นิสัยของอันซู่หลานจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตระกูลซูไม่ช้าก็เร็ว ผู้คนในตระกูลอันไม่ต่างอะไรจากปลิงดูดเลือด และวันหนึ่งพวกเขาจะนำหายนะมาสู่ตระกูลซูสิ่งถูกต้องคือแต่งงานกับภรรยาที่มีคุณธรรม อันซู่หลานเป็นพวกหูเบา อีกทั้งใจของนางก็ลำเอียง นางเชื่อฟังทุกสิ่งที่ตระกูลอันพูด ตระกูลซูของนางไม่ต้องการลูกสะใภ้ที่เหมือนหุ่นเชิดเช่นนี้น่าเสียดายสำหรับเคอเอ๋อร์เขายังคงเป็นเด็กน้อยแต่กลับต้องพรากจากอกแม่ไป ซูชิงอู่หรี่ตาลงพร้อมกับพูดว่า "ในเมื่อพี่ใหญ่ตัดสินใจแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรอื่นอีก แต่ว่าเค่อเอ๋อร์..."ซูหัวจิ่นถอนหายใจพลางพูดว่า "นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเช่นกัน ข้าไม่ต้องการให้เรื่องเช่นวันนี้เกิดขึ้นอีก!"ซูหัวจิ่นรู้สึกชาหนึบที่ศีรษะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาพลูกชายตัวน้อยของเขาถูกผลักลงไปในสระน้ำแข็ง สิ่งนี้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของเขาขาดลง หากนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเขาจะไม่โต้เถียงกับอันซู่หลาน เพราะพวกเขาทั้งสองก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว…ทว่า ครั้งนี้มันทำให้หัวใจของเขาเย็นชาถึงขีดสุดแล้ว!ลูกชายของเขาเกือบถูกใครบางคนฆ่าตาย แต่อันซู่หลานกลับไม่ได้ติดตามเอาผิดคนในตระกู
ซูหัวจิ่นมองดูสีหน้าที่ไม่เชื่อของอันซู่หลานแล้วเย้ยหยันว่า "เค่อเอ๋อร์อายุเพียงสามขวบ เจ้าควรจะรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร หากเขาตกลงไปจริง ๆ!"อันซู่หลานส่ายหน้า "ข้าบอกท่านแล้วว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ ... "“อุบัติเหตุหรือ? ข้าเกรงว่าบางคนอาจมีเจตนาแอบแฝง”เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่ดื้อรั้น ซูหัวจิ่นจึงขี้เกียจเกินกว่าจะอธิบายอะไรเพิ่มเติม “นี่ก็เริ่มมืดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจ้าควรเก็บข้าวของแล้วกลับไปยังบ้านเดิมของเจ้า ข้าจะบอกเคอเอ๋อร์ว่าเจ้าเดินทางไปไกลแล้ว ข้าจะอนุญาตให้เจ้าพบเขาเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น!"“ซูหัวจิ่น ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!”ดวงตาของอันซู่หลานเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หัวใจของนางราวจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบขณะที่มองดูร่างที่จากไปอย่างเด็ดขาดของซูหัวจิ่นหนังสือหย่ายังคงอยู่ในมือของนางแน่น และใบหน้าของนางก็ซีดเผือดจะยิ่งกว่ากระดาษด้วยซ้ำไป อันซู่หลานลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งไปคว้าชายเสื้อคลุมของซูหัวจิ่น แม้ว่านางจะโง่เขลาเพียงใด นางรู้ดีว่าไม่อาจเผชิญหน้ากับซูหัวจิ่นได้อีกต่อไป นางกระซิบว่า "ข้าผิดไปแล้ว เป็นความผิดของข้าเอง ข้าจะไม่พาเคอเอ๋อร์กลับไปจวนเดิมอีกแล้ว ตก
ผู้ที่ถูกถอดผ้าคลุมออกไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองของตระกูลอันสีหน้าของพวกนางทั้งสองบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดในขณะที่คุกเข่าร้องขอความเมตตา “พวกเราถูกบังคับและไม่มีทางเลือก นี่เป็นคำสั่งขององค์หญิงสี่ โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วยเพคะ!”แม้แต่ซูชิงอู่ก็คาดไม่ถึงว่าจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ภายในเรื่องนี้นางคิดว่าเป็นเพียงความเกลียดชังหรือความริษยาของเด็กสองสามคนที่มีต่อซูเคอ เช่นนั้นพวกเขาจึงโจมตีเด็กน้อย แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะมีความลับใหญ่หลวงซ่อนอยู่ในนั้น!องค์หญิงสี่…นั่นบุตรีบุญธรรมของฮองเฮามิใช่หรือ?เหตุใดนางถึงทำร้ายเด็กสามขวบ?ซูชิงอู่หรี่ตาลงและจมลงไปในห้วงความคิดอันลึกซึ้งพร้อมกับภายในใจที่สั่นสะท้านเมื่อนึกถึงองค์หญิงสี่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ได้มีท่าทีอวดดีและมีอัธยาศัยดีต่อทุกคน นางเป็นหนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนที่ตนยังคงพูดคุยด้วยในชีวิตครั้งก่อนนี้…เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว รายละเอียดเหล่านั้นที่นางไม่เคยใส่ใจมาก่อนกลับทำให้หัวใจของซูชิงอู่สั่นสะท้าน อีกทั้งนางก็หวาดกลัวเป็นอย่างมาก นางก้าวไปข้างหน้าและคว้าคอเสื้อของสะใภ้ใหญ่ "บอกข้าหน่อยว่าเหตุใดองค์หญิงสี่ถึงทำ
เช้าวันรุ่งขึ้น จวนตระกูลอันกำลังถูกรื้อค้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็วทำให้ทุกคนไม่ทันระวัง เมื่ออันซู่หลานกลับมาถึงตัวตระกูลอัน นางก็พบเพียงจวนที่ว่างเปล่าและมีตราประทับอยู่ที่ประตูสาวใช้สองคนที่ถูกบังคับให้ออกจากจวนอัครเสนาบดีพร้อมกับอันซู่หลานต่างตะลึงเช่นกันเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ "นายหญิง ใต้เท้าและคนอื่น ๆ อยู่ที่ใดเจ้าคะ?"เมื่ออันซู่หลานเห็นข้อความใหญ่ ๆ บนตราประทับ ดูเหมือนว่าร่างกายของนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ใบหน้านางซีดเผือด ผมบนศีรษะนางก็ยุ่งเหยิง นางดูอ้างว้างเป็นอย่างมากมือและเท้าของนางเย็นเฉียบ ในที่สุดแล้วตอนนี้นางก็เข้าใจแล้วว่านางได้กระทำเรื่องโง่เขลาเช่นใดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่นางแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี ซูหัวจิ่นก็เชื่อฟังนางเป็นอย่างดี เขาไม่เคยดูถูกนางเพียงเพราะนางมาจากตระกูลที่ไม่ทัดเทียมกับเขา เขาให้นางได้มีหน้ามีตาในจวนอัครเสนาบดี เมื่อเขามาเยี่ยมที่จวนตระกูลอันในช่วงวันหยุด เขายังเตรียมของขวัญมากมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจนางมากเพียงใดในฐานะภรรยานางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในตอนแรก นางพยายามอย่างระมัดระวังเพื่อทำให้ซูหัวจิ่น
เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นนักสู้ แต่น่าเสียดายที่บุตรชายคนโตเพียงคนเดียวของเขาตกจากหลังม้าระหว่างการออกไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิไม่นานมานี้ ส่งผลให้ร่างกายครึ่งหนึ่งกลายเป็นอัมพาตหลังจากทราบเรื่องนี้แล้วเขาก็โกรธจนแทบเสียสติ…ขณะที่ซูชิงอู่นึกถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งเดินขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของซูชิงอู่นางหันศีรษะไปมองในทันที ก่อนจะเห็นว่าเป็นองค์หญิงสี่ เย่หมิงเย่วที่ยิ้มให้นาง ก่อนจะเอ่ยว่า “พระชายาเสวียน ข้าขอนั่งตรงนี้ได้หรือไม่?”ซูชิงอู่มองไปที่ใบหน้าที่กระจ่างและละเอียดอ่อนพอ ๆ กับชื่อของอีกฝ่ายและเป็นการยากที่จะเชื่อมโยงใบหน้านั้นกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีเด็กอายุสามขวบที่ได้จากการสอบสวนซูชิงอู่จำได้ว่าคนที่ถูกส่งขึ้นรถม้าให้อภิเษกกับแคว้นฉีตะวันออกในชีวิตครั้งก่อนของนางคือองค์หญิงห้าเย่หลิงจูที่ทั้งเย่อหยิ่งและน่ารำคาญแต่ไม่ใช่เย่หมิงเย่ว บุตรีบุญธรรมที่อ่อนโยนราวกับพระจันทร์ภายใต้การเลี้ยงดูของฮองเฮา“พระชายาเสวียน?”น้ำเสียงของเย่หมิงเย่วนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่ปะทะใบหน้านาง ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษนางเรียกสติอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ
เย่หลิงจูนั่งลงฝั่งตรงข้ามของซูชิงอู่อย่างไม่ลังเลแม้ว่าซูชิงอู่และเย่เสวียนถิงจะเปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งกัน แต่ทั้งสองยังคงนั่งอยู่ระหว่างเย่หลิงจูและเย่หมิงเย่วเย่หลิงจูเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางของนางแสดงออกถึงความเย่อหยิ่งและป่าเถื่อน มารดาของนางคือ เต๋อเฟยและปู่ของนางเป็นผู้อาวุโสในราชสำนัก ในฐานะองค์หญิงอันเป็นที่รักที่เอ็นดูของฮ่องเต้แล้วนั้น นางก็มีคนหนุนหลังมากเช่นกันนางเม้มริมฝีปากแล้วพูดกับซูชิงอู่ที่อยู่ข้าง ๆ นางว่า "จากนี้ไปเจ้าอย่าได้ใช้เวลาอยู่กับสตรีหน้าซื่อใจคดเช่นนั้นอีก"ใบหน้าของเย่หมิงเย่วยิ่งมืดลงเมื่อนางได้ยินเย่หลิงจูพูดไม่ดีต่อนางลับหลังจู่ ๆ ซูชิงอู่ก็เริ่มสนใจองค์หญิงห้าผู้นี้ “ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะเพคะ”เมื่อองค์หญิงห้าได้ยินคำพูดนี้ นางก็เหลือบมองซูชิงอู่ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพระชายาเสวียนน่าพึงพอใจในสายตานางแน่นอนว่าใครก็ตามที่ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับเย่หมิงเย่วแล้วนั้นนางล้วนถูกตาต้องใจ ทันใดนั้นก็มีร่างสองร่างเดินเข้ามาที่ประตูอีกครั้ง เย่ชิวหมิงและเย่อวิ๋นถูเดินขึ้นไปหาฮ่องเต้แล้วโค้งคำนับพร้อมกัน“กระหม่อมขอแสดงความเคารพฝ่าบาท”ฮ่องเต้
ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยหากวันนี้ไม่ใช่วันฉลองปีใหม่ เขาคงจะไม่สามารถออกมาจากจวนอ๋องอวิ๋นได้ขาที่บาดเจ็บนั้นแม้พักฟื้นมากกว่าครึ่งเดือนก่อนจะกลับมาเดินได้ แต่การเดินของเขาไม่ค่อยมั่นคงนัก และตอนนี้เขาก็ถูกเย่ชิวหมิงเอาเปรียบและทำให้อับอายโดยใช้ทุกวิธีที่ทำได้แม้เย่อวิ๋นถูจะโกรธมาก แต่เขาก็ต้องยอมทนกล้ำกลืนตอนนี้ตระกูลมู่หรงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้หากก้มหัวได้ก็ต้องทำ“เสด็จพี่ใหญ่กล่าวมาเช่นนี้ ทำเอาน้องสามเองก็อยากชมความยิ่งใหญ่ของท่านด้วยเสียแล้ว”เย่ชิวหมิงเลิกคิ้ว “ข้ากับเจ้าก็อยู่ด้วยกันตลอดทั้งปี หากเจ้าอยากจะชมก็มีโอกาสอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่งานเลี้ยงครอบครัวหรอก น้องสามว่าเช่นนั้นหรือไม่?”สองพี่น้องต่างพากันเรียกร้องความสนใจผู้คนมากมายให้มาชม แต่กลับไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นตามใจปากดูท่าว่าหนึ่งในสองคนนี้มีแนวโน้มที่จะได้สืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุดส่วนเย่เสวียนถิง เขายังคงเป็นคนพิการในความคิดของทุกคน และอำนาจที่คอยหนุนหลังเขาไม่ได้หยั่งรากลึกเท่ากับของตระกูลเจียวและตระกูลมู่หรงเขาจึงไม่เข้าใกล้เกณฑ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัช
เสือขาวถูกขังไว้ในกรง รูปร่างสูงใหญ่และดุร้ายของมันทำให้ผู้คนในวังหลายคนแตกฮือเหล่าพระชายาต่างมองไปที่เสือขาวอย่างหวาดกลัวและตั้งตารอที่จริงพวกนางส่วนใหญ่จะได้เห็นสัตว์ร้ายชนิดนี้จากระยะไกลเท่านั้น แต่ตอนนี้มันอยู่ใกล้พวกนางมาก จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้“ใช่แล้ว เสือขาวตัวนี้ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอ๋องเสวียนได้ทุ่มเทดูแลมันอย่างเต็มที่”เย่เสวียนถิงไม่ได้แสดงสีหน้ากับคำเยินยอของฮ่องเต้ทันใดนั้นสถานการณ์ก็คึกคักขึ้นเนื่องจากการปรากฏตัวของเสือขาว ในขณะนั้นเองไทเฮาก็เดินออกมาจากด้านหลังม่านโดยมีราชครูเฒ่าคอยประคองฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นพาบรรดาพระชายาและสนมทำความเคารพในทันที “ลูกขอถวายความเคารพเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ที่ยืนขึ้นทำเคารพอยู่ด้วยมองไปยังคนที่เจอตัวได้ยากเช่นไทเฮาเฒ่าผู้นั้นไทเฮาเฒ่าเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน พระเกศาของพระนางเปลี่ยนเป็นสีเทาสนิทอีกทั้งริ้วรอยบนใบหน้าของพระนางไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป ทว่านางแต่งตัวอย่างหรูหราและสง่างามอย่างยิ่ง ทำให้ทรงดูอ่อนกว่าวัยไปมากท่า