นางไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฮุ่ยเฟยเลย นางทำเพียงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปข้าราชบริพารและเหล่าสนมคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปในที่สุด การแสดงจบลงพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศอันมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากการตายขององค์ชายที่หกยามเมื่อองค์ชายมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ายังมีคุณค่า ฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีที่จะช่วยเขา แต่เมื่อคนตายลงความสำคัญก็หมดลงไปด้วย…แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะรู้มานานแล้วว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของนางเอง นางก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ เมื่อนางเห็นซูเฟยเข้ามาในประตู นางก็อดไม่ได้โผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำไห้อย่างขมขื่น“ซูเฟย หม่อมฉันรู้สึกอัดอั้นในใจนัก…”ซูเฟยรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฟยกำลังร้องไห้ฮุ่ยเฟยอายุน้อยกว่านางมาก เช่นนั้นสีหน้าของนางจึงสุขุม จากนั้นนางจึงลูบหลังอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังราวกับกำลังมองดูน้องสาวของตน"เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้ว"ฮุ่ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเช็ดตาและเงยหน้าขึ้น เหล่านางกำนัลและสาวใช้ในวังที่เหลือล้วนเป็นคนสนิทของนาง ในเวลานี้เหลือเพียงซูชิงอู่และคนอื่น ๆ อยู่ใ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเฟยจึงรู้สึกว่ามีเพียงซูชิงอู่เท่านั้นที่อยู่เคียงข้างนาง พร้อมทั้งทำให้นางรู้สึกสบายใจด้วย"ทว่า……"ทันทีที่ซูชิงอู่พูดสองคำนี้ หัวใจของซูเฟยก็เต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาของซูเฟยซึ่งคาดหวังให้นางอยู่เคียงข้างด้วยอย่างกระตือรือร้นนั้น ซูชิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "หากหม่อมฉันยังต้องมีสิ่งใดทำในระหว่างวัน หม่อมฉันก็จะออกจากวังและกลับเข้ามาในเวลากลางคืน ในระหว่างนี้ซูเฟยควรอยู่แต่ในตำหนักของตนเองจะดีกว่า อย่าได้พบเจอใครเลย หากมีอันตรายใดที่พระนางไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนั้นพระนางก็ส่งคนมายังจวนอ๋องเพื่อบอกข่าวให้หม่อมฉันทราบ”ซูเฟยรู้สึกว่าด้วยวิธีนี้ก็เป็นการดีเช่นกัน เพราะนางไม่อาจผูกมัดซูชิงอู่ไว้กับนางได้ตลอดและไม่อาจยอมปล่อยนางให้ไปไหนได้ นางกระแอมไอออกมา แก้มของนางจึงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่กล้ามองซูชิงอู่เนื่องจากความละอายใจที่นางมีอายุมากแล้วแต่ยังต้องการใครสักคนมาคอยติดตามนางอยู่ตลอด ซูชิงอู่ไม่ได้คิดมากนัก ทว่ากลอุบายแมลงกู่ที่ราชครูใช้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในฐานะสตรีที่อ่อนแอแล้วนั้น เป็นเรื่องปกติที่ซูเฟยจะต้องหวาดกลัว เย่เสวียนถิงขมวดคิ
สีหน้าของเขาแข็งทื่อ แววตาเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าผมยาวของหลิงซื่อที่ห้อยอยู่ข้างหน้าเขา เผยให้เห็นใบหน้าข้างใต้ที่ซีดขาวปราศจากสีเลือดอยู่ก่อนแล้ว…"ตายแล้วหรือ?"จู่ ๆ สีหน้าของผู้นำหนุ่มก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจน"มีบางอย่างผิดปกติ มันเป็นกับดัก รีบหนีเร็ว!"ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ควันก็เริ่มฟุ้งกระจายไปโดยรอบ ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ติดกับดักคลื่นของอาการวิงเวียนศีรษะพัดผ่านไป ผู้ที่มีความสามารถต้านทานพิษยังต้องอ่อนแอจนไม่อาจถืออาวุธในมือได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้คนมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นนอกฝ่ายสอบสวน จากนั้นพวกเขาก็รีบเร่งเข้าไปหยิบถุงกักพิษที่ซ่อนอยู่ในฟันออกจากปากและจับทุกคนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว… รายงานลับถูกส่งไปยังพระราชวังโดยองครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหลังจากที่เย่เสวียนถิงอ่านจดหมาย ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูชิงอู่“อาอู่ มีบางอย่างเกิดขึ้นในฝ่ายสอบสวน”ซูชิงอู่รวบผมยาวของนางแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน โดยไม่แสดงท่าทีประหลาดใจ"มาเร็วเหลือเกิน"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูด
ซูชิงอู่กำลังนั่งอยู่ในจวนอ๋อง นางหยิบสมบัติบางอย่างที่นางนำมาจากหอมหาสมบัติเมื่อวานนี้มาพิจารณาอย่างไรเสียสมบัติเหล่านั้นก็ถูกซื้อมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล เช่นนั้นนางจึงต้องตรวจดูสิ่งของนั้นอย่างถี่ถ้วน กระดาษรองที่ใช้สำหรับวาดภาพให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนและเรียบเนียนเมื่อสัมผัส ของทั้งหมดถูกจัดวางอย่างประณีตด้วยเส้นไหมพิเศษ สีสันของทิวทัศน์บนม้วนกระดาษนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมาบรรจบกันที่จุดเดียวก็ยิ่งทำให้ภาพวาดดูยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกใครจะคิดว่าภาพวาดที่ฮ่องเต้รักมากเช่นนี้จะตกอยู่ในการครองครอบของชาวบ้านและอยู่ในหอมหาสมบัติ…หากนางไม่ได้เห็นภาพวาดนี้อีกครั้งในงานเลี้ยงอีกสองปีต่อมา รวมทั้งผู้ที่นำเสนอภาพวาดนี้ได้รับความชื่นชมและผลประโยชน์จากฮ่องเต้ นางก็คงจะไม่ทันได้จดจำภาพวาดนั้นไว้ในหัวใจของนางซูชิงอู่หรี่ตาลงและเก็บภาพวาดนั้นกลับไปด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง“นี่สำหรับพี่ใหญ่”พี่ใหญ่ของนางทำงานในตำแหน่งเดิมมาหลายปีแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องได้รับโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และภาพวาดนี้เป็นโอกาสที่ซูชิงอู่มอบให้เขา…สำหรับพี่สามและพี่สี่นั้น นางยังไม่อา
อวิ๋นชิงรินชาชั้นดีจากจวนอ๋องให้กับฮูหยินผู้เฒ่า กลิ่นหอมของชาก็อบอวลไปทั่ว แม้ไม่ได้ดิ่มชาก็ยังรู้ได้ว่าชานี้เป็นเครื่องบรรณาการเมื่อนางนึกถึงชีวิตของซูชิงอู่ที่อยู่จวนอ๋องในตอนนี้ เทียบกับชีวิตของตนที่อาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีซูแล้วนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือของนางซึ่งกำลังถือถ้วยชาก็สั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้ทว่า สถานการณ์ในฝั่งอัครเสนาบดีซูยังคงไม่ชัดเจนนักในขณะนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่อาจเล่นงานซูชิงอู่ได้โดยตรง นางทำได้เพียงพูดอย่างใจเย็นว่า "ชิงอู่ พ่อของเจ้าถูกทางวังหลวงพาตัวไป เรื่องนี้ดูร้ายแรงมาก เจ้า…”ซูชิงอู่ขัดจังหวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างใจเย็น "ข้ารู้ ข้าทำเอง""อะไร?"ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เชื่อ พร้อมกับมองไปยังซูชิงอู่ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยนางรู้สึกเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดผิด แต่ทว่าสิ่งที่นางได้ยินล้วนถูกต้องอยู่แล้ว…ซูชิงอู่พูดย้ำอีกครั้งว่า "หลิงซื่อตายลงในคุกใต้ดินเมื่อไม่นานมานี้ ข้าจับสายลับหลายคนจากแคว้นอู๋ตะวันตกได้ และพบว่าหลิงซื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นอู๋ตะวันตก เช่นนั้นข้าจึงขอให้ท่านอ๋องรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหากนางยังคงยุ่งวุ่นวายและก่อกวนไม่เลิก ซูชิงอู่ก็จะไม่เหลือความอดทนที่จะพูดคุยกับนาง รวมทั้งจะไม่ลังเลที่จะสั่งให้ใครสักคนพาพวกนางออกไปท้ายที่สุดนี่คือจวนอ๋องซึ่งเป็นอาณาเขตของนางคนผู้นั้นให้สิทธิ์ทั้งหมดกับนางในจวนแห่งนี้ ที่นี่นางเปรียบเป็นดั่งกษัตริย์ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูหดหู่เล็กน้อย "ถามได้"เมื่อมองไปที่ซูชิงอู่ นางคิดไม่ถึงเลยว่าแป้งที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นวดจนแบนจะงอกขึ้นมากลายเป็นหนามแหลมคมเช่นนี้ได้และด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกของตระกูลซูก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก“เหตุใดแม่ของข้าถึงแต่งงานกับอัครเสนาบดีซูตั้งแต่แรก?”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น นางก็โกรธจัดและพูดว่า "อะไรนะ อัครเสนาบดีซูนั่นคือพ่อของเจ้านะ!"“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”ใบหน้าของซูชิงอู่แข็งกระด้าง นางไม่มีทีท่าล้อเล่นแต่อย่างใดฮูหยินผู้เฒ่าซูรู้สึกหวาดกลัวกับรัศมีของซูซิงอู่ นางพึมพำที่มุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรโต้แย้งอีกต่อไป“ตระกูลซูของข้าเป็นตระกูลที่โดดเด่นในแคว้นหนานเย่มาหลายชั่วอายุคน สามสิบปีที่แล้ว ลูกชายของข้าสอบได้
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ซูชิงอู่กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธอีก นางจึงรีบถาม “ข้าได้ยินจากหลิงซื่อว่าก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะจากไป มีคนส่งจดหมายถึงท่านแม่ของข้า จดหมายนั้นอยู่ที่ใด ผู้ใดเป็นคนส่งมา” ทันทีที่ได้ยินคำถามของซูชิงอู่ ม่านตาของฮูหยินผู้เฒ่าซูก็หดตัวลง อย่างไรก็ตามนางส่ายหัว “เรื่องนี้เจ้าควรถามมารดาเจ้าสิ ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร?” ใบหน้าของซูชิงอู่มืดมน “ใครก็ได้ ส่งแขก!” ประตูถูกผลักเปิดออก คนหลายคนกำลังพุ่งเข้ามา ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนจะโยนแม่นมอูและฮูหยินผู้เฒ่าออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดด้วยความกลัว นางรีบพูดขึ้นว่า “ซูชิงอู่ ข้าเป็นย่าของเจ้า หากเจ้ามิเคารพข้า เช่นนั้นเจ้าก็อกตัญญูแล้ว ข้าจะไปร้องเรียนเจ้าต่อองค์ฮ่องเต้…” ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “ไปสิ ข้าจะรอ” ฮูหยินผู้เฒ่าถูกบ่าวหญิงสองคนหิ้วปีกไปไปคนละด้านซ้ายขวา พวกเขาลากนางออกมาแล้วพาเดินออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธมากจนกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้า!” ซูชิงอู่โบกมือและบ่าวหญิงที่หิ้วปีกฮูหยินผู้เฒ่าอยู่นั้นก็ก้าวถอยหลังไป นางเดินลงไปหาฮูหยินผู้เฒ
ซูชิงอู่พูดทีละคำ “เพราะว่าแม่นมหลินเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่แรก ใช่หรือไม่เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าซูดูไม่พอใจ “ข้าควรเริ่มอธิบายเรื่องนี้จากตรงไหน?” ซูชิงอู่ไม่สนใจคำแก้ตัวเจ้าเล่ห์ของฮูหยินผู้เฒ่า เสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ท่านรู้ทุกสิ่งที่หลิงซื่อทำ แต่ท่านเมินและแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่เพียงแต่ท่านไม่พูดอะไรเพื่อช่วยเท่านั้น ท่านยังช่วยหลิงซื่อจัดการข้าด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามิรู้ว่าข้าทำสิ่งใดให้ท่านมิพอใจตั้งแต่เมื่อใด ทำให้ท่านลำเอียงเสียจนแม้แต่หลานสาวของท่านเองก็มิปล่อยไป!” นางพูดอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซูเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน นางมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า “นั่นเป็นการตัดสินใจของแม่นมหลิน เกี่ยวอันใดกับข้ากัน?”ซูชิงอู่หัวเราะเยาะ “ย่อมสำคัญสิ ข้าสอบปากคำแม่นมหลินเป็นการส่วนตัวแล้ว นางบอกว่าท่านเกลียดแม่ของข้าเพราะบางสิ่งและพยายามฆ่านางหลายครั้ง แม้แต่ข่าวลือของนางกับคนผู้นั้นก็เป็นท่านจงใจแพร่ออกไป…” “ไร้สาระนัก ข้ากับแม่เจ้าจะมีบาดหมางกันด้วยเรื่องอันใด? แม่นมหลินอยากหาทางรอดคนเดียวจึงเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากั