและชอบมองคนแค่ภายนอก เมื่อเห็นว่าลู่หยางเป็นหนุ่มหล่อที่หาได้ยากในชนบท เธอจึงไม่สนใจว่าเขาจะขี้เกียจหรือไม่ สุดท้ายก็ยืนกรานกับพ่อแม่ว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียว
ในช่วงที่แต่งงานปีแรก พ่อของลู่หยางยังมีชีวิตอยู่ จึงมีคนทำงานหาเงินให้ใช้ ชีวิตไป๋ถังยังคงสุขสบาย แต่ต่อมาเมื่อพ่อของลู่หยางเสียชีวิต และครอบครัวไม่มีใครหาเงินเข้าบ้าน ไป๋ถังก็ไม่สามารถทนกับพฤติกรรมที่แสนขี้เกียจของสามีได้
“ไป๋ถังเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”ลี่จูรีบเดินเข้ามาถามด้วยใบหน้าที่เสแสร้งทำเป็นห่วงใย
ไป๋ถังชำเลืองมองผู้หญิงตรงหน้า จากความทรงจำของร่างเดิม ลี่จูเป็นอดีตเพื่อนสนิทของเธอ และในปัจจุบันก็นับว่าเป็นพี่สะใภ้เพราะว่าลี่จูแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของลู่หยาง
หญิงสาวจึงตอบอีกฝ่ายไปตามมารยาท “ฉันไม่เป็นไร ขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เธอก็เดินกลับไปที่บ้านโดยไม่หันกลับมามอง ทุกคนต่างตกตะลึง ไป๋ถังไม่ไปหาสวีจ้าวแล้วหรือ
ทำไมถึงได้กลับบ้านไปแล้วล่ะ!
ลี่จูรีบตะโกนถามขึ้นมา “ไป๋ถังเธอจะกลับบ้านเลยหรือ”
ไป๋ถังหันมามองเธอ และยิ้มมุมปาก “ฉันเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถ้าไม่กลับบ้าน จะให้ไปที่ไหนล่ะ...หรือว่าพี่สะใภ้อยากเชิญฉันไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”
ลี่จูก้มหน้าไม่ตอบ เย็นนี้ครอบครัวของเธอมีเนื้อตุ๋น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเชิญไป๋ถังมากิน เนื้อมีราคาแพงมาก คนอย่างไป๋ถังคู่ควรที่จะได้กินมันหรือ!
ไป๋ถังเดินหันหลังกลับบ้านโดยไม่อยากจะพูดกับผู้หญิงตรงหน้าอีก แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอไม่ค่อยเป็นมิตรกันนัก
ลี่จูและคนอื่น ๆ มองไป๋ถังที่กำลังเดินกลับบ้านด้วยความสงสัย หญิงชาวบ้านอีกคนพูดขึ้นมา “แม่นั่นเป็นอะไรขึ้นมา อีกไม่นานสวีจ้าวก็จะกลับไปที่เมืองหลวงแล้วนะ ทำไมถึงไม่รีบไปเกาะติดเขาเอาไว้ล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรารออยู่ที่นี่สักพัก เผื่อว่าแม่นั่นจะแอบกลับมา!”
หลายคนมองหน้ากันและตัดสินใจนั่งที่นี่เพื่อเฝ้ารอดู
ลี่จูก็นั่งอยู่ที่นี่เพื่อคอยจับผิดพฤติกรรมของไป๋ถังและสวีจ้าวเช่นกัน แต่ทุกครั้งทั้งสองต่างพูดคุยกันในที่แจ้งโดยไม่ได้พบกันตามลำพัง หากว่าครั้งนี้ทั้งคู่แอบไปพบกันในที่ลับตา เธอจะต้องรีบแจ้งให้กับหัวหน้าหมู่บ้านทราบ ลี่จูไม่ต้องการให้ไป๋ถังไปที่เมืองหลวงกับสวีจ้าว เพราะเธอรับไม่ได้ที่ไป๋ถังจะมีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง
เธอไม่มีทางยอมให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นแน่!
ไป๋ถังไม่รู้ว่าผู้หญิงกลุ่มนั้นยังคงรอจับผิดเธออยู่ตรงที่เดิม หญิงสาวเดินกลับบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้งยิ่งเดินก็ยิ่งหงุดหงิด!นี่เธอเข้ามาอยู่ในร่างของผู้หญิงชั่วช้า และมีสามีแสนขี้เกียจ ช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมาโดยแท้!สามีภรรยาคู่นี้ไม่ได้สนใจลูกชายฝาแฝดเลยสักคน ปล่อยให้พวกเขาหิวจนแทะเปลือกไม้กิน ฝ่ายแม่แต่งตัวสวยเพื่อไปยั่วยวนผู้ชายคนอื่น ฝ่ายพ่อจนพระอาทิตย์ขึ้นตรงหัว ก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมาจากที่นอนเมื่อนึกถึงเรื่องราวเหล่านี้ ความโกรธของไป๋ถังก็มาถึงขีดสุด เธอก้มลงมองไปที่พื้น มองหาหินก้อนใหญ่แล้วหยิบมันขึ้นมา จากนั้นเดินตรงเข้าไปในบ้านหลังคามุงหญ้าอันเก่าโทรมทันทีที่เข้าไปในบ้าน เนื่องจากประตูห้องเปิดอยู่ หญิงสาวจึงเห็นสามีของร่างเดิมนอนแผ่อยู่บนเตียง เพราะอากาศร้อน เขาจึงสวมเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้น ที่มุมปากมีน้ำลายไหลออกมา บ่งบอกว่าเขากำลังนอนหลับอย่างสนิทและสบายใจยิ่งนักไป๋ถังแสยะยิ้มที่ตรงมุมปาก เธอกระชับก้อนหินในมือ แล้วเดินเข้าไปบีบคอของผู้ชายคนนั้นด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างยกก้อนหินขึ้นไปอยู่เหนือขาที่สามของเขา “รีบลุกขึ้น แล้วออกไปทำงานรับคะแนนซะ ไม่อย่างนั้นขา
หลังจากที่ไป๋ถังสงบสติอารมณ์ลง เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสามีจอมขี้เกียจของร่างเดิม เนื่องจากโดยปกติแล้วเขาเป็นคนที่เอาแต่นอนทั้งวัน จะมีทักษะในการต่อสู้อย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้ได้อย่างไรดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีวิญญาณจากที่อื่นมาแทนที่ด้วยเช่นกัน เธอจึงถามออกไปว่าเขาทะลุมิติมาเหมือนกันใช่ไหมแล้วก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ อีกฝ่ายก็เหมือนกันกับเธอ!ไป๋ถังหัวเราะ รู้สึกว่าเรื่องราวมันน่าตื่นเต้นขึ้นทุกที เธอพูดกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เรามาคุยกันหน่อยไหม “ลู่หยางมองผู้หญิงตรงหน้าที่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว เมื่อสักครู่เธอยังอยากจะฆ่าเขา แต่ตอนนี้กลับยิ้มให้อย่างสบายๆผู้หญิงคนนี้...ช่างแปลกประหลาดจริงๆ“แล้วเด็กสองคนนี้ล่ะ “ลู่หยางมองเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของพวกเขาสองพี่น้องซบอยู่ที่อกของพ่อกับแม่ มีน้ำมูกไหลออกมาจากรูจมูกของพวกเขาและมันกำลังจะไหลเข้าไปในปาก ไป๋ถังเห็นแล้วก็รีบตะโกน “เร็วๆ เอากระดาษมาเช็ดน้ำมูกของพวกเขาก่อน”“ดูเหมือนว่าจะใช้หมดไปเมื่อสองสามวันก่อนและพวกเราก็ไม่มีเงินซื้อมัน”ลู่หยางนึกถึงความทรงจำของร่างเดิมไป๋ถังนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เธอก
ต้าเป่าคิดว่าพ่อกับแม่ต้องวางแผนบางอย่างเกี่ยวกับเขาและน้องชายอย่างแน่นอน ต่อไปเขาจะต้องปกป้องน้องชายและระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นลู่หยางเข้าใจสายตาของหญิงสาวที่จ้องมองมา เขาเองก็อยากจะต่อยหน้าเจ้าของร่างเดิมเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบและใจดำเป็นที่สุดถ้าเป็นเขาเมื่อได้แต่งงานมีลูกและภรรยาแล้ว ต่อให้จะต้องขายไตหรือเลือดเขาก็จะไม่ยอมให้ครอบครัวของตนเองต้องลำบากอย่างแน่นอนยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจกับชีวิตของเด็กน้อยตัวเล็กๆ ทั้งสองที่ไร้เดียงสาลู่หยางลูบหัวของเด็กชายฝาแฝดทั้งสองและให้คำสัญญา “ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้วนะต่อไปพ่อจะดูแลพวกลูกอย่างดีแน่นอน”ในเวลานี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลเด็กทั้งสองคนนี้ไป๋ถังฟังคำพูดของชายหนุ่ม แล้วก็คิดว่าวิญญาณที่เข้ามาแทนที่คนนี้เป็นคนจิตใจดีมากทีเดียว“ลูกหิวไหม”ไป๋ถังลูบหลังของ เสี่ยวเป่า และพบว่าร่างกายของเขามีแต่กระดูกและผอมมาก ดูเหมือนสิ่งแรกที่เธอควรทำในฐานะแม่คือต้องป้อนอาหารให้กับลูกทั้งสองเสียก่อนเสี่ยวเป่าลูบท้องแบนๆ ของตนแล้วและพยักหน้า “เสี่ยวเป่าหิวแล้ว”เขาและพี่ชายกินแตงกวาที่แม่เฒ่าในหม
ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไ
ลู่หยางได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าฝีปากของตนนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก่อนที่เขาจะถามอะไรออกไป หางตาก็สังเกตเห็นว่ามีเงาร่างน้อยๆ เดินเข้ามาแอบฟัง ไป๋ถังก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เธอยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วกดที่ริมฝีปากส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียงเมื่อเห็นพ่อแม่เดินเข้าไปคุยกันเป็นเวลานาน ต้าเป่าก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ต้องไปปรึกษากันเรื่องที่จะขายเขาและน้องชายแน่ๆเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่สุขและในที่สุด เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป จึงกระซิบบอกน้องชายให้นั่งอยู่กับที่ ขณะที่ตนเดินย่องเข้าไปใกล้ห้องนอนของพ่อกับแม่เพื่อจะแอบฟังแต่เขาไม่ทันระวังจึงเดินเข้าไปเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเกิดเสียงดัง ต้าเป่าก้มหน้าลงด้วยความตกใจ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็เดินออกมาที่หน้าประตูแล้วใบหน้าของต้าเป่าซีดลงด้วยความตกใจ มันจบแล้ว!ในครั้งนี้ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะจัดการเขาอย่างไร เขาอาจจะถูกงดอาหารหรือไม่ก็อาจถูกส่งตัวออกไปขายต้าเป่ามีความคิดฟุ้งซ่านมากมายกว่าเด็กทั่วไป ทั้งที่ความจริงแล้วเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องมาหวาดระแวงพ่อแม่ของตัวเองเบ้าตาของเด็กน้อยมีน้ำตาเอ่อคลออีกครั้งไป
ลุงของลู่หยางชื่อว่าลู่ฮุ่ย แต่ก่อนที่บิดาของเขายังอยู่ ครอบครัวทั้งคู่ยังคงสนิทสนมกันดี แต่เมื่อไม่มีบิดาของลู่หยาง ลุงคนนี้ก็ไม่ได้สนใจใยดีหลานชายคนนี้อีกชายหนุ่มเสี่ยงดวงลองเคาะประตูบ้านของลุงดู หลังจากรออยู่ไม่นานหลี่กุ้ยหลันผู้เป็นป้าสะใภ้ก็ออกมาเปิดประตู และเมื่อเห็นว่าเป็นลู่หยาง ใบหน้าของเธอก็แสดงความรังเกียจออกมา “แกมาทำไม!”นอกจากสีหน้าที่ไม่ชื่นชอบแล้วน้ำเสียงของป้าสะใภ้ก็เต็มไปด้วยความขยะแขยงลู่หยางรู้สึกอายเล็กน้อย ชาติก่อนชายหนุ่มหน้าตาน่ารักมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาจึงเป็นที่โปรดปรานของผู้หลักผู้ใหญ่มาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงท่าทีรังเกียจเมื่อเห็นเขาเขาพยายามยิ้มให้กับป้าสะใภ้ของร่างเดิม “ป้าสะใภ้ คือ... ผมขอโทษที่มารบกวน แต่ตอนนี้ไม่มีอาหารที่บ้าน และลูกทั้งสองของผมก็หิวมาก ป้าสะใภ้พอจะให้ผมยืมอาหารก่อนได้ไหม ผมจะรีบจ่ายคืนให้ทันทีหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง”“ให้แกยืมอาหารงั้นรึ”หลี่กุ้ยหลันหัวเราะราวกับได้ยินเรื่องตลก “ลู่หยาง แกมาขอยืมแล้วเคยคืนด้วยเหรอ... หลังจากพ่อของแกตาย ฉันเคยให้ยืมอาหารไปแล้ว เพราะว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตร สุดท้ายแ
ไป๋ถังและลู่หยางเดินควงแขนกันลงมาตามทางลาด จนเมื่อพ้นจากบริเวณสายตาของพวกป้าสะใภ้ ท่าทีที่สนิทสนมคลอเคลียกันเมื่อสักครู่ของพวกเขาก็หยุดชะงัก ทั้งสองต่างรีบแยกตัวออกจากกันอย่างรวดเร็วลู่หยางกระแอมในลำคอ ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ผมขอโทษที่สัมผัสตัวคุณ เมื่อสักครู่มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ “ไป๋ถังโบกมืออย่างโดยไม่ถือสาอะไร “ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ”เธอมองกลับไปที่บ้านลุงของลู่หยางแล้วจีบปากจีบคอพูดด้วยท่าทางเสียใจ “แน่นอนว่าความสัมพันธ์พวกเราไม่ดี เรายืมอาหารใครไม่ได้เลย ตอนนี้คุณเป็นหัวหน้าครอบครัวคนใหม่นะ คุณมีแผนที่จะเลี้ยงดูฉันและลูกๆ ยังไงคะ”ลู่หยางมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “คุณดูจะยอมรับเรื่องนี้ได้รวดเร็วจังเลยนะครับ”ไป๋ถังยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบกลับมา “สถานการณ์ตอนนี้มันบังคับให้ฉันต้องปรับตัวนี่คะ แล้วตอนนี้ฉันก็หิวมากด้วย”ไป๋ถังกุมท้องแล้วนั่งยอง ๆ ลงกับพื้นถนน หญิงสาวเงยหน้ามองไปที่ลู่หยางด้วยท่าทางน่าสงสาร “สามีคะ โปรดหาอาหารมาเติมกระเพาะให้ฉันด้วย”“คุณเรียกผมว่าสามีได้คล่องปากเชียวนะ”ลู่หยางรู้สึกว่ายิ่งเขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็คิดว่าเธอเป็นคนที่มีอารมณ์
ระหว่างทางที่ไป๋ถังกำลังเดินกลับบ้าน จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกเธอขึ้นมา “นี่ เสี่ยวไป๋ มาดื่มกับพี่ชายไหมจ๊ะ”เสี่ยวไป๋?นี่เขาเรียกเธออย่างนั้นหรือไป๋ถังหรี่ตามองอีกฝ่าย เธอพบกับใบหน้าซูบผอมของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ยืนมองเธอมาจากข้างในบ้าน ดวงตาของเขาจ้องมองเธอด้วยความลามก หญิงสาวกำหมัดแน่นแต่ใบหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใสดีมาก ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีคนต้องเสียอาหารให้เธอแล้ว!จากความทรงจำของร่างเดิม ชายคนนี้มีชื่อว่าจางตู้ เขาเป็นอันธพาลประจำหมู่บ้าน ตอนนี้อีกฝ่ายมีอายุเกือบสามสิบปี แต่ไม่เคยแต่งงาน เพราะด้วยนิสัยของเขาบวกกับหน้าตาและฐานะทางบ้านที่ไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานกับเขาเพราะเขาไม่ได้แต่งภรรยา เงินที่หามาได้จึงใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย เขามักซื้อเหล้ามาดื่ม เวลาเมาจะชอบไปนั่งใต้ต้นไทรใหญ่หน้าหมู่บ้านและหยอกล้อผู้หญิงที่เดินผ่านไปมา ทุกคนเกลียดเขามากและขอให้หัวหน้าหมู่บ้าน ไปตักเตือนเขาแต่ก็ไม่ค่อยได้ผล จางตู้มักจะแค่พูดจาลวนลามเท่านั้นโดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องตัวใคร พฤติกรรมของเขาเพียงสร้างความรำคาญ ท้ายที่สุดผู้คนจึงทำได้เพียงเดินหนีให้ห่างเวลาที
หลังจากที่ทุกคนได้ดูรูปถ่ายของฆาตกรแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านก็สั่งให้แยกย้ายกันไปได้ แต่เจ้าหน้าที่หลินยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวหน้าหมู่บ้าน “หัวหน้าหมู่บ้านฉันมีบางคำที่ต้องพูด” หัวหน้าหมู่บ้านจ้าวรีบยกมือขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลงก่อน “ทุกคนอย่าเพิ่งไปเจ้าหน้าที่หลินมีเรื่องจะพูด” คนที่เพิ่งลุกขึ้นไปเมื่อสักครู่จึงนั่งลงไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่หลินมองไปที่ชาวบ้านทุกคนและเปล่งเสียงของตนออกมา “ฉันมีบางคำที่จะบอก เมื่อสักครู่ทุกคนได้ยินเรื่องที่เยาวชนผู้มีการศึกษาเป็นฆาตกรนี้อาจทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง... แต่ว่ากลุ่มเยาวชนผู้มีการศึกษาในหมู่บ้านของเรากำลังจะกลับเข้า เมืองหลวงดังนั้นขอให้ชาวบ้านอย่าได้หวาดกลัวจนเลือกปฏิบัติกับพวกเขานะคะ ฉันเชื่อว่าเยาวชนที่มีการศึกษาในหมู่บ้านของเราเป็นคนดีทุกคน” เมื่อได้ยินคำพูดของเธอชาวบ้านก็หันไปมองเยาวชนที่มีการศึกษาที่มีกันอยู่ห้าคน มีคู่รักชายหญิงที่ยืนยันความสัมพันธ์กันแล้วนอกจากนั้นก็เหลือเพียงชายโสดอีกแค่สามคน ในบรรดาชายหนุ่มที่เหลือยกเว้น สวีจ้าว พวกเขาไม่ได้หน้าตาดีนัก แต่พวกเขาเป็นพวกฉลาดเฉลียวและมีความคิดมองการณ์ไกลจึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์
ในตอนนั้นเพื่อตอบสนองต่อนโยบายของพรรค มีเยาวชนที่มีการศึกษาจำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งจากเมืองหลวงมายังชนบท และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปเลวร้ายมาก และชีวิตของเยาวชนที่มีการศึกษาก็ลำบาก ดังนั้นบางคนจึงเลือกที่จะแต่งงานกับชาวบ้านในท้องถิ่นเพื่อที่จะมีชีวิตรอด ในท้ายที่สุดใครจะคิดว่าจะมีการปฏิรูปประเทศและเริ่มฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ตอนนี้เยาวชนที่มีการศึกษาสามารถกลับเข้าเมืองเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ส่วนคนที่แต่งงานไปแล้วก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะกลับเข้าไปในเมืองหลวง ท้ายที่สุดแล้วเยาวชนเหล่านี้ก็คิดว่าตนเอง เป็นคนมีการศึกษา การได้กลับเข้าไปในเมืองหลวงอนาคตของพวกเขาย่อมสดใส ใครจะยอมคนอุดอู้อยู่ที่ชนบทอีกต่อไปกันเล่า เมื่อกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว เยาวชนเหล่านี้จะยังคิดถึงภรรยาหน้าเหลืองหรือสามีที่หยาบกร้านในชนบทอยู่อีกหรือ บางคนก็ฉลาดที่จะพูดปลอบใจภรรยาและสามีตัวเองว่า เมื่อสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วจะกลับมารับไปอยู่ที่เมืองหลวง อย่างไรก็ตามในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์มากมายว่า เยาวชนที่มีการศึ
#####18 สวีจ้าวคิดเข้าข้างตัวเอง เมื่อเห็นว่าลู่เฉิงยอมหุบปาก หัวหน้าหมู่บ้านจ้าว จึงสั่งให้ทั้งสองฝ่ายขอโทษกัน “เร็วเข้า พวกคุณรีบขอโทษกันและกันเถอะ เราจะได้เริ่มประชุมเรื่องสำคัญการเสียที ตอนนี้เสียเวลามามากแล้ว!” ทั้งสองฝ่ายต่างฝืนใจขอโทษซึ่งกันและกัน ไป๋ถังแกล้งทำเป็นเช็ดน้ำตา ทั้งที่ไม่มีน้ำตาเลยสักหยด ก่อนจะกล่าวขอโทษครอบครัวลุงสามีด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากเรื่องนี้สงบเรียบร้อย หัวหน้าหมู่บ้านก็เรียกทุกคนให้มารวมตัวกันที่หน้าลานนวดข้าว โดยเขาเป็นฝ่ายยืนตรงกลาง ไป๋ถังและลู่หยางอุ้มเด็กทั้งสองแล้วเดินไปข้างหน้า ต้าเป่าและเสี่ยวเป่าที่เมื่อสักครู่ยังตกใจจนร้องไห้ ในตอนนี้พวกเขาดูนิ่งสงบมาก ไป๋ถังคิดว่าพวกเขาคงหวาดกลัวอยู่ในใจจึงรีบปลอบโยนเด็กน้อยทั้งสอง “พวกลูกวางใจเถอะพ่อกับแม่ไม่ปล่อยให้ใครมารังแกได้อยู่แล้ว” ลู่หยางก็ลูบหัวของพวกเขาเช่นกัน “ไหนให้พ่อดูซิ ตาบวมหรือเปล่า” เมื่อเห็นครอบครัวนี้ดูรักกันดี ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ดูประหลาดใจที่ได้เห็น โดยเฉพาะสวีจ้าวที่รู้ว่าไป๋ถังเกลียดเด็กทั้งสองมากแค่ไหน เพราะเขาเคยได้ยินเธอบ่นอยู่หลายครั้ง แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงได้ดูรักลูกของตัวเอ
สวีจ้าวมองดูท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดระหว่างลู่หยางและไป๋ถังด้วยความประหลาดใจ ความใกล้ชิดของพวกเขานั้นดูไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ แต่มันไม่ถูกต้อง คนอื่นอาจจะไม่รู้ความคิดของไป๋ถัง แต่เขารู้แน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ ต้องการให้เขาพาเธอไปที่เมืองหลวงเพื่อมีชีวิตที่ดี หรือนี่อาจเป็นวิธีการที่เรียกร้องความสนใจของเธอหรือไม่ที่จงใจทำตัวสนิทสนมกับลู่หยางต่อหน้าของตน เพื่อทำให้เขารู้สึกหึงและอยากจะพาเธอไปเมืองหลวงด้วย หากว่านี่เป็นแผนการของเธอจริงๆ เขาก็ต้องบอกว่าแผนนี้ มันค่อนข้างจะได้ผลเพราะว่าเขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาจริงๆ ฝ่ายลี่จูเธอพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพราะไม่อยากให้แม่สามีนึกขึ้นมาได้ว่าตนคือคนที่เริ่มปัญหาทั้งหมด ดวงตาของลี่จูสั่นไหว หญิงสาวไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางเผลอมองไปที่ลู่หยาง ด้วยความไม่รู้ตัว เขาเปลี่ยนไปมาก ไม่ได้เดินหลังค่อมเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เขาดูตัวสูงและแข็งแรงมากกว่าเดิม หัวใจของเธอรู้สึกเต้นรัว แต่เมื่อมองดูคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาเวลานี้ก็คือไป๋ถัง! ลี่จูกัดริมฝีปากของเธออย่างไม่พอใจ ทำไมคนในอ้อมกอดเขาถึงไม่เป็นเธอ! ในชั่วพริบตาเดียวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างมากมาย ความ
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคไหน คนของทางการก็มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทชาวบ้านทั่วไปก็ไม่กล้ายุ่งกับพวกเขา ครอบครัวของลู่ฮุย เมื่อเห็นหัวหน้าหมู่บ้านปรากฏตัวขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็หยุดชะงัก ลู่ฮุยรีบวางพลั่วขุดดินลงด้วยสายตาที่สำนึกผิด หลินเม่ยเจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกส่งมาประจำหมู่บ้านก็จ้องไปที่ไป๋ถังและพูดอย่างไม่พอใจ “คุณยังไม่ปล่อยคนอีกหรือคะ” ไป๋ถังปล่อยมือของหญิงวัยกลางคนด้วยความไม่เต็มใจ เมื่อหลี่กุ้ยหลันได้รับอิสรภาพ เธอก็บีบนวดไหล่ของตนด้วยความปวดเมื่อย และฟ้องร้องกับหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าหน้าที่หลินทั้งน้ำตา “หัวหน้าหมู่บ้าน คุณต้องช่วยฉัน…แล้วก็ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันด้วยนะคะ สองสามีภรรยาคู่นี้น่ารังเกียจจริงๆ เจ้าลู่หยางเตะลูกชายของฉัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็จงใจพูดจาใส่ร้ายปล่อยข่าวลือว่าลูกสะใภ้ของฉันแอบสะกดรอยตามผู้ชาย แล้วฉันก็แก่แล้ว อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นป้าสะใภ้ของหล่อนด้วยซ้ำ แต่หล่อนยังทำร้ายฉันได้ลงคอ!” หลี่กุ้ยหลันไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองจะเป็นฝ่ายลงมือตบตีลู่หยางก่อน เพราะหญิงวัยกลางตนถือว่าตนเองเป็นผู้อาวุโส จะลงมือทุบตีสั่งสอนหลานชายนั้นไม่ใช่เรื
ไป๋ถังมองผู้หญิงถักเปียที่ยืนอยู่ด้านข้างของลี่จูดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะชื่อชุนเหยียน ทั้งคู่ช่างเหมาะสมที่เป็นเพื่อนกันจริงๆ เพราะชอบทำตัวน่ารำคาญเหมือนๆ กัน “พี่สะใภ้รู้ได้อย่างไรว่าสวีจ้าวให้ฉันยืมอาหารแค่คนเดียว พี่สะใภ้คอยเฝ้าดูเขาตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอคะ”ไป๋ถังจงใจพูดแบบคลุมเครือ ลี่จูเป็นคนในยุคนี้ตรงนั้นเธอจึงให้ความสำคัญเกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินคำพูดของไป๋ถังจึงโกรธขึ้นมาทันทีชี้ “อย่าพูดพล่อยๆนะ”“แล้วเมื่อสักครู่พี่สะใภ้ไม่ได้พูดพล่อยๆ ใส่ร้ายฉันก่อนเหรอ”ไป๋ถังโต้กลับอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านโดยรอบรู้สึกขบขันและพากันชี้ไปที่ลี่จู เธอรู้สึกตื่นตระหนกและอับอายสายตาผู้คน ลู่เฉิงคือสามีของลี่จู วันนี้เนื่องจากโรงงานหยุดเขาจึงได้กลับมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มยืนห่างออกไปไม่มากเพราะต้องคอยดูลูกชายของตน เมื่อเห็นว่าภรรยาเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขาจึงรีบเดินเข้ามาช่วยเหลือ ไป๋ถังกล้าพูดจาดูถูกภรรยาเขาเช่นนี้ได้อย่างไร! ลู่เฉิงโกรธจนควันแทบจะออกหูเขาส่งลูกชายของจนให้พ่อแม่ดูแล แล้วรีบเดินไปหาภรรยา ชายหนุ่มเดินเข้าไปโอบไหล่ลี่จูเพื่อแสดงความปกป้อง สายตาจ้
วันรุ่งขึ้นเสียงฆ้องเรียกประชุมดังสนั่นมาจากนอกบ้าน มีเสียงคนตะโกนว่า “เรียกประชุมด่วน เรียกประชุมด่วน อีกครึ่งชั่วโมงทุกคนมาเจอกันที่ลานนวดข้าว!” ไป๋ถังลืมตาขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่อเห็นว่าทั้งแขนและขาของเธอพาดทับไปที่ลู่หยาง ใบหน้าเล็กๆ ก็แข็งทื่อ เธอลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นพวกนอนดิ้น ในตอนที่อยู่โลกเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้เธอนอนดิ้นจนตกเตียงลงไป เตียงที่เธอนอนจะต้องกว้างมากกว่าห้าเมตร! หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอเพราะกลัวว่าลู่หยางจะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าเธอกอดเขาอยู่ เธอค่อยไป ยกมือและเท้าขึ้นฝากตัวของชายหนุ่มเบา ๆแต่ลู่หยางที่อุทิศแขนให้เธอนอนหนุนต่างหมอน เขาก็ตื่นขึ้นมาจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งนัก “คุณนอนกอดผมทั้งคืนเลยนะ รู้สึกสบายดีไหมล่ะ” “...” ไป๋ถังพูดไม่ออกเธอรู้สึกเขินอาย เมื่อมองชายหนุ่มที่แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็ยังคงดูดี ใบหน้าของเธอก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย “ขอโทษด้วยค่ะ... ฉันเป็นพวกนอนดิ้น เมื่อคืนต้องลำบากคุณแล้ว” ลู่หยางจ้องไปที่ใบหน้าแดงของเธอ เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บางครั้งก็ดูเจ้าอารมณ์ พูดจาโผงผาง แต่บางครั้งก็ดูท่าทางน่าเอ็นดู เ
การมีภรรยาเป็นโจรอยู่ในครอบครัวนั้น มันทำให้ลู่หยางรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังจะเป็นโรคประสาทภรรยาของเขาเป็นคนพูดตรงจนทำให้เขารู้สึกเขินอายขึ้นมา “ผมจะไปต้มน้ำไว้ให้คุณกับลูกอาบ คุณนั่งอยู่เป็นเพื่อนลูกนะ”ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับไป๋ถังอีก เขาลุกขึ้นและรีบเดินกลับไปที่ครัว เมื่อเห็นท่าทางลนลานของเขา ไป๋ถังก็ตะโกนตามหลัง “คุณอายเหรอคะ” มุมปากของลู่หยางกระตุก ผู้หญิงคนนี้!ลู่หยางพยายามไม่สนใจเสียงตะโกนของเธอ เขากลัวว่ายิ่งเขาคุยด้วย อีกฝ่ายก็จะยิ่งกลั่นแกล้งเขา เขารู้สึกว่าในยุคอวกาศ ในยามที่พวกผู้ชายออกมาข้างนอก พวกเขาต้องระมัดระวังตัวกันมากแน่! เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นว่าแม่ของพวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข แม้จะไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองคุยกันแต่เด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะตามไปด้วย ต้าเป่าคิดว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของพวกเขา มีเสียงหัวเราะด้วยกันเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกสบายใจ ต้าเป่าก้มหน้าลงแล้วยิ้มอย่างมีความสุข มือก็ออกแรงล้างจานต่อไปพวกเขาผลัดกันอาบน้ำ จากนั้นก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะบ้านของพวกเขาไม่มีทีวี อันที่จริงในหมู่บ้านชน
ไป๋ถังวางกระจกลง หญิงสาวยิ้มออกมาและลูบศีรษะเล็กๆ ของพวกเขาด้วยท่าทางอ่อนโยน “ไปดูพ่อทำอาหารกันเถอะ” เธอเป่าตะเกียงน้ำมันก๊าดในห้องให้ดับลง ช่วงนี้พวกเขาต้องประหยัดในเมื่อห้องนี้ไม่มีคนก็ควรจะดับตะเกียงเอาไว้ หญิงสาวจูงมือเด็กน้อยทั้งสองพาเดินกลับไปที่ห้องครัว ในห้องครัวมีเก้าอี้ตัวเล็กวางอยู่เธอจึงนั่งลงพร้อมกับอุ้มต้าเป่าและเสี่ยวเป่าไว้บนตัก สามคนแม่ลูกนั่งมองลู่หยางที่กำลังย่างปลาด้วยสายตากระตือรือร้น เมื่อลู่หยางเห็นสายตาที่จ้องมองมาของทั้งสามคน ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “คุณอยากจะช่วยผมย่างปลาหรือเปล่าครับ” ไป๋ถังมุ่ยปากลง “ฉันทำอาหารไม่เป็นค่ะ”ลู่หยางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยทำอาหารมาก่อนเหรอครับ” ไป๋ถังส่ายหัว “ไม่เคย” ลู่หยางหัวเราะเบา ๆ “ถ้าคุณทำไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมทำเอง” เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นเสนอตัว “พ่อ เสี่ยวเป่าทำเป็น” ต้าเป่าก็ยกมือขึ้นเหมือนกัน “พ่อ ต้าเป่าก็ทำเป็น” ลู่หยางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ ทั้งสอง “พ่อทำเองได้ ลูกนั่งอยู่เฉยๆ กับแม่ตรงนั้นเถอะ” ชายหนุ่มย่างปลาด้วยวิธีง่