เจียวกุ้ยเฟยกล่าวต่อ “ในเมื่อพระชายาถามถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะเล่าให้ฟัง...พระชายาน่าจะได้ยินว่าตอนยังเด็กท่านอ๋องเสวียนไม่ได้มีชีวิตในวังที่ดีนัก จนกระทั่งเขาอายุแปดขวบก็ถูกซูเฟยรับไปเลี้ยง เหตุผลก็เพราะฟาง...แม่ของพระชายาเคยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ”ซูชิงอู่ไม่เคยสนใจเรื่องของเย่เสวียนถิงในชาติก่อน นางจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรขณะนี้ที่นางกำลังฟังเจียวกุ้ยเฟยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเย่เสวียนถิง นางก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของนางถูกแทงด้วยเข็ม และมันก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก...“ไม่รู้ว่าเด็กน้อยเช่นนั้นมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรในวังหลัง คนดีในวังมีไม่มากนัก และเซี่ยโหวชิ่นก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้เขาเลย แม้เขาจะเป็นองค์ชาย ทว่าแม้แต่ฐานะฝ่าบาทยังไม่ทรงมอบให้ด้วยซ้ำ เขาถูกบรรดาคนในวังดุด่าทุบตี ทั้งยังถูกองค์ชายองค์หญิงคนอื่น ๆ คอยรังแกอีกด้วย”เจียวกุ้ยเฟยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นนางชื่นชมอ๋องเสวียนในใจที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร เพียงแค่พึ่งพาความพยายามของเขาเองเพื่อคว้าโอกาสต่าง ๆ องค์ชายที่ไร้อำนาจและคนหนุนหลัง ทั้งยังไม่มีใครชื่นชอบ แต่เย่เสวียนถิงกลับ
“อะไรนะเพคะ...ฆ่าตัวตาย?”เจียวกุ้ยเฟยพยักหน้า “ที่พูดกันว่านางเสียชีวิตขณะคลอดบุตรก็เพื่อไม่ให้กระทบกับชื่อเสียงของฝ่าบาท..นอกจากนี้ยังเป็นการตัดสินใจของตระกูลเซี่ยโหวที่จะไม่ยอมรับตัวตนของนาง...และเพราะตอนนางใกล้จะสิ้นใจนางก็ต้องการให้ฝ่าบาทตายตกไปตามกันด้วย พระองค์จึงทรงทั้งรักทั้งเกลียด และความเกลียดชังนั้นก็ตกไปอยู่ที่ท่านอ๋องเสวียนด้วย ข้าพูดเช่นนี้พระชายาเสวียนคงจะเข้าใจแล้วใช่หรือไม่?”จนถึง ณ ตอนนี้ ซูชิงอู่ก็ได้รับรู้อดีตในพระราชวังอย่างถ่องแท้อย่างที่คาดไว้ มันฟังดูค่อนข้างน่ารังเกียจฮ่องเต้เฒ่ามีความปรารถนาในเรือนร่างและบังคับให้เซี่ยโหวชิ่นอยู่ข้างกายจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนั่นอาจเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมเขาไม่ใช้กำลังใดหลังจากที่ตกหลุมรักแม่ของนางไม่อย่างนั้น เขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ หากต้องการสตรีคนไหนก็ไม่ใช่เรื่องยากในการไขว่คว้ามาแม้สุดท้ายแม่ของนางก็หนีความตายไม่พ้นเพราะความงามของตน...คำกล่าวที่ว่าสตรีงามมักอาภัพ บางทีเหตุการณ์เหล่านั้นอาจเป็นคำอธิบายของประโยคที่ว่านี้เช่นเดียวกับนาง หากเจอคนจิตใจโหดเหี้ยมและไม่รู้จักคนคนนั้นมากพอ ก็คงจะพบกับจุดจบอันเลวร้ายซูช
เย่เสวียนถิงรู้สึกร้อนรุ่ม ราวกับหัวใจทั้งดวงของเขาถูกจุ่มลงในน้ำร้อนเดือดและลวกจนสุกจริง ๆ แล้วเขาไม่เห็นร่องรอยการล้อเล่นบนใบหน้าของซูชิงอู่เลยเย่เสวียนถิงใช้เวลานานก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ ข้าทำไม่ได้หรอก”เขาจะตัดใจกินคนที่เขารักและหวงแหนมากได้อย่างไร?แม้เขาจะทำร้ายนางเพียงเล็กน้อย เขาก็ทนไม่ได้แม้คนที่นางเลือกจะไม่ใช่เขา แม้ว่านางไม่อยากอยู่กับเขาก็ไม่สำคัญขอเพียงนางมีความสุขก็พอเป็นครั้งเดียวในชีวิตที่เย่เสวียนถิงรู้ว่าการชอบและรักใครสักคนเป็นอย่างไร และเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกนี้ก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ เย่เสวียนถิงออกจากวังพร้อมกับซูชิงอู่ซูชิงอู่ไม่ได้พูดอะไรเลยระหว่างทาง นางเพียงเอาหัวซุกไว้ที่หน้าอกของเขาและฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงของอีกฝ่ายหลังจากถึงจวนและลงจากรถม้าแล้ว ซูชิงอู่ก็เชิดคางขึ้นแล้วถามว่า “ข้าเคยรังแกท่านมาตั้งแต่เด็ก ท่านไม่โกรธหรือ?”เย่เสวียนถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาไม่คิดว่าซูชิงอู่จะโพล่งประโยคแบบนี้ออกมาเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะพลางยกมือเกาปลายจมูกของซูชิงอู่ ดวงตาของเย่เสวียนถิงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและมีเสน่ห์ ม่านตาของเขาก็มืด
เย่เสวียนถิงกอดนางไว้ในอ้อมแขน และหัวใจของเขาก็รู้สึกเติมเต็มขณะนั้นเขาก็หวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตลอดไปเขาหวังว่าเขาจะไม่ต้องไปสนใจเรื่องราวความลับและความขัดแย้งในราชสำนักอยากใช้ชีวิตธรรมดาเช่นนี้ไปตลอดชีวิต“ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าไปทำไมกันเล่า?”เสียงของซูชิงอู่แผ่วเบา “ข้าได้ฟังความลับบางอย่างในวังมาจากพระสนมเจียว รวมถึงเรื่องราวในอดีตของท่านอ๋องด้วย”เย่เสวียนถิงหลุบตาลง “เรื่องราวในอดีตของข้า?”“ท่านอ๋องอย่าได้โกรธเลย”นางแค่อยากรู้จักเขามากขึ้นเย่เสวียนถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เหตุใดข้าจะต้องโกรธด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นล่ะ?”เขาหยุดชะงักพลางมองสบดวงตาที่มีความประหม่าของซูชิงอู่ “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าได้”ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้ากลัวว่าหากถามไปโต้ง ๆ มันจะเป็นการสะกิดแผลใจของท่าน ก็เลย…”นางเองก็มีประสบการณ์เช่นกันการตายของแม่ของนางเป็นปมในใจที่ยากจะลืมไปตลอดชีวิตเย่เสวียนถิงลูบหัวของนาง “ในความทรงจำของข้า ไม่มีความรู้สึกถึงมารดาผู้ให้กำเนิดเลย ดังนั้นข้าจึงไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อนางมากนัก ข้ารู้เรื่องของนางมาจากนางกำนัลอาวุโสบางคนใน
ผลของการล้อเล่นอย่างป่าเถื่อนคือค่ำคืนที่นอนไม่หลับโชคดีที่เย่เสวียนถิงระมัดระวังมากและไม่ได้ทำให้นางบาดเจ็บ เมื่อนางตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นางก็พบว่าร่างกายของตัวเองได้รับการนวดอย่างระมัดระวังโดยเย่เสวียนถิง ซึ่งช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าและความรู้สึกไม่สบายทั้งหมดจนหายเป็นปลิดทิ้งไม่เพียงแต่ไม่อึดอัด แต่ยังทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นอีกด้วยฮ่องเต้เฒ่าได้ทรงออกพระราชโองการสำหรับการแต่งตั้งองค์รัชทายาทและจัดการขั้นตอนต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในวันพิธีแต่งตั้ง เหล่าขุนนางและทหารของราชวงศ์ทั้งหมดรวมไปถึงทูตจากทั้งสองแคว้นก็เข้าร่วมด้วย พระชายาซูชิงอู่ก็เข้าพระราชวังตั้งแต่เช้าและคอยอยู่ข้างกายซูเฟยเพื่อชื่นชมความคึกคักซูเฟยและเจียวกุ้ยเฟยนั่งอยู่คนละฝั่งของฮ่องเต้ ส่วนองค์ชาย พระนัดดาและขุนนางคนอื่น ๆ ก็ทยอยปรากฏตัว ขุนนางทุกคนยืนในห้องโถงพระตำหนักจินหลวนด้วยความเคารพ โดยแบ่งออกเป็นฝั่งขุนนางบุ๋นและบู๊ขันทีผู้น้อยถือพระราชโองการแล้วอ่านออกมาเสียงดัง ขณะเดียวกันเสียงฆ้องและกลองก็ดังเซ็งแซ่มาจากด้านนอก “องค์ชายใหญ่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ท้ังยังมีคุณธรรมและพรสวรรค์ ได้ทำสิ่
ใครจะได้เป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานเย่ นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของทุกคนหากฮองเฮาได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ตระกูลเจียวรวมถึงเย่ชิวหมิงก็จะตกอยู่ในสถานที่แห่งการทำลายล้างชั่วนิรันดร์ในทางตรงกันข้าม ตระกูลมู่หรงที่ฮองเฮาอยู่ก็จะเป็นเช่นนั้นเช่นกันฮ่องเต้เฒ่าขมวดคิ้วพลางทอดพระเนตรมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามาภายใต้การนำของขันทีผู้น้อย กลุ่มคนที่ตามมานั้นดูกังวลใจเมื่อเจียวกุ้ยเฟยเห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นอย่างชัดเจน ใจของนางก็ตกไปอยู่ตาตุ่มและสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเพราะนางรู้จักทุกคนที่มาที่นี่ คุ้นเคยกับพวกเขาดี หนึ่งในนั้นคือหมอทำคลอดที่อยู่กับนางตอนคลอดบุตรที่นางไว้ใจมาก และอีกคนคือหมอหลวงที่คอยรักษาโรคให้นางฮองเฮายิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วตรัสว่า “บอกทุกสิ่งที่พวกเจ้ารู้มา หากมีหลักฐานด้วยก็จะยิ่งดี”“เพคะ หม่อมฉันรับพระบัญชา!”หมอทำคลอดสั่นไปทั้งตัว นางคุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว นางเปล่งเสียงพูดว่า “องค์ชายใหญ่ ทะ...ทรงไม่ใช่โอรสที่แท้จริงของฮ่องเต้เพคะ!”เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปทันทีเขาถึงกับตะคอกอย่างเย็นชาและตบโต๊ะ “เหลวไหล
หมอหลวงซุนได้ศึกษามาจากซูชิงอู่มาก่อนและตอนนี้เขาก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญบ้างแล้วเขาอยู่หน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วยความมั่นใจ เปิดขวดยานั้นแล้วเทลงในมือเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจสีหน้าดูแปลก ๆฮ่องเต้เฒ่าเห็นท่าทางของเขาแล้วจึงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างยานี้มีผลหรือไม่?”หมอหลวงซุนประสานมือคารวะมีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากเขากระซิบ"กราบทูลฝ่าบาท ส่วนผสมของยาเม็ดนี้ซับซ้อนเกินไปและเป็นการยากสำหรับกระหม่อมที่จะแยกแยะพวกมันได้ด้วยตาเปล่าพ่ะย่ะค่ะ"อย่างไรยานี้เขาก็ไม่ใช่ผู้ปรุง เขาเป็นเพียงหมอธรรมดาไม่ใช่เซียน...หากเป็นเพียงยาธรรมดาก็ดี เขาแค่ต้องรู้ถึงสีรสชาติและกลิ่นของมันก็จะสามารถเปรียบเทียบแยกแยะชนิดของยาได้อย่างง่ายดายแต่ว่ายาที่ถูกบดจนเป็นผงและผสมรวมกันเช่นนี้ลิ้นของเขาไม่สามารถชิมเพื่อแยกแยะได้...เมื่อฮ่องเต้เฒ่าได้ยินสิ่งนี้ก็ไม่ได้ตำหนิเขา“ในเมื่อมองเพียงครั้งเดียวไม่สามารถระบุได้ เหตุใดไม่ลองหาคนมาลองใช้ผลของยานี้เล่า”ฮ่องเต้เฒ่าถามหมอหลวงที่นำยานี้ออกมาว่า "ยานี้หลังจากกินแล้ว ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะออกฤทธิ์?"“กราบทูลฝ่า
หลังจากตกใจกลัว หมอตำแยก็สงบลงและพูดต่อ "เมื่อกุ้ยเฟยไม่สามารถมีลูกได้ พระนางจึงใช้วิธีนี้เพื่อปกปิดความจริง องค์ชายใหญ่แท้จริงแล้วเป็นทารกที่ถูกทอดทิ้ง หม่อมฉันพามาจากนอกวัง ไม่ใช่บุตรของพระนางกับฝ่าบาท...”ฮ่องเต้ฟังคำพูดของทั้งสองที่มีเหตุผลและมีหลักฐาน ก็เริ่มเชื่อขึ้นมาเขาหันไปมองเจียวกุ้ยเฟย เสียงต่ำลงมาก“กุ้ยเฟย เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”“เหลวไหลสิ้นดี ทั้งสองคนนี้พูดจาไร้สาระเพียงต้องการทำให้สายเลือดราชวงศ์แปดเปื้อน ช่างน่ารังเกียจนัก!”เจียวกุ้ยเฟยกัดฟัน โกรธแค้นสุนัขทั้งสองที่ว่าร้ายนางน่าเสียดายที่คำตอบของนางไม่เป็นที่พอใจของฮ่องเต้ และไม่สามารถล้างข้อสงสัยได้เจียวกุ้ยเฟยลุกขึ้นคุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยความร้อนใจ น้ำตาคลอ ยกมือสาบานต่อสวรรค์“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เคยทำเรื่องเช่นที่ว่ามาก่อน หากองค์ชายใหญ่ไม่ใช่โอรสของฝ่าบาท หม่อมฉันเต็มใจรับโทษจากสวรรค์ ยอมถูกฟ้าผ่าจนตายอย่างอนาถ!”นางยกมือขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา เสียงสั่นเครือฮ่องเต้เฒ่าหรี่ตาลงเล็กน้อย จ้องเข้าไปในดวงตาของเจียวกุ้ยเฟยแล้วพูดว่า "แต่สิ่งที่หมอหลวงและหมอตำแยพูดมา ข้าไม่สามารถแสร้งทำเป็น