พี่สะใภ้ทั้งสองของซู่หลานตะโกนเสียงดัง พวกนางทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นด้วยขาที่อ่อนแรง พวกนางถูกองครักษ์หยุดไว้รวมทั้งไม่อาจแม้แต่จะแตะต้องลูก ๆ ของตัวเองได้ พวกนางทำได้แต่เพียงเฝ้าดูเด็กทั้งสามตกลงไปในน้ำเท่านั้น น้ำที่เย็นราวกับน้ำแข็งกลืนร่างเด็ก ๆ เหล่านั้นทันที พี่สะใภ้ใหญ่ของตระกูลอันจ้องมองอย่างโกรธเคือง นางพยายามอย่างยิ่งที่จะรีบเร่งไปหาซูชิงอู่“หยุดนะ พวกเขาเป็นเพียงเด็ก พระชายาเสวียน เหตุใดท่านจึงโหดร้ายไร้เมตตาถึงเพียงนี้? แม้แต่กับเด็กท่านก็ไม่อาจปล่อยไป?”เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ซูชิงอู่ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปยังพี่สะใภ้ใหญ่อันที่กำลังพูดอยู่ นางยิ้มมุมปาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "นี่โหดร้ายงั้นหรือ? เจ้ายังไม่เคยเห็นความโหดร้ายที่แท้จริงเลย"นางโบกมือเบา ๆ ทันใดนั้น องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ดึงเด็กทั้งสามที่กลายเป็นไก่ตกน้ำออกจากสระน้ำแข็งทันทีในวันที่อากาศหนาวจัดในเดือนสิบสอง เด็กทั้งสามตัวสั่นด้วยความหนาวเย็นและไม่อาจส่งเสียงใดได้เลยท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นเพียงเด็ก แต่เคอเอ๋อร์นั้นมีอายุเพียงสามปีเท่านั้น หากเขาตกลงไปในสระน้ำแข็งเช่นนี้
ซูชิงอู่เม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า "เพราะว่า... ท่านไม่สมควรได้รับสิ่งนั้น!""ท่าน……"หน้าอกของอันซู่หลานกระเพื่อมด้วยความโกรธ ร่างกายของนางสั่นเทา นางกัดฟันแล้วพูดว่า "พระชายา โปรดอย่าได้รังแกผู้อื่นมากเกินไปนัก หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป พระชายาไม่กลัวคนนอกจะบอกว่าท่านใจยักษ์ใจมา..."มีร่องรอยของการคุกคามในระหว่างคำพูดของนาง ซูชิงอู่จึงตะคอกอย่างเย็นชา "ข้าไม่สนสิ่งที่ผู้อื่นพูด แต่หากใครกล้าพูดจาใส่ร้ายข้าลับหลัง ข้าจะฉีกปากมันให้ขาด!"ดวงตาของอันซู่หลานเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ แต่นางกลับไม่อาจทำอะไรกับซูชิงอู่ได้เลย ดวงตาของพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองอันบวมเป่งจากการร้องไห้ เมื่อเห็นลูก ๆ ของพวกนางทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น หัวใจของพวกนางก็ราวกับถูกมีดกรีดแทง ซูชิงอู่มองไปที่อันซู่หลานพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้ายังเห็นแก่หน้าท่านในฐานะแม่ของเคอเอ๋อร์ เช่นนั้นข้าจะไม่แตะต้องท่าน"นางจ้องมองไปยังสมาชิกที่เหลือของตระกูลอัน ทันใดนั้น นางก็โบกมือ "โบยพวกเขา!"ใต้เท้าอันคิดไม่ถึงว่าซูชิงอู่จะลงมือกะทันหันเช่นนี้ ราชองครักษ์ที่นางพามาด้วย พวกเขาลงมือกับผู้คนในตระกู
ดวงตาของซู่หลานเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้เลยหลังจากถูกตำหนิ นางรีบอธิบายว่า "พี่สะใภ้ ท่านพ่อ ข้าไม่รู้ว่าซูชิงอู่เป็นบ้าอะไร จู่ ๆ นางถึงได้พาผู้คนมาที่จวนของเราได้เช่นไร…”“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าลูกชายของเจ้าสบายดี แต่ซูชิงอู่กลับโยนหลานทั้งสามของเจ้าลงในสระบัว นั่นซึ่งเป็นน้ำเย็น หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขา ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่นอน!”ซู่หลานทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เพียงแค่ชั่วพริบตานางก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากทุกคน ไม่นานมานี้ จู่ ๆ ทุกคนที่พยายามทำให้นางพอใจก็กลายเป็นเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ อันซู่หลานลดสายตาลงและออกจากจวนตระกูลอันไปพร้อมกับสาวใช้สองสามคน นางต้องหาทางนำคำอธิบายมาให้ได้ “ท่านอ๋อง มีบางอย่างผิดปกติ!”จู่ ๆ องครักษ์เงาที่สิบเจ็ดก็บุกเข้ามาในคุกใต้ดินของฝ่ายสอบสวนในขณะที่เย่เสวียนถิงกำลังนั่งสอบปากคำนักโทษบนบัลลังก์ไม้ลูกแพรที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเขาก็หรี่ตาลงและเงยหน้าขึ้น"เกิดอะไรขึ้น?"ในห้องขังเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด สายลับแคว้นอู่ตะวันตกหลายคนที่ถูกจับได้ตรงหน้า พวกเขาต่า
นิสัยของอันซู่หลานจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตระกูลซูไม่ช้าก็เร็ว ผู้คนในตระกูลอันไม่ต่างอะไรจากปลิงดูดเลือด และวันหนึ่งพวกเขาจะนำหายนะมาสู่ตระกูลซูสิ่งถูกต้องคือแต่งงานกับภรรยาที่มีคุณธรรม อันซู่หลานเป็นพวกหูเบา อีกทั้งใจของนางก็ลำเอียง นางเชื่อฟังทุกสิ่งที่ตระกูลอันพูด ตระกูลซูของนางไม่ต้องการลูกสะใภ้ที่เหมือนหุ่นเชิดเช่นนี้น่าเสียดายสำหรับเคอเอ๋อร์เขายังคงเป็นเด็กน้อยแต่กลับต้องพรากจากอกแม่ไป ซูชิงอู่หรี่ตาลงพร้อมกับพูดว่า "ในเมื่อพี่ใหญ่ตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรอื่นอีก แต่ว่าเค่อเอ๋อร์..."ซูหัวจิ่นถอนหายใจพลางพูดว่า "นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเช่นกัน ข้าไม่ต้องการให้เรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก!"ซูหัวจิ่นรู้สึกชาหนึบที่ศีรษะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพลูกชายตัวน้อยของเขาถูกผลักลงไปในสระน้ำแข็ง สิ่งนี้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเขาขาดลง หากนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเขาจะไม่โต้เถียงกับอันซู่หลาน เพราะพวกเขาทั้งสองก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว…ทว่า ครั้งนี้มันทำให้หัวใจของเขาเย็นชาถึงขีดสุดแล้ว!ลูกชายของเขาเกือบถูกใครบางคนฆ่าตาย แต่อันซู่หลานกลับไม่ได้ติดตามเอาผิดคนในตระกู
ซูหัวจิ่นมองดูสีหน้าที่ไม่เชื่อของอันซู่หลานแล้วเย้ยหยันว่า "เค่อเอ๋อร์อายุเพียงสามขวบ เจ้าควรจะรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร หากเขาตกลงไปจริง ๆ!"อันซู่หลานส่ายหน้า "ข้าบอกท่านแล้วว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ ... "“อุบัติเหตุหรือ? ข้าเกรงว่าบางคนอาจมีเจตนาแอบแฝง”เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่ดื้อรั้น ซูหัวจิ่นจึงขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม “นี่ก็เริ่มมืดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าควรเก็บข้าวของแล้วกลับไปยังบ้านเดิมของเจ้า ข้าจะบอกเคอเอ๋อร์ว่าเจ้าเดินทางไปไกลแล้ว ข้าจะอนุญาตให้เจ้าพบเขาเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น!"“ซูหัวจิ่น ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!”ดวงตาของอันซู่หลานเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หัวใจของนางราวจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบขณะที่มองดูร่างที่จากไปอย่างเด็ดขาดของซูหัวจิ่นหนังสือหย่ายังคงอยู่ในมือของนางแน่น และใบหน้าของนางก็ซีดเผือดจะยิ่งกว่ากระดาษด้วยซ้ำไป อันซู่หลานลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปคว้าชายเสื้อคลุมของซูหัวจิ่น แม้ว่านางจะโง่เขลาเพียงใด นางรู้ดีว่าไม่อาจเผชิญหน้ากับซูหัวจิ่นได้อีกต่อไป นางกระซิบว่า "ข้าผิดไปแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะไม่พาเคอเอ๋อร์กลับไปจวนเดิมอีกแล้ว ตก
ผู้ที่ถูกถอดผ้าคลุมออกไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของตระกูลอันสีหน้าของพวกนางทั้งสองบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดในขณะที่คุกเข่าร้องขอความเมตตา “พวกเราถูกบังคับและไม่มีทางเลือก นี่เป็นคำสั่งขององค์หญิงสี่ โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเพคะ!”แม้แต่ซูชิงอู่ก็คาดไม่ถึงว่าจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้นางคิดว่าเป็นเพียงความเกลียดชังหรือความริษยาของเด็กสองสามคนที่มีต่อซูเคอ เช่นนั้นพวกเขาจึงโจมตีเด็กน้อย แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่ในนั้น!องค์หญิงสี่…นั่นบุตรีบุญธรรมของฮองเฮามิใช่หรือ?เหตุใดนางถึงทำร้ายเด็กสามขวบ?ซูชิงอู่หรี่ตาลงและจมลงไปในห้วงความคิดอันลึกซึ้งพร้อมกับภายในใจที่สั่นสะท้านเมื่อนึกถึงองค์หญิงสี่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้มีท่าทีอวดดีและมีอัธยาศัยดีต่อทุกคน นางเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่ตนยังคงพูดคุยด้วยในชีวิตครั้งก่อนนี้…เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว รายละเอียดเหล่านั้นที่นางไม่เคยใส่ใจมาก่อนกลับทำให้หัวใจของซูชิงอู่สั่นสะท้าน อีกทั้งนางก็หวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางก้าวไปข้างหน้าและคว้าคอเสื้อของสะใภ้ใหญ่ "บอกข้าหน่อยว่าเหตุใดองค์หญิงสี่ถึงทำ
เช้าวันรุ่งขึ้น จวนตระกูลอันกำลังถูกรื้อค้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็วทำให้ทุกคนไม่ทันระวัง เมื่ออันซู่หลานกลับมาถึงตัวตระกูลอัน นางก็พบเพียงจวนที่ว่างเปล่าและมีตราประทับอยู่ที่ประตูสาวใช้สองคนที่ถูกบังคับให้ออกจากจวนอัครเสนาบดีพร้อมกับอันซู่หลานต่างตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ "นายหญิง ใต้เท้าและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใดเจ้าคะ?"เมื่ออันซู่หลานเห็นข้อความใหญ่ ๆ บนตราประทับ ดูเหมือนว่าร่างกายของนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ใบหน้านางซีดเผือด ผมบนศีรษะนางก็ยุ่งเหยิง นางดูอ้างว้างเป็นอย่างมากมือและเท้าของนางเย็นเฉียบ ในที่สุดแล้วตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่านางได้กระทำเรื่องโง่เขลาเช่นใดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี ซูหัวจิ่นก็เชื่อฟังนางเป็นอย่างดี เขาไม่เคยดูถูกนางเพียงเพราะนางมาจากตระกูลที่ไม่ทัดเทียมกับเขา เขาให้นางได้มีหน้ามีตาในจวนอัครเสนาบดี เมื่อเขามาเยี่ยมที่จวนตระกูลอันในช่วงวันหยุด เขายังเตรียมของขวัญมากมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจนางมากเพียงใดในฐานะภรรยานางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตอนแรก นางพยายามอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้ซูหัวจิ่น
เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นนักสู้ แต่น่าเสียดายที่บุตรชายคนโตเพียงคนเดียวของเขาตกจากหลังม้าระหว่างการออกไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิไม่นานมานี้ ส่งผลให้ร่างกายครึ่งหนึ่งกลายเป็นอัมพาตหลังจากทราบเรื่องนี้แล้วเขาก็โกรธจนแทบเสียสติ…ขณะที่ซูชิงอู่นึกถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของซูชิงอู่นางหันศีรษะไปมองในทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นองค์หญิงสี่ เย่หมิงเย่วที่ยิ้มให้นาง ก่อนจะเอ่ยว่า “พระชายาเสวียน ข้าขอนั่งตรงนี้ได้หรือไม่?”ซูชิงอู่มองไปที่ใบหน้าที่กระจ่างและละเอียดอ่อนพอ ๆ กับชื่อของอีกฝ่ายและเป็นการยากที่จะเชื่อมโยงใบหน้านั้นกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเด็กอายุสามขวบที่ได้จากการสอบสวนซูชิงอู่จำได้ว่าคนที่ถูกส่งขึ้นรถม้าให้อภิเษกกับแคว้นฉีตะวันออกในชีวิตครั้งก่อนของนางคือองค์หญิงห้าเย่หลิงจูที่ทั้งเย่อหยิ่งและน่ารำคาญแต่ไม่ใช่เย่หมิงเย่ว บุตรีบุญธรรมที่อ่อนโยนราวกับพระจันทร์ภายใต้การเลี้ยงดูของฮองเฮา“พระชายาเสวียน?”น้ำเสียงของเย่หมิงเย่วนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ปะทะใบหน้านาง ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษนางเรียกสติอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ