ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็เริ่มสนใจมากขึ้นเป็นที่รู้กันว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นสมบัติที่หายากในโลกแม้แต่นางก็ยังหวั่นไหวอยู่บ้างโดยเฉพาะผ้าไหมจั๊กจั่นน้ำแข็งซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการที่สำคัญและไม่สามารถหาซื้อได้แม้จะมีเงินมากเพียงใดก็ตามมีเพียงผู้มีอำนาจเท่านั้นที่สามารถสวมใส่ได้ฉีเทียนหยวนแนะนำสิ่งของอีกสองสามกล่องด้วยความประจบประแจง “พระชายาคิดว่าของขวัญเหล่านี้คือสิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่?”ซูชิงอู่พยักหน้า “ไม่เลวเลยเพคะ”ฉีเทียนหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกและหัวเราะ “เช่นนั้นการอภิเษกระหว่างหว่านเอ๋อร์กับองค์ชายใหญ่…”แก้มของฉีหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อนางได้ยินเสด็จพี่ของตนพูดถึงเรื่องนี้แม้พวกเขาจะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยนัก แต่ฉีหว่านเอ๋อร์ก็พอใจในตัวเย่ชิวหมิงมาก ทุกครั้งที่พวกเขาพบกัน พวกเขาจะหน้าแดงและพูดไม่ออก“เสด็จพี่...”ฉีเทียนหยวนมองนางด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน “อย่างไรเล่า หว่านเอ๋อร์ไม่ต้องการรึ?”ฉีหว่านเอ๋อร์ก้มหน้าไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆฉีเทียนหยวนถือโอกาสพูด “ไม่ทราบว่าข้าขอพาหว่านเอ๋อร์กลับไปได้หรือไม่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ต
ขอแค่เขารู้สึกสบายใจก็พอตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตรก็ใช้เวลาสิบเดือน ตอนนี้ทารกในท้องของนางอายุครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว และนางไม่สามารถซ่อนหน้าท้องที่ป่องออกมาได้อีกต่อไปท้องของนางก็ดูผิดปกติเล็กน้อย ด้วยเพราะมีขนาดใหญ่กว่าท้องของสตรีมีครรภ์ทั่วไปมากเย่เสวียนถิงได้เชิญหมอหลวงมาตรวจร่างกายของนางซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จนเจ้าตัวรู้สึกโล่งใจ พลางคิดว่าลูกของเขาคงแค่เกิดมาตัวใหญ่กว่าคนอื่น...เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะออกไป ฉีเทียนหยวนก็ไม่กล้ารบกวนพวกเขาอีก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของแคว้นอื่นและเขาไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงจนเกินขอบเขตได้“เช่นนั้นข้าขอพาน้องสาวกลับก่อน!”ซูชิงอู่พยักหน้าแล้วมองเขาอย่างมีเลศนัย “หม่อมฉันหวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันอย่างมีความสุขนะเพคะ”ฉีเทียนหยวนพยักหน้าซ้ำ ๆ ทั้งยังมีเหงื่อบาง ๆ ผุดบนหน้าผากของเขาด้วยเขารีบออกจากจวนพร้อมกับผู้ติดตามพร้อมพาฉีหว่านเอ๋อร์กลับไปยังที่พำนักของตนฉีหว่านเอ๋อร์ลงจากรถม้าและได้ยินพี่ชายของนางถามว่า “หว่านเอ๋อร์ หลายวันนี้ที่เจ้าอยู่ที่จวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง?”“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่เป็นห่วงเพคะ”
ท่าทางของซูชิงอู่ทำให้คนรับใช้รอบ ๆ ตัวนางตะลึงจึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองไปท่าทีของเจียวกุ้ยเฟยรอยยิ้มบนใบหน้าของเจียวกุ้ยเฟยแข็งทื่อ แต่นางไม่ได้พูดอะไร พลางโบกมือแล้วพูดว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”“เพคะ”หลังจากที่เหล่านางกำนัลออกไปแล้ว เจียวกุ้ยเฟยก็นั่งตรงข้ามกับพวกเขา พลางมองไปที่ซูชิงอู่ และท้องป่องของนาง อดไม่ได้ที่จะถามว่า “พูดมาสิ พระชายามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าหรือ?”ซูชิงอู่ไม่ได้เล่าออกมาทั้งหมด “หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อถามท่านว่า องค์ชายใหญ่ทรงเป็นโอรสของฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”คำถามที่โพล่งออกอย่างฉับพลันนี้ทำให้เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “เมื่อครู่พระชายาถามว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ค่อยชัด…”ซูชิงอู่พูดซ้ำอีกครั้ง “องค์ชายใหญ่ใช่โอรสของฝ่าบาทไหมเพคะ?”เจียวกุ้ยเฟยตกตะลึง “แน่นอนสิ!”รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหายไปอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งในดวงตาของนางยังเจือไปด้วยความโกรธเคือง“พระชายายเสวียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามข้าเช่นนี้!”ซูชิงอู่เงยหน้ามองและเพิกเฉยต่อความโกรธเกรี้ยวของเจียวกุ้ยเฟย นางพูดอย่างสงบ “เป็นเพราะไทเฮาตรัสว่าพระนางมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่าองค์ชายใหญ่ไม่ใช
ผู้นำตระกูลเจียวคนก่อนได้วางรากฐานอันยิ่งใหญ่สำหรับตระกูลเจียวเอาไว้“พระชายาเสวียนหมายถึง…”ซูชิงอู่กล่าว “หากหม่อมฉันช่วยองค์ชายใหญ่ให้รอดจากวิกฤตนี้ ตระกูลเจียวของท่านจะต้องมอบข้าว จำนวนห้าหมื่นตั้นเป็นการแลกเปลี่ยนเพคะ!”“ข้าว?”ซูชิงอู่พยักหน้า “หม่อมฉันไม่สนใจว่าท่านจะใช้วิธีการไหน ดีที่สุดคือต้องเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในหนึ่งเดือน จากนั้นหม่อมฉันจะแจ้งจุดให้ท่านนำข้าวไปจัดวางเพคะ”แม้เจียวกุ้ยเฟยจะรู้สึกเจ็บใจเล็กน้อย แต่นางก็ครุ่นคิดไปมาและพยักหน้า “ตกลง”ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นางเชื่อว่าซูชิงอู่สามารถทำได้ตราบใดที่เย่ชิวหมิงอยู่ในตำแหน่งรัชทายาทอย่างปลอดภัย ข้าวห้าหมื่นตั้นมันจะสักเท่าไรกันเชียว?ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างดี ไม่เพียงแต่จะสูญเสียเงินเท่านั้น แต่ยังอาจสูญเสียหัวไปด้วย!ซูชิงอู่ลดเสียงลงและพูดกับเย่เสวียนถิงว่า “ท่านอ๋อง ขอข้าคุยกับพระสนมเจียวก่อนนะ”เย่เสวียนถิงจูบหน้าผากของนาง “ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก”“ได้”ซูชิงอู่ยิ้มและกลอกตา จากนั้นนางและเจียวกุ้ยเฟยก็เข้าไปในห้องโถงด้านข้างหลังจากยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ร
เจียวกุ้ยเฟยกล่าวต่อ “ในเมื่อพระชายาถามถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง...พระชายาน่าจะได้ยินว่าตอนยังเด็กท่านอ๋องเสวียนไม่ได้มีชีวิตในวังที่ดีนัก จนกระทั่งเขาอายุแปดขวบก็ถูกซูเฟยรับไปเลี้ยง เหตุผลก็เพราะฟาง...แม่ของพระชายาเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”ซูชิงอู่ไม่เคยสนใจเรื่องของเย่เสวียนถิงในชาติก่อน นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรขณะนี้ที่นางกำลังฟังเจียวกุ้ยเฟยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่เสวียนถิง นางก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางถูกแทงด้วยเข็ม และมันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก...“ไม่รู้ว่าเด็กน้อยเช่นนั้นมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรในวังหลัง คนดีในวังมีไม่มากนัก และเซี่ยโหวชิ่นก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้เขาเลย แม้เขาจะเป็นองค์ชาย ทว่าแม้แต่ฐานะฝ่าบาทยังไม่ทรงมอบให้ด้วยซ้ำ เขาถูกบรรดาคนในวังดุด่าทุบตี ทั้งยังถูกองค์ชายองค์หญิงคนอื่น ๆ คอยรังแกอีกด้วย”เจียวกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นนางชื่นชมอ๋องเสวียนในใจที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร เพียงแค่พึ่งพาความพยายามของเขาเองเพื่อคว้าโอกาสต่าง ๆ องค์ชายที่ไร้อำนาจและคนหนุนหลัง ทั้งยังไม่มีใครชื่นชอบ แต่เย่เสวียนถิงกลับ
“อะไรนะเพคะ...ฆ่าตัวตาย?”เจียวกุ้ยเฟยพยักหน้า “ที่พูดกันว่านางเสียชีวิตขณะคลอดบุตรก็เพื่อไม่ให้กระทบกับชื่อเสียงของฝ่าบาท..นอกจากนี้ยังเป็นการตัดสินใจของตระกูลเซี่ยโหวที่จะไม่ยอมรับตัวตนของนาง...และเพราะตอนนางใกล้จะสิ้นใจนางก็ต้องการให้ฝ่าบาทตายตกไปตามกันด้วย พระองค์จึงทรงทั้งรักทั้งเกลียด และความเกลียดชังนั้นก็ตกไปอยู่ที่ท่านอ๋องเสวียนด้วย ข้าพูดเช่นนี้พระชายาเสวียนคงจะเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”จนถึง ณ ตอนนี้ ซูชิงอู่ก็ได้รับรู้อดีตในพระราชวังอย่างถ่องแท้อย่างที่คาดไว้ มันฟังดูค่อนข้างน่ารังเกียจฮ่องเต้เฒ่ามีความปรารถนาในเรือนร่างและบังคับให้เซี่ยโหวชิ่นอยู่ข้างกายจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนั่นอาจเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมเขาไม่ใช้กำลังใดหลังจากที่ตกหลุมรักแม่ของนางไม่อย่างนั้น เขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ หากต้องการสตรีคนไหนก็ไม่ใช่เรื่องยากในการไขว่คว้ามาแม้สุดท้ายแม่ของนางก็หนีความตายไม่พ้นเพราะความงามของตน...คำกล่าวที่ว่าสตรีงามมักอาภัพ บางทีเหตุการณ์เหล่านั้นอาจเป็นคำอธิบายของประโยคที่ว่านี้เช่นเดียวกับนาง หากเจอคนจิตใจโหดเหี้ยมและไม่รู้จักคนคนนั้นมากพอ ก็คงจะพบกับจุดจบอันเลวร้ายซูช
เย่เสวียนถิงรู้สึกร้อนรุ่ม ราวกับหัวใจทั้งดวงของเขาถูกจุ่มลงในน้ำร้อนเดือดและลวกจนสุกจริง ๆ แล้วเขาไม่เห็นร่องรอยการล้อเล่นบนใบหน้าของซูชิงอู่เลยเย่เสวียนถิงใช้เวลานานก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ ข้าทำไม่ได้หรอก”เขาจะตัดใจกินคนที่เขารักและหวงแหนมากได้อย่างไร?แม้เขาจะทำร้ายนางเพียงเล็กน้อย เขาก็ทนไม่ได้แม้คนที่นางเลือกจะไม่ใช่เขา แม้ว่านางไม่อยากอยู่กับเขาก็ไม่สำคัญขอเพียงนางมีความสุขก็พอเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เย่เสวียนถิงรู้ว่าการชอบและรักใครสักคนเป็นอย่างไร และเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกนี้ก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ เย่เสวียนถิงออกจากวังพร้อมกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ไม่ได้พูดอะไรเลยระหว่างทาง นางเพียงเอาหัวซุกไว้ที่หน้าอกของเขาและฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่ายหลังจากถึงจวนและลงจากรถม้าแล้ว ซูชิงอู่ก็เชิดคางขึ้นแล้วถามว่า “ข้าเคยรังแกท่านมาตั้งแต่เด็ก ท่านไม่โกรธหรือ?”เย่เสวียนถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาไม่คิดว่าซูชิงอู่จะโพล่งประโยคแบบนี้ออกมาเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางยกมือเกาปลายจมูกของซูชิงอู่ ดวงตาของเย่เสวียนถิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ม่านตาของเขาก็มืด
เย่เสวียนถิงกอดนางไว้ในอ้อมแขน และหัวใจของเขาก็รู้สึกเติมเต็มขณะนั้นเขาก็หวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไปเขาหวังว่าเขาจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวความลับและความขัดแย้งในราชสำนักอยากใช้ชีวิตธรรมดาเช่นนี้ไปตลอดชีวิต“ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าไปทำไมกันเล่า?”เสียงของซูชิงอู่แผ่วเบา “ข้าได้ฟังความลับบางอย่างในวังมาจากพระสนมเจียว รวมถึงเรื่องราวในอดีตของท่านอ๋องด้วย”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “เรื่องราวในอดีตของข้า?”“ท่านอ๋องอย่าได้โกรธเลย”นางแค่อยากรู้จักเขามากขึ้นเย่เสวียนถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เหตุใดข้าจะต้องโกรธด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นล่ะ?”เขาหยุดชะงักพลางมองสบดวงตาที่มีความประหม่าของซูชิงอู่ “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าได้”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้ากลัวว่าหากถามไปโต้ง ๆ มันจะเป็นการสะกิดแผลใจของท่าน ก็เลย…”นางเองก็มีประสบการณ์เช่นกันการตายของแม่ของนางเป็นปมในใจที่ยากจะลืมไปตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงลูบหัวของนาง “ในความทรงจำของข้า ไม่มีความรู้สึกถึงมารดาผู้ให้กำเนิดเลย ดังนั้นข้าจึงไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อนางมากนัก ข้ารู้เรื่องของนางมาจากนางกำนัลอาวุโสบางคนใน