อวิ๋นชิงเช็ดเก้าอี้ย้ายไปให้ซูชิงอู่นั่ง และยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง ซูชิงอู่มองไปที่ซูเชียนหลิง หลังจากถูกขังอยู่ในห้องนี้มาหลายวัน และได้อยู่กับแม่นมหลินอสรพิษ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะยังมีจิตใจดีอยู่ เมื่อนึกย้อนกลับไปชาติที่แล้ว นางร้องขอความเมตตาอย่างสิ้นหวังก่อนจะสิ้นใจ ทว่าซูเชียนหลิงไม่ใช่สตรีที่จะอ่อนข้อให้ง่าย ๆ ซูชิงอู่ยกมุมปากขึ้น นางพอใจกับผลลัพธ์มาก หากแค่ทำให้อีกฝ่ายสติแตก เช่นนั้นจะไปสนุกอะไรกันเล่า... แววตาของซูชิงอู่ทำให้ขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาของซูเชียนหลิงเบิกกว้าง ความกลัวในใจของนางค่อย ๆ ดำดิ่งลงไป ต่อหน้าซูชิงอู่นางรู้สึกเหมือนกลายเป็นหุ่นเชิด และลูกแกะที่รอการเชือด ในขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดอย่างใจเย็นว่าจะปรุงเนื้อชิ้นนั้นอย่างไรดี... ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดออกมา และประโยคแรกที่นางพูดนั้น “แม่ของเจ้าตายแล้ว ข้าฆ่านางเอง” เมื่อซูเชียนหลิงได้ยิน ม่านตาของนางก็หดตัวลง “เจ้าฆ่าแม่ของข้า เจ้าฆ่าแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”นางพยุงร่างกายที่อ่อนแอขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พลันพุ่งเข้าไปหาซูชิง
นางให้องค์หญิงผู้มีเกียรติแห่งแคว้นซีอู๋ตะวันตกไปรับลูกค้าในซ่องที่โสมมที่สุด หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป สงสัยนักว่าฮ่องเต้แห่งซีอู๋ตะวันตกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เมื่อซูชิงอู่คิดเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ฉายแววยิ้มอย่างล้ำลึก นางแอบย้ายซูเชียนหลิงออกไปอย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่คนรับใช้ในจวนก็ยังมาส่งข้าวที่เหมือนข้าวหมูที่นี่ตรงเวลาและในปริมาณที่เหมาะสมทุกวัน ซูชิงอู่จะกลับมาที่วังหลวงเพื่อติดตามซูเฟยในเวลากลางคืน ส่วนระหว่างวันนางต้องคิดหาวิธีทำเงินดังนั้นจึงยุ่งมาก เพราะยังไงนางมีภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลถึงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะแนะนำให้นางนำเงินออกจากจวนไปจ่ายคืน แต่ซูชิงอู่ก็ไม่เห็นด้วย นางต้องการซื้อของกำนัลให้ผู้อื่น หากนางใช้เงินของท่านอ๋อง เช่นนั้นนางคงอับอายมาก... ทว่านางไม่กังวัลว่าจะหาเงินมาจ่ายไม่ได้ อีกไม่นานโอกาสในการหาเงินจะมาหานางเอง นางจึงไม่รีบร้อน ในชั่วพริบตา พิธีศพวันที่เจ็ดขององค์ชายหกก็ดำเนินไปได้ด้วยดีการตายขององค์ชายเป็นเพียงระลอกคลื่นในทะเลสาบอันเงียบสงบ ไม่ได้ดึงดูดควา
คำพูดเช่นนี้มิเข้าหูฮ่องเต้เท่าไรนัก จึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไม่มีอันใด ข้ามาเยี่ยมหาสนมที่รักของข้ามิได้หรือไร?” เมื่อได้ยินว่าสนมที่รักของข้า ซูเฟยก็ขนลุกไปทั่วร่าง แต่นางยังควบคุมอาการไว้มิแสดงออกไป “ล้อเล่นแล้วเพคะ ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการเพคะ…” ซูเฟยพูดไม่เก่งและนางเป็นคนซื่อ ๆ และไม่เป็นที่โปรดปรานในอดีต นางไม่มีพระโอรส การอยู่ในตำแหน่งที่สูงของนางมิได้กระทบผู้ใด นางจึงมีนิสัยเย็นชาและห่างเหินเช่นนี้ ฮ่องเต้สังเกตการแสดงออกของซูเฟย รู้สึกว่านางไม่สนใจเขาเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หรงเอ๋อร์ ข้าละเลยเจ้าในอดีต แต่จากนี้ไปข้าจะมาเยี่ยมเจ้ามากขึ้น…” มือของซูเฟยที่กำลังรินชาอยุ่นั้นพลันสั่นขึ้นมา จากนั้นน้ำชาในกาน้ำชาก็เทล้นออกมาเลอะฮ่องเต้... สีหน้าของซูเฟยเปลี่ยนไปฉับพลัน นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ หม่อมฉันจะช่วยเช็ดให้เพคะ!” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเสื้อคลุมมังกรของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้พลันจับข้อมือของนางไว้อากาศค่อนข้างหนาว แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าเห
ฮ่องเต้ “...” ซูชิงอู่กล่าวต่อ “เป็นการดีกว่าหากงดเบี้ยหวัดเป็นเวลาห้าปีและพักงานสามปีเพคะ” ดวงตาของฮ่องเต้ฉายแววประหลาดใจ แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้ปลดอัครเสนาบดีซูออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่การสั่งพักงานหนึ่งปีถือเป็นการลงโทษที่ทำให้เขาสูญเสียอำนาจ ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ในท้องพระโรงนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา หากพลาดการพิจารณาฎีกาไปสองสามวัน ทุกอย่างก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอัครเสนาบดีซูที่ดำรงตำแหน่งสูง ความสัมพันธ์และอำนาจในมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง การถูกพักงานก็เทียบเท่ากับฮ่องเต้ละทิ้งเขาไปแล้ว การจากไปนั้นง่าย แต่การกลับมา… ช่างยากนัก ฮ่องเต้ปิดปากกระแอม “แม่นางน้อยชิงอู่ เจ้าจริงจังรึ?” ซูชิงอู่ยิ้ม “เพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันมักจะพูดเสมอว่าสุขภาพแย่ลง จะดีกว่าหากให้เขาดูแลตัวเองที่บ้านเพคะ” นางหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเป็นประกาย ซูชิงอู่มีเหตุผลที่พูดเช่นนั้น นี่ไม่ใช่การทรยศต่อพ่อของตนตระกูลซูเป็นอัครเสนาบดีของแคว้นหนานเย่มาหลายชั่วอายุคน ตำแหน่งที่อัครเสนาบดีซูยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันน
ตั้งแต่เกิดเหตุกับองค์ชายหก นางก็ไม่มีความคิดใดเกี่ยวกับฮ่องเต้อีกเลย “พี่หญิงซูเฟยอย่าได้กังวลเพคะ ท่านช่วยหม่อมฉันมากแล้ว ปล่อยเรื่องงานเลี้ยงในวังให้หม่อมฉันจัดการเถิดเพคะ” ซูเฟยพยักหน้าเบา ๆ นางมองไปที่ซูชิงอู่ และคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฮุ่ยเฟยอยู่กับข้าคืนนี้ ชิงอู่ เจ้ากลับไปที่จวนแล้วดูว่าท่านอ๋องเสด็จกลับมาหรือยังเถิด ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องอันตรายให้เขา ตัวข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร” “เพคะ” ซูชิงอู่ไม่ปฏิเสธและกลับไปที่จวนในคืนนั้น ดึกมากแล้ว ซูชิงอู่ยังไม่ได้เข้านอน นางนั่งบนหลังคาพลางมองดูดวงเดือนดาราบนท้องฟ้า ชื่นชมดวงจันทร์อันงดงามอย่างแท้จริง จู่ ๆ ก็มีเสียงอยู่นอกประตูจวน นางหรี่ตาและมองไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูลานหลัก บุรุษที่อยู่ด้านล่างสวมอาภรณ์สีเข้ม รูปร่างเพรียว สูงและผอม ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นใครบางคนบนหลังคา เย่เสวียนถิงหยุดเดินและเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาหันมาสบกัน ซูชิงอู่เห็นความประหลาดใจในสีหน้าของเย่เสวียนถิงได้อย่างชัดเจนผ่านแสงจันทร์กระจ่างเขาทะยานขึ้นไปหาซูชิงอู่โดยไม่ลังเล และถอดอ
ซูชิงอู่รู้สึกมีความสุขหลังจากยืนยันแล้ว... คืนนั้นนางสะลึมสะลือมากจนไม่รู้ว่าตนหลับไปเมื่อใด ดูเหมือนนางกำลังนอนอยู่บนคลื่นลูกใหญ่ในผืนทะเล... หลังจากที่ร่างกายของนางได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงและสบายมาก ซูชิงอู่ก็หลับตาลงและหลับไป นางไม่รู้เลยว่าบุรุษท่าทางใจดีที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจ้องมองใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนพลางกอดรัดนางแนบแน่นยิ่งขึ้น เย่เสวียนถิงเก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปนอกประตู มีเงาดำทอดลงมาจากหลังคา “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทีอ่อนโยนแต่เดิมก็กลายเป็นเย็นชาในทันใด ราวกับน้ำแข็งที่ไร้ไออุ่น เย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลัง ร่างเพรียวบางสูงสง่าภายใต้ดวงเดือน แสงจันทราสาดส่องสะท้อนเงาบนใบหน้า “อิ่งอี้ องค์รักษ์เงาลำดับที่หนึ่ง ช่วงนี้พระชายาพบเจออันตรายอันใดหรือไม่?” อิ่งอี้กล่าวว่า “กราบทูลท่านอ๋อง พระชายาสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่กี่วันก่อน พระชายาส่งคุณหนูซูไปรับแขกที่อั้นเซียง กระหม่อมยังพบว่ามีคนลอบเข้ามาใกล้จวนอ๋อง แต่จวนอ๋องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จึงมิสามารถเข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ” แทบไม่ต้องคิด เขารู้ว่าคนเหล่านั้นต้องเป็นกลุ่มเดียวกับ
เย่เสวียนถิงไม่ได้ดูกลัวเลย “ไม่สำคัญ ไม่มีผู้ใดกล้า” “เพคะ” แม้ว่าซูชิงอู่จะกังวลเล็กน้อย แต่นางไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเย่เสวียนถิงพูดเช่นนั้นก็แล้วมันก็จะไม่เป็นไรแน่นอน นางสั่งให้อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงจัดการดูแลองค์ชายหกให้ดี พยายามไม่ให้คนรับใช้รู้ว่ามีคนที่มีสถานะพิเศษอยู่ในจวน ซูชิงอู่ดูเวลา จากนั้นก็เก็บข้าวของ และวางแผนจะไปหาพี่ชายใหญ่ของนาง วันนี้เป็นปีใหม่และพี่น้องส่วนใหญ่จะใช้เวลาช่วงเย็นที่บ้านของพี่ชายใหญ่ ดังนั้นในช่วงบ่ายเย่เสวียนถิงจึงจัดเวลาเพื่อติดตามซูชิงอู่ไปยังจวนเจ้ากรมของซูหัวจิ่นโดยเฉพาะ ตามที่คาดไว้ วันนี้พี่ชายทั้งสามของตระกูลซูอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นซูชิงอู่มาถึง ใบหน้าของพวกเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ซูเชียนหมิงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาซูชิงอู่แล้วยื่นมือออกแล้วลูบหน้าของนาง “น้องหก ไฉนเจ้ามาช้านักเล่า!” ซูชิงอู่หันไปมองเย่เสวียนถิง “ไม่ช้าปานนั้นกระมัง ท่านอ๋องทรงงานยุ่งมาก แต่พระองค์ก็ตั้งใจหาเวลามากับข้าโดยเฉพาะ” เมื่อซูเชียนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาเห็นการแสดงออกของเย่เสวียนถิง สีหน้าของเขาจริงจังขึ
ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ประตู เมื่อเคอเอ๋อร์ได้ยินเสียง เขาก็ถอนมือที่กำลังจะเข้าหาซูชิงอู่แล้วหันหลังกลับวิ่งไปหาสตรีผู้นั้น “เด็กดี” สตรีผู้นั้นก้มลงแตะศีรษะของเด็กน้อย ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าแล้วพูดว่า "สองท่านที่อยู่ตรงหน้านี้มีสถานะสูงส่ง เคอเอ๋อร์ต้องไม่หยาบคาย เข้าใจหรือไม่" เด็กน้อยถูกตำหนิก็คอหดทันที แล้วเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นมารดา สตรีผู้นี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่นั้นมีใบหน้าที่สง่างาม ทว่ามีนิสัยเย็นชาเล็กน้อย สวมชุดยาวสีฟ้าน้ำทะเล นางเป็นพี่สะใภ้ของซูชิงอู่นั่นเอง ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันเท่าไรนัก พวกเขาพบกันเมื่องานแต่งของพี่ชายคนโตของนาง การแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นโดยอัครเสนาบดีซู พี่ชายคนโตคิดว่าสตรีผู้นี้ค่อนข้างดีทีเดียว เป็นสตรีผู้มีการศึกษาและมีไหวพริบดี ดังนั้นเขาจึงยอมรับพี่สะใภ้ใหญ่มีนามว่าอันซู่หลาน บิดาของนางเป็นขุนนางระดับห้าในราชสำนัก ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและเหมาะสม ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตามบิดาของนางมีภรรยาและอนุภ