เย่เสวียนถิงกอดนางไว้ในอ้อมแขน และหัวใจของเขาก็รู้สึกเติมเต็มขณะนั้นเขาก็หวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไปเขาหวังว่าเขาจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวความลับและความขัดแย้งในราชสำนักอยากใช้ชีวิตธรรมดาเช่นนี้ไปตลอดชีวิต“ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าไปทำไมกันเล่า?”เสียงของซูชิงอู่แผ่วเบา “ข้าได้ฟังความลับบางอย่างในวังมาจากพระสนมเจียว รวมถึงเรื่องราวในอดีตของท่านอ๋องด้วย”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “เรื่องราวในอดีตของข้า?”“ท่านอ๋องอย่าได้โกรธเลย”นางแค่อยากรู้จักเขามากขึ้นเย่เสวียนถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เหตุใดข้าจะต้องโกรธด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นล่ะ?”เขาหยุดชะงักพลางมองสบดวงตาที่มีความประหม่าของซูชิงอู่ “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าได้”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้ากลัวว่าหากถามไปโต้ง ๆ มันจะเป็นการสะกิดแผลใจของท่าน ก็เลย…”นางเองก็มีประสบการณ์เช่นกันการตายของแม่ของนางเป็นปมในใจที่ยากจะลืมไปตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงลูบหัวของนาง “ในความทรงจำของข้า ไม่มีความรู้สึกถึงมารดาผู้ให้กำเนิดเลย ดังนั้นข้าจึงไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อนางมากนัก ข้ารู้เรื่องของนางมาจากนางกำนัลอาวุโสบางคนใน
ผลของการล้อเล่นอย่างป่าเถื่อนคือค่ำคืนที่นอนไม่หลับโชคดีที่เย่เสวียนถิงระมัดระวังมากและไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บ เมื่อนางตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นางก็พบว่าร่างกายของตัวเองได้รับการนวดอย่างระมัดระวังโดยเย่เสวียนถิง ซึ่งช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและความรู้สึกไม่สบายทั้งหมดจนหายเป็นปลิดทิ้งไม่เพียงแต่ไม่อึดอัด แต่ยังทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นอีกด้วยฮ่องเต้เฒ่าได้ทรงออกพระราชโองการสำหรับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและจัดการขั้นตอนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในวันพิธีแต่งตั้ง เหล่าขุนนางและทหารของราชวงศ์ทั้งหมดรวมไปถึงทูตจากทั้งสองแคว้นก็เข้าร่วมด้วย พระชายาซูชิงอู่ก็เข้าพระราชวังตั้งแต่เช้าและคอยอยู่ข้างกายซูเฟยเพื่อชื่นชมความคึกคักซูเฟยและเจียวกุ้ยเฟยนั่งอยู่คนละฝั่งของฮ่องเต้ ส่วนองค์ชาย พระนัดดาและขุนนางคนอื่น ๆ ก็ทยอยปรากฏตัว ขุนนางทุกคนยืนในห้องโถงพระตำหนักจินหลวนด้วยความเคารพ โดยแบ่งออกเป็นฝั่งขุนนางบุ๋นและบู๊ขันทีผู้น้อยถือพระราชโองการแล้วอ่านออกมาเสียงดัง ขณะเดียวกันเสียงฆ้องและกลองก็ดังเซ็งแซ่มาจากด้านนอก “องค์ชายใหญ่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ท้ังยังมีคุณธรรมและพรสวรรค์ ได้ทำสิ่
ใครจะได้เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานเย่ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของทุกคนหากฮองเฮาได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ตระกูลเจียวรวมถึงเย่ชิวหมิงก็จะตกอยู่ในสถานที่แห่งการทำลายล้างชั่วนิรันดร์ในทางตรงกันข้าม ตระกูลมู่หรงที่ฮองเฮาอยู่ก็จะเป็นเช่นนั้นเช่นกันฮ่องเต้เฒ่าขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามาภายใต้การนำของขันทีผู้น้อย กลุ่มคนที่ตามมานั้นดูกังวลใจเมื่อเจียวกุ้ยเฟยเห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจน ใจของนางก็ตกไปอยู่ตาตุ่มและสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเพราะนางรู้จักทุกคนที่มาที่นี่ คุ้นเคยกับพวกเขาดี หนึ่งในนั้นคือหมอทำคลอดที่อยู่กับนางตอนคลอดบุตรที่นางไว้ใจมาก และอีกคนคือหมอหลวงที่คอยรักษาโรคให้นางฮองเฮายิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วตรัสว่า “บอกทุกสิ่งที่พวกเจ้ารู้มา หากมีหลักฐานด้วยก็จะยิ่งดี”“เพคะ หม่อมฉันรับพระบัญชา!”หมอทำคลอดสั่นไปทั้งตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว นางเปล่งเสียงพูดว่า “องค์ชายใหญ่ ทะ...ทรงไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของฮ่องเต้เพคะ!”เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปทันทีเขาถึงกับตะคอกอย่างเย็นชาและตบโต๊ะ “เหลวไหล
หมอหลวงซุนได้ศึกษามาจากซูชิงอู่มาก่อนและตอนนี้เขาก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญบ้างแล้วเขาอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยความมั่นใจ เปิดขวดยานั้นแล้วเทลงในมือเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสีหน้าดูแปลก ๆฮ่องเต้เฒ่าเห็นท่าทางของเขาแล้วจึงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างยานี้มีผลหรือไม่?”หมอหลวงซุนประสานมือคารวะมีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากเขากระซิบ"กราบทูลฝ่าบาท ส่วนผสมของยาเม็ดนี้ซับซ้อนเกินไปและเป็นการยากสำหรับกระหม่อมที่จะแยกแยะพวกมันได้ด้วยตาเปล่าพ่ะย่ะค่ะ"อย่างไรยานี้เขาก็ไม่ใช่ผู้ปรุง เขาเป็นเพียงหมอธรรมดาไม่ใช่เซียน...หากเป็นเพียงยาธรรมดาก็ดี เขาแค่ต้องรู้ถึงสีรสชาติและกลิ่นของมันก็จะสามารถเปรียบเทียบแยกแยะชนิดของยาได้อย่างง่ายดายแต่ว่ายาที่ถูกบดจนเป็นผงและผสมรวมกันเช่นนี้ลิ้นของเขาไม่สามารถชิมเพื่อแยกแยะได้...เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินสิ่งนี้ก็ไม่ได้ตำหนิเขา“ในเมื่อมองเพียงครั้งเดียวไม่สามารถระบุได้ เหตุใดไม่ลองหาคนมาลองใช้ผลของยานี้เล่า”ฮ่องเต้เฒ่าถามหมอหลวงที่นำยานี้ออกมาว่า "ยานี้หลังจากกินแล้ว ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะออกฤทธิ์?"“กราบทูลฝ่า
หลังจากตกใจกลัว หมอตำแยก็สงบลงและพูดต่อ "เมื่อกุ้ยเฟยไม่สามารถมีลูกได้ พระนางจึงใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดความจริง องค์ชายใหญ่แท้จริงแล้วเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง หม่อมฉันพามาจากนอกวัง ไม่ใช่บุตรของพระนางกับฝ่าบาท...”ฮ่องเต้ฟังคำพูดของทั้งสองที่มีเหตุผลและมีหลักฐาน ก็เริ่มเชื่อขึ้นมาเขาหันไปมองเจียวกุ้ยเฟย เสียงต่ำลงมาก“กุ้ยเฟย เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”“เหลวไหลสิ้นดี ทั้งสองคนนี้พูดจาไร้สาระเพียงต้องการทำให้สายเลือดราชวงศ์แปดเปื้อน ช่างน่ารังเกียจนัก!”เจียวกุ้ยเฟยกัดฟัน โกรธแค้นสุนัขทั้งสองที่ว่าร้ายนางน่าเสียดายที่คำตอบของนางไม่เป็นที่พอใจของฮ่องเต้ และไม่สามารถล้างข้อสงสัยได้เจียวกุ้ยเฟยลุกขึ้นคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความร้อนใจ น้ำตาคลอ ยกมือสาบานต่อสวรรค์“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยทำเรื่องเช่นที่ว่ามาก่อน หากองค์ชายใหญ่ไม่ใช่โอรสของฝ่าบาท หม่อมฉันเต็มใจรับโทษจากสวรรค์ ยอมถูกฟ้าผ่าจนตายอย่างอนาถ!”นางยกมือขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา เสียงสั่นเครือฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องเข้าไปในดวงตาของเจียวกุ้ยเฟยแล้วพูดว่า "แต่สิ่งที่หมอหลวงและหมอตำแยพูดมา ข้าไม่สามารถแสร้งทำเป็น
ฮองเฮายืนขึ้นและพูดว่า "หากต้องการรู้ว่าองค์ชายใหญ่เป็นลูกของฝ่าบาทจริงหรือไม่ก็ง่ายมาก หม่อมฉันได้ยินว่ามีวิธีตรวจสอบด้วยการหยดเลือด ญาติที่มีสายเลือดเดียวกันจะมีเลือดผสมกัน ไม่ทราบว่าองค์ชายใหญ่กล้าทดลองหรือไม่?”เย่ชิวหมิงขมวดคิ้วเขาไม่คิดว่าแม่ของตนจะเล่นกลหรือใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรในเรื่องนี้เจียวกุ้ยเฟยก็ไม่โง่เช่นกัน นางรู้ว่าเรื่องใดควรทำและเรื่องใดไม่ควรทำนี่เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งตระกูลเจียวในฐานะฮ่องเต้ ฮ่องเต้เฒ่าย่อมเคยได้ยินวิธีนี้อย่างแน่นอนเจียวกุ้ยเฟยกัดฟันแล้วพูดว่า "เหตุใดจะไม่กล้า?"ฮองเฮายิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ดี เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเจียวกุ้ยเฟย ใครก็ได้ ไปเตรียมสิ่งของต่าง ๆ มา"ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็หัวเราะเบา ๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยการเย้ยหยันวิธีเก่า ๆ นี้ยังถูกฮองเฮานำมาใช้หลอกลวงผู้คนได้ ช่างน่าสนใจจริง ๆทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไปว่า “นอกเหนือจากนี้ ฮองเฮายังมีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่?”ฮองเฮามองดูซูชิงอู่ ดวงตาเผยอันตรายหากซูเฟยและกลุ่มของนางไม่เกี่ยวข้อง เย่ชิวหมิงคงจะล้มเหลวในการพยายามลอบสังหารครั้งก่อนเป็นเพ
ซูชิงอู่เหลือบมองนางสนมผู้อ่อนโยนและสงบเสงี่ยม ปกติไม่สนิทสนมกับใคร มักจะอยู่ในตำหนักเพื่อเลี้ยงลูกของนางเท่านั้นเสียนเฟยยังเด็กมาก อายุเพียงยี่สิบปีเศษ ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ มีลักษณะสะอาดและเยือกเย็นแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของนางจะไม่ได้โดดเด่นนัก แต่ก็มีกลิ่นอายของหญิงสาวที่น่ารักเมื่อประกอบกับอายุที่ยังน้อย จึงไม่น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้จะเก็บไว้ข้างกายมารดาผู้ให้กำเนิดขององค์ชายแปดมีสถานะต่ำต้อย หลังคลอดก็ส่งให้นางกำนัลอาวุโสในวังเลี้ยงดู ไม่ได้ออกจากตำหนัก องค์ชายอายุสี่ถึงห้าปีคนนี้ก็มีสติปัญญาสูงกว่าคนอื่น ๆทุกคนกลั้นลมหายใจ จ้องมองไปที่หยดเลือดที่หยดลงในน้ำอย่างเงียบๆฮ่องเต้เฒ่าไม่ยอมขยับ ก้มมองอยู่ข้าง ๆ ไม่กะพริบตา กลัวจะมีคนโกงน้ำถูกเตรียมโดยคนของเขา ของทุกอย่างผ่านมือคนของเขาเท่านั้น ฮ่องเต้เฒ่าไม่เชื่อว่าจะไม่ได้เห็นความจริงทุกคนเริ่มกังวลไม่กล้าแม้แต่จะหายใจกลัวว่าหากหายใจผิดจังหวะ อากาศลอยผ่านไป ลมหายใจนั้นจะส่งผลต่อผลลัพธ์เลือดที่ผสมกันก่อนคือเลือดขององค์ชายเก้าเนื่องจากเขายังเด็ก เลือดหยดเห็นได้ชัดว่าผสมกันและค่อย ๆ กลายเป็นแผ่นเดียวกันฮ่องเต้เฒ่าเหลือบมอง
ฮองเฮามองไปยังหมอหลวง แววตาแฝงไปด้วยความมืดมนหมอหลวงรีบส่ายหัวให้นาง แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเห็นได้ชัดว่านางได้เตรียมการล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว และให้เย่อวิ๋นถูทาบางอย่างที่นิ้วไว้ล่วงหน้า เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น!นางไม่เข้าใจเลยสักนิด!ในเวลานี้ ซูชิงอู่กำลังพันบาดแผลของเย่เสวียนถิงอย่างระมัดระวังแม้ว่าแผลที่นิ้วจะไม่ใหญ่มาก แต่ทั้งสิบนิ้วต่างเชื่อมถึงหัวใจ มันคงเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสในขณะที่ซูชิงอู่เป่าลงบนนิ้วของเขาอย่างระมัดระวัง นางก็กระซิบว่า "ท่านอ๋องใช้ยาผงที่ข้าให้หรือยัง?"เย่เสวียนถิงพยักหน้า "ใช้แล้ว"ซูชิงอู่ยกมุมริมฝีปากของนางขึ้นมา "ดีเลย เช่นนั้นพวกเรามาดูการแสดงกันต่อดีกว่า"เย่เสวียนถิงรู้สึกอบอุ่นใจเมื่อเห็นซูชิงอู่คอยดูแลนิ้ว เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดที่มือเลยถึงขั้นเกิดความคิดขึ้นมาว่า หากตัวเองบาดเจ็บมากกว่านี้ นางจะเป็นห่วงเขามากกว่านี้ด้วยหรือไม่เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้น รีบวางความคิดนั้นทิ้งไปพวกเขาทั้งสองเงยหน้าขึ้นจากฝูงชน ชมการแสดงต่อไปตอนนี้ซูชิงอู่ตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นนางจึงให้ความช่วยเหลือและวางแผนเบื้องหลัง ส่วนเรื