ซูฉางเซิงถึงกับดึงที่มุมเสื้อของพี่รอง “พี่รอง ของกำนัลที่ชิงอู่มอบให้ท่านคืออะไร? เอาออกมาดูสิ!” ใบหน้าของซูเชียนหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่เขาหยิบชุดเกราะเทียนหลินออกมาวางมันลงบนโต๊ะ ชุดเกราะอ่อนสีเงินสง่าแวววาวงดงาม วัสดุมีความเย็นและละเอียดอ่อนต่อการสัมผัส เมื่อถูกดาบฟันชุดเกราะนี้จะเกิดเพียงรอยจาง ๆ เท่านั้น “นี่มัน…” ซูหัวจิ่นและซูฉางเซิงต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน ซูเชียนหมิงอ้าปากค้าง เขาพอมีประสบการณ์และได้ยินข่าวลือมาบ้าง เขามองไปที่ซูชิงอู่และพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ “ชุดเกราะเทียนหลิน!?” ซู่ชิงอู่พยักหน้า “ใช่” นางพยักหน้า และซูเชียนหมิงก็ผลักเกราะเทียนหลินไปที่ซูชิงอู่ทันที “ข้าคงรับของกำนัลราคาแพงเช่นนี้ไว้มิได้ ชิงอู่ เจ้าควรเก็บสิ่งนี้ไว้เพื่อตัวเจ้าเอง เจ้าจะมอบมันให้ผู้อื่นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?” ซูชิงอู่กล่าวว่า “ข้าคิดว่าพี่รองต้องการมันมากกว่าข้า”ใบหน้าของซูเชียนหมิงมืดมน “ข้าขอไม่รับไว้!” ซูชิงอู่ถอนหายใจ แม้ว่านางจะรู้นิสัยของพี่รองแต่นางก็ยังรู้สึกยากที่จะจัดการด้วย “ข้ายังมีอีกชุดหนึ่ง” ซูเชียนหมิงตกใจ “มี
อันซู่หลานที่อยู่ด้านข้างก็เห็นสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ขณะนี้ใบหน้าของนางไม่เพียงแดงก่ำใบหน้านั้นยังร้อนผ่าวไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอีกต่างหากแววตาของซูชิงอู่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง“ของพวกนี้...ของพวกนี้มีค่ามากเกินไปแล้ว ท่านอ๋องอย่าได้...”เย่เสวียนถิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า "ตั้งแต่ยังเล็กชิงอู่เติบโตขึ้นมาภายใต้ร่มเงาของท่านพี่ทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วท่านอย่าได้เกรงใจของขวัญเล็กน้อยเหล่านี้เลย พี่ใหญ่"ในฐานะท่านอ๋อง เขามักสงวนท่าทีเมื่อพบหน้ากับพี่น้องตระกูลซู อีกทั้งเขายังแสดงออกถึงความห่วงใยและเอาใจใส่ต่อซูชิงอู่อย่างมากด้วยซูหัวจิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจของอีกฝ่ายได้เขาจึงหันกลับมาพร้อมกับโค้งคำนับเย่เสวียนถิงด้วยความเคารพ “ข้าจะขอรับของขวัญเหล่านี้จากท่านอ๋องไว้ และต่อจากนี้ไปข้าขอฝากฝังน้องหญิงของข้าให้ท่านคอยดูแลด้วย”เย่เสวียนถิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะผนึกซูชิงอู่ไว้ในดวงตาของเขาเขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วพูดว่า "พี่ใหญ่โปรดวางใจ ข้าจะปกป้องนางอย่างสุดกำลังด้วยชีวิตทั้งหมดของข้า ตราบใ
ซูชิงอู่ผงะเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กเล็ก ๆ น่ารักเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มให้นาง เขาพูดอย่างไพเราะว่า "ท่านอา~"จากนั้นเขาก็อ้าแขนอันจ้ำม่ำออกแล้วกอดขาของนาง“เหตุใดไม่กอดข้าล่ะ?”เขายังคงจำได้จริง ๆ…ซูชิงอู่ใจอ่อนลงทันที นางถอนหายใจพลางแกะมือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยที่เกาะขานางไว้ราวกับปลาหมึกยักษ์ออก จากนั้นจึงอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนของนางเคอเอ๋อร์ตัวน้อยหอมแก้มของนาง ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงแวววาว“ท่านอา ช่างงดงามจังเลย~”ซูชิงอู่ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็อดหัวเราะไม่ได้นางกอดแนบชิดแก้มอันอ่อนนุ่มของเคอเอ๋อร์ และทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าราวกับว่ามีก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ถูกโยนเข้ามาภายในใจของนาง ซึ่งทำให้เกิดระลอกคลื่นหลายต่อหลายชั้นไม่ว่ามารดาของเคอเอ๋อร์จะมีทัศนคติอย่างไร นางก็ไม่อาจลืมได้ว่านี่คือลูกของพี่ใหญ่อีกทั้งเขายังเป็นพี่ชายของลูกน้อยในอนาคตนางด้วยยิ่งไปกว่านั้นเคอเอ๋อร์ยังน่ารักมากเหมือนกับพี่ใหญ่นาง ต่อจากนี้ไปเขาจะต้องเป็นพี่ชายที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มั่นคงอย่างแน่นอนในอนาคต ชีวิตของเขายังอีกยาวไกลนัก เขาจะต้องไม่จบอยู่แค่นี้เพียงเพราะสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด "เคอ
ซูหัวจิ่นคิดไม่ถึงว่าอันซู่หลานจะตอบโต้อย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ เขามองนางที่จากไปด้วยสายตาเย็นชาเช่นนี้ก็ดีบางทีเขาอาจจะต้องสงบสติอารมณ์ลงแล้วคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรคืนนั้น อันซู่หลานพาซูเคอกลับไปยังบ้านบิดามารดาของนางจวนตระกูลอันค่อนข้างใหญ่ ภายในจวนมีทั้งคนชราและหนุ่มสาวหลายคนอาศัยอยู่ด้วยกัน เมื่ออันซู่หลานกลับมาถึงจวน นางก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพี่สะใภ้ใหญ่ของนาง ด้วยคำพูดยกยอปอปั้นเหล่านั้น “โอ้ ทั้งสองผู้นี้คือซู่หลานและลูกของนางเคอเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงกลับมาช้านัก? เกิดสิ่งใดขึ้นอย่างนั้นหรือ?”เมื่ออันซู่หลานได้ยินคำพูดปลอบประโลมจากครอบครัวของนาง แววตาแห่งความคับข้องใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางจึงอดไม่ได้ที่จะพรั่งพรูความในใจออกมาหลังจากที่พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองดึงนางไปยังเรือนข้างจวนจนสุดโถงทางเดิน อันซู่หลานก็อุ้มเคอเอ๋อร์แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมด นางไม่อาจสังเกตเห็นความอิจฉาที่ฉายวาบในแววตาของพี่สะใภ้ทั้งสอง พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มให้นางด้วยสายตาอันอ่อนโยนพร้อมกับพูดว่า "ที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้ พระชายาเสวียนผู้น
ซูชิงอู่โบกมือ นางหรี่ตาลงเล็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "อย่าทำเช่นนี้ แม้ว่าตระกูลอันจะเป็นเพียงมดตัวน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือครอบครัวของซูเคอ เช่นนั้นจึงไม่อาจลงมือได้"เมื่อองครักษ์เงาที่สิบเจ็ดได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาก็ระงับเจตนาสังหารภายในใจ ‘พระชายาใจดีเกินไป…’ทว่าครู่ต่อมา นางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า "เราต้องทำให้พวกเขาลิ้มรสความสิ้นหวังเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยลงมือฆ่า!"เงาที่สิบเจ็ดตะลึงงันเย่เสวียนถิงมองดูสีหน้าโกรธแค้นของซูชิงอู่พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า "ข้าสามารถสั่งให้สอบสวนตระกูลอันได้ทันที"ซูชิงอู่เหลือบมองเย่เสวียนถิง สีหน้าของนางอ่อนลงจากเดิมมาก "ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้ พรุ่งนี้ข้าจะไปยังจวนตระกูลอันด้วยตัวเองเพื่อดูว่าคนเหล่านั้นตั้งใจจะทำอะไร!"เย่เสวียนถิงกังวลเล็กน้อย "ข้าจะให้เจ้าสิบเจ็ดไปกับเจ้า"“ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องลงมือลงแรงถึงเพียงนี้ ท่านมีสิ่งสำคัญอย่างอื่นที่ต้องจัดการในช่วงนี้ เช่นนั้นสิบเจ็บควรอยู่เคียงข้างท่านจะดีกว่า”เย่เสวียนถิงยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยน ร่องรอยของความมืดปรากฏขึ้นในดวงตาลึกของเข
ตอนนี้เป็นเดือนที่สิบสองของฤดูหนาว แต่ปีนี้พายุหิมะมาช้า จึงมีเพียงชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ที่ก่อตัวบนพื้นผิวสระบัวเด็ก ๆ หลายคนวิ่งไปยังริมสระบัวเพื่อเล่นกัน เด็กทั้งสามจากตระกูลอันก็มายังบริเวณสระบัวพร้อมกับเคอเอ๋อร์เช่นกัน เด็กน้อยไม่อาจรู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มกว้าง โดยคิดไปว่าพี่น้องของเขากำลังเล่นกับเขาอยู่ทว่าในขณะที่เขาเข้าใกล้สระบัว จู่ ๆ ก็มีคนผลักเขาจากด้านหลัง แรงกระแทกนั้นทำให้ร่างของเขาโอนเอน จากนั้นเขาจึงผลัดตกลงบนสระน้ำแข็งทันทีตามมาด้วยเสียงแตกร้าว เด็กตัวน้อยซึ่งมีอายุเพียงสามขวบแสดงสีหน้าตื่นตระหนก ร่างกายของเขาครึ่งหนึ่งอยู่ในน้ำแล้ว เขายื่นมือออกไปหาพี่น้องของเขาบนฝั่งอย่างหมดทางดิ้นรน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า "ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่หญิง ช่วยเคอเอ๋อร์ด้วย ... "ทว่าเด็กทั้งสามจากตระกูลอันกลับมองดูเขาอย่างเฉยเมยบนชายฝั่ง เห็นได้ชัดว่าความอบอุ่นไม่มีเหมือนเช่นเคยอีกต่อไปแล้ว แม้แต่เด็กโตอายุสิบขวบก็ยังมองเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง อีกฝ่ายมองไปรอบข้าง ก่อนจะจูงมือพี่น้องอีกสองคนให้หันหลังกลับแล้ววิ่งหนีเด็กตัวน้อยไม่มีความแข
“ท่านอา~”ซูชิงอู่เลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยว่า "หืม?"ศีรษะสีดำเล็ก ๆ ของเคอเอ๋อร์โผล่ออกมาจากขนสุนัขจิ้งจอก ดวงตาของเขายังคงมีน้ำตาไหลอยู่ "มีคนผลักเคอเอ๋อร์ เคอเอ๋อร์ก็เลยตกลงไป"เด็กตัวน้อยทั้งรู้สึกเสียใจและวิตกกังวล เมื่อเห็นคนที่ไว้ใจได้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะฟ้องทันที ซูชิงอู่พยักหน้า "อารู้แล้ว"นางไม่ได้ถามว่าใครเป็นคนทำ เพราะ...ไม่จำเป็นกลุ่มคนจากตระกูลอันเฝ้าดูซูชิงอู่เดินออกจากฝูงชนโดยมีเคอเอ๋อร์อยู่ในอ้อมแขนของนาง ทว่าใบหน้าของนางก็ยังไม่ได้เป็นที่น่าจดจำของเหล่าสตรีในเมืองหลวง โดยเฉพาะในจวนของขุนนางระดับล่างเหล่านี้ แน่นอนว่ายศของขุนนางระดับห้านับว่าไม่ได้ต้อยต่ำนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ยังให้ความเคารพ แต่ใครใช้ที่ทำให้ซูชิงอู่เกิดในจวนของอัครเสนาบดีอีกทั้งยังคุ้นเคยแค่กับขุนนางขั้นหนึ่งและขั้นสองเล่า?“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจู่ ๆ ถึงบุกเข้ามาในจวนของข้า?!”ใบหน้าของใต้เท้าอันซีดเผือด แต่เขาไม่กล้าที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้ต้องขุ่นเคืองใจซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่แรกเห็น คนอื่นต่างไม่รู้จักซูชิงอู่ ในขณะที่อันซู่หลานกลับจดจำใบหน้านี้ไม่รู้ลืมหลังจากท
พี่สะใภ้ทั้งสองของซู่หลานตะโกนเสียงดัง พวกนางทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นด้วยขาที่อ่อนแรง พวกนางถูกองครักษ์หยุดไว้รวมทั้งไม่อาจแม้แต่จะแตะต้องลูก ๆ ของตัวเองได้ พวกนางทำได้แต่เพียงเฝ้าดูเด็กทั้งสามตกลงไปในน้ำเท่านั้น น้ำที่เย็นราวกับน้ำแข็งกลืนร่างเด็ก ๆ เหล่านั้นทันที พี่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลอันจ้องมองอย่างโกรธเคือง นางพยายามอย่างยิ่งที่จะรีบเร่งไปหาซูชิงอู่“หยุดนะ พวกเขาเป็นเพียงเด็ก พระชายาเสวียน เหตุใดท่านจึงโหดร้ายไร้เมตตาถึงเพียงนี้? แม้แต่กับเด็กท่านก็ไม่อาจปล่อยไป?”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่อันที่กำลังพูดอยู่ นางยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "นี่โหดร้ายงั้นหรือ? เจ้ายังไม่เคยเห็นความโหดร้ายที่แท้จริงเลย"นางโบกมือเบา ๆ ทันใดนั้น องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ดึงเด็กทั้งสามที่กลายเป็นไก่ตกน้ำออกจากสระน้ำแข็งทันทีในวันที่อากาศหนาวจัดในเดือนสิบสอง เด็กทั้งสามตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นและไม่อาจส่งเสียงใดได้เลยท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นเพียงเด็ก แต่เคอเอ๋อร์นั้นมีอายุเพียงสามปีเท่านั้น หากเขาตกลงไปในสระน้ำแข็งเช่นนี้