ตั้งแต่เกิดเหตุกับองค์ชายหก นางก็ไม่มีความคิดใดเกี่ยวกับฮ่องเต้อีกเลย “พี่หญิงซูเฟยอย่าได้กังวลเพคะ ท่านช่วยหม่อมฉันมากแล้ว ปล่อยเรื่องงานเลี้ยงในวังให้หม่อมฉันจัดการเถิดเพคะ” ซูเฟยพยักหน้าเบา ๆ นางมองไปที่ซูชิงอู่ และคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฮุ่ยเฟยอยู่กับข้าคืนนี้ ชิงอู่ เจ้ากลับไปที่จวนแล้วดูว่าท่านอ๋องเสด็จกลับมาหรือยังเถิด ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องอันตรายให้เขา ตัวข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร” “เพคะ” ซูชิงอู่ไม่ปฏิเสธและกลับไปที่จวนในคืนนั้น ดึกมากแล้ว ซูชิงอู่ยังไม่ได้เข้านอน นางนั่งบนหลังคาพลางมองดูดวงเดือนดาราบนท้องฟ้า ชื่นชมดวงจันทร์อันงดงามอย่างแท้จริง จู่ ๆ ก็มีเสียงอยู่นอกประตูจวน นางหรี่ตาและมองไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูลานหลัก บุรุษที่อยู่ด้านล่างสวมอาภรณ์สีเข้ม รูปร่างเพรียว สูงและผอม ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นใครบางคนบนหลังคา เย่เสวียนถิงหยุดเดินและเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาหันมาสบกัน ซูชิงอู่เห็นความประหลาดใจในสีหน้าของเย่เสวียนถิงได้อย่างชัดเจนผ่านแสงจันทร์กระจ่างเขาทะยานขึ้นไปหาซูชิงอู่โดยไม่ลังเล และถอดอ
ซูชิงอู่รู้สึกมีความสุขหลังจากยืนยันแล้ว... คืนนั้นนางสะลึมสะลือมากจนไม่รู้ว่าตนหลับไปเมื่อใด ดูเหมือนนางกำลังนอนอยู่บนคลื่นลูกใหญ่ในผืนทะเล... หลังจากที่ร่างกายของนางได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงและสบายมาก ซูชิงอู่ก็หลับตาลงและหลับไป นางไม่รู้เลยว่าบุรุษท่าทางใจดีที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจ้องมองใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนพลางกอดรัดนางแนบแน่นยิ่งขึ้น เย่เสวียนถิงเก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปนอกประตู มีเงาดำทอดลงมาจากหลังคา “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทีอ่อนโยนแต่เดิมก็กลายเป็นเย็นชาในทันใด ราวกับน้ำแข็งที่ไร้ไออุ่น เย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลัง ร่างเพรียวบางสูงสง่าภายใต้ดวงเดือน แสงจันทราสาดส่องสะท้อนเงาบนใบหน้า “อิ่งอี้ องค์รักษ์เงาลำดับที่หนึ่ง ช่วงนี้พระชายาพบเจออันตรายอันใดหรือไม่?” อิ่งอี้กล่าวว่า “กราบทูลท่านอ๋อง พระชายาสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่กี่วันก่อน พระชายาส่งคุณหนูซูไปรับแขกที่อั้นเซียง กระหม่อมยังพบว่ามีคนลอบเข้ามาใกล้จวนอ๋อง แต่จวนอ๋องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จึงมิสามารถเข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ” แทบไม่ต้องคิด เขารู้ว่าคนเหล่านั้นต้องเป็นกลุ่มเดียวกับ
เย่เสวียนถิงไม่ได้ดูกลัวเลย “ไม่สำคัญ ไม่มีผู้ใดกล้า” “เพคะ” แม้ว่าซูชิงอู่จะกังวลเล็กน้อย แต่นางไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากเย่เสวียนถิงพูดเช่นนั้นก็แล้วมันก็จะไม่เป็นไรแน่นอน นางสั่งให้อวิ๋นจื่อและอวิ๋นชิงจัดการดูแลองค์ชายหกให้ดี พยายามไม่ให้คนรับใช้รู้ว่ามีคนที่มีสถานะพิเศษอยู่ในจวน ซูชิงอู่ดูเวลา จากนั้นก็เก็บข้าวของ และวางแผนจะไปหาพี่ชายใหญ่ของนาง วันนี้เป็นปีใหม่และพี่น้องส่วนใหญ่จะใช้เวลาช่วงเย็นที่บ้านของพี่ชายใหญ่ ดังนั้นในช่วงบ่ายเย่เสวียนถิงจึงจัดเวลาเพื่อติดตามซูชิงอู่ไปยังจวนเจ้ากรมของซูหัวจิ่นโดยเฉพาะ ตามที่คาดไว้ วันนี้พี่ชายทั้งสามของตระกูลซูอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นซูชิงอู่มาถึง ใบหน้าของพวกเขามีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ซูเชียนหมิงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาซูชิงอู่แล้วยื่นมือออกแล้วลูบหน้าของนาง “น้องหก ไฉนเจ้ามาช้านักเล่า!” ซูชิงอู่หันไปมองเย่เสวียนถิง “ไม่ช้าปานนั้นกระมัง ท่านอ๋องทรงงานยุ่งมาก แต่พระองค์ก็ตั้งใจหาเวลามากับข้าโดยเฉพาะ” เมื่อซูเชียนหมิงได้ยินเช่นนี้ เขาเห็นการแสดงออกของเย่เสวียนถิง สีหน้าของเขาจริงจังขึ
ซูชิงอู่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ประตู เมื่อเคอเอ๋อร์ได้ยินเสียง เขาก็ถอนมือที่กำลังจะเข้าหาซูชิงอู่แล้วหันหลังกลับวิ่งไปหาสตรีผู้นั้น “เด็กดี” สตรีผู้นั้นก้มลงแตะศีรษะของเด็กน้อย ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าแล้วพูดว่า "สองท่านที่อยู่ตรงหน้านี้มีสถานะสูงส่ง เคอเอ๋อร์ต้องไม่หยาบคาย เข้าใจหรือไม่" เด็กน้อยถูกตำหนิก็คอหดทันที แล้วเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นมารดา สตรีผู้นี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าซูชิงอู่นั้นมีใบหน้าที่สง่างาม ทว่ามีนิสัยเย็นชาเล็กน้อย สวมชุดยาวสีฟ้าน้ำทะเล นางเป็นพี่สะใภ้ของซูชิงอู่นั่นเอง ทั้งสองไม่ได้รู้จักกันเท่าไรนัก พวกเขาพบกันเมื่องานแต่งของพี่ชายคนโตของนาง การแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นโดยอัครเสนาบดีซู พี่ชายคนโตคิดว่าสตรีผู้นี้ค่อนข้างดีทีเดียว เป็นสตรีผู้มีการศึกษาและมีไหวพริบดี ดังนั้นเขาจึงยอมรับพี่สะใภ้ใหญ่มีนามว่าอันซู่หลาน บิดาของนางเป็นขุนนางระดับห้าในราชสำนัก ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและเหมาะสม ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อย่างไรก็ตามบิดาของนางมีภรรยาและอนุภ
ซู่หลานถูกพามาที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกล แถวนี้ไม่มีใครอยู่ นางมองซูหัวจิ่นและพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านลากข้าออกมาด้วยเหตุใด? ข้ายังมิได้ทำอันใดคนในครอบครัวท่านเลย” ซูหัวจิ่นมองดูภรรยาที่มักจะอ่อนโยนและเข้ากับคนง่าย และไม่เคยอารมณ์เสียกับใครเลย ทว่ายามนี้กลับมีปฏิกิริยารุนแรงมาก เขาระงับความโกรธในใจแล้วพูดว่า “ชิงอู่แทบจะไม่ได้มาที่นี่เลย เจ้ามีปัญหากับนางด้วยเรื่องใด?” อันซู่หลานถอนหายใจและอุ้มเสี่ยวเคอไว้ในอ้อมแขนของนาง นางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นท่านอยากให้ข้าทักทายนางด้วยรอยยิ้ม และมอบทุกสิ่งในบ้านให้นางเลยหรือไม่เล่า?" ซูหัวจิ่นมองดูอันซู่หลานราวกับว่าเขาไม่รู้จักนาง ทั้งสองแต่งงานกันมาสี่ห้าปีแล้ว พวกเขาเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างดีมาโดยตลอด แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะได้พบกับนางผู้นี้เป็นครั้งแรกซู่หลานมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย น้ำเสียงของนางเจือความคับข้องใจ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเยี่ยงนี้? ข้าทำผิดกระไร? นางเป็นน้องสาวของท่าน หาใช่น้องสาวข้าไม่ ไฉนข้าจะต้องตามใจนางด้วย" ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่นางทำกับตระกูลซู ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็รู้กัน
สีหน้าของซู่หลานดูไม่ดีนัก “เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงตำหนิท่านแม่ของท่านที่ลำเอียงเกินไป นั่นคือเงินหลายแสนตำลึงเชียวนะ!” ดวงตาของซูหัวจิ่นเย็นชาลงเรื่อย ๆ เขามองไปที่ซูเคอผู้ไร้เดียงสาและมีน้ำมูกน้ำตาไหลบนใบหน้า “นั่นเป็นของของท่านแม่ข้า นางตัดสินใจว่าจะมอบให้ผู้ใดหรืออย่างไรก็ไม่มีใครมีสิทธิ์พูดทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นครั้นชิงอู่ยังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เช่นนั้นพวกเราพี่น้องจะรู้สึกเสียใจกับน้องสาวของเรามิได้หรือไร อีกอย่างครอบครัวเราก็มิได้ขาดเงิน!” ซู่หลานเม้มริมฝีปากและลังเลที่จะพูด เดิมทีนางไม่ได้รับความสำคัญในครอบครัวของตนมากนัก แต่จนกระทั่งนางแต่งงานเข้าตระกูลซู นางจึงได้รับสถานะในครอบครัว เหล่าบรรดาญาติและพี่สะใภ้ต่างพยายามประจบเอาใจนางอย่างกระตือรือร้น แม้ว่านางจะดูถูกคนเหล่านั้น แต่บางสิ่งที่พวกเขาพูดก็ถูกต้อง ตระกูลซูเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียง นางเป็นลูกสะใภ้ของอัครเสนาบดี แต่เมื่ออยู่ข้างนอกนางกลับไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับภรรยาของพ่อค้าผู้มั่งคั่งเหล่านั้นท้ายที่สุดแม้ว่าเงินเดือนของขุนนางจะมาก แต่ก็ยังมีจำนวนจำกัด เนื่องจากมีคนรับใช้หลา
เห็นได้ชัดว่านางไม่เต็มใจ ซูหัวจิ่นเป็นคนเดียวในครอบครัวที่แต่งงานแล้ว และเขายังสามารถแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบของพี่ชายคนโตได้อีกด้วย ซูฉางเซิงรีบส่ายหน้าทันที “พี่ใหญ่อย่าได้ห่วง ข้าเลือกไว้แล้ว” “เราพี่น้องจะต้องมีสิ่งใดคิดเล็กคิดน้อยเล่า ที่นี่เป็นจวนของพี่ใหญ่ เจ้าจะอยู่นานเพียงใดก็ย่อมได้” ซูชิงอู่ได้ฟังเหล่าพี่น้องพูดคุยกันก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ นางก้มหน้ากินอาหารอย่างเงียบ ๆ เพลิดเพลินกับความสงบสุขที่เกิดขึ้นได้ยากนี้ ภาพชาติก่อนของนางยังคงฉายอยู่ในใจของนาง ทำให้นางเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าความสงบเงียบนี้มีค่าเพียงใด ขณะที่นางจมอยู่กับความคิด จานของนางก็พูนไปด้วยอาหาร นางเอาแต่ยัดของเข้าปาก แก้มของนางป่องไปด้วยอาหารราวกับเจ้าหนูตัวน้อยที่ยัดอาหารใส่ปาก มือเรียวขาวเรียวยาวเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงใบหน้านาง จากนั้นคราบมันอาหารบนปากของนางก็ถูกเช็ดออกไป ซูชิงอู่หันหน้าไปและเห็นเย่เสวียนถิงมองนางด้วยรอยยิ้ม “อร่อยใช่หรือไม่?” ซู่ชิงอู่พยักหน้าจากนั้นเขาก็นึกถึงแม่ครัวที่ถูกลักพาตัวไป เขาส่ายหัวในทันใด เย่เสวียนถิงอ
ซูชิงอู่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้าได้มันมาอย่างไรหาได้ต้องสนใจไม่ ข้ารู้ว่าพี่ชายของข้าชอบมันก็เพียงพอแล้ว” ซูหัวจิ่นถือภาพวาดไว้อย่างมิอาจจะวางลงได้ เขารู้อยู่ในใจว่าภาพวาดนี้หายากเพียงใด อาจกล่าวได้ว่า ซูชิงอู่ได้กำไรมากจริง ๆ แม้ว่าภาพวาดนี้จะมีค่ามาก แต่ผู้คนในหอมหาสมบัติก็ไม่ได้สนใจภาพวาดนี้เสียเท่าไร ดังนั้นจึงมีผู้ประมูลไม่มากนัก ยิ่งกว่านั้นเพราะภาพวาดนี้มีมูลค่ามาก แม้ว่าจะสามารถซื้อมันได้ แต่หากมิได้ชอบจริง ๆ คงไม่มีผู้ใดยอมจ่ายเงินแปดหมื่นตำลึงเพื่อภาพวาดนี้หรอก เขาเม้มริมฝีปาก แต่ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ เมื่อมองดูใบหน้าที่ยิ้มแย้มของซูชิงอู่ ซูหัวจิ่นก็พูดว่า “ภาพวาดนี้คงราคาแพงมาก” ซูชิงอู่ส่ายหัว “มิได้แพงขนาดนั้น” ซู่หลานไม่เข้าใจคุณค่าของภาพวาดนี้ เมื่อได้ยินซูหัวจิ่นพูดเช่นนี้ นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ว่าภาพวาดจะแพงแค่ไหนก็คงจะแค่หนึ่งพันแปดร้อยตำลึงเท่านั้นกระมัง อย่างไรก็ตาม ซูฉางเซิงรู้เรื่องประเภทนี้เป็นอย่างดีและได้ศึกษาคุณค่าของมันมาไม่น้อยเขาปิดปากไอเบา ๆ และพูดกับซูหัวจิ่น “พี่ใหญ่ หากมิได้มาเป็นของกำนัล แล้วท่านพี่