ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ซูชิงอู่กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธอีก นางจึงรีบถาม “ข้าได้ยินจากหลิงซื่อว่าก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะจากไป มีคนส่งจดหมายถึงท่านแม่ของข้า จดหมายนั้นอยู่ที่ใด ผู้ใดเป็นคนส่งมา” ทันทีที่ได้ยินคำถามของซูชิงอู่ ม่านตาของฮูหยินผู้เฒ่าซูก็หดตัวลง อย่างไรก็ตามนางส่ายหัว “เรื่องนี้เจ้าควรถามมารดาเจ้าสิ ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร?” ใบหน้าของซูชิงอู่มืดมน “ใครก็ได้ ส่งแขก!” ประตูถูกผลักเปิดออก คนหลายคนกำลังพุ่งเข้ามา ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนจะโยนแม่นมอูและฮูหยินผู้เฒ่าออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดด้วยความกลัว นางรีบพูดขึ้นว่า “ซูชิงอู่ ข้าเป็นย่าของเจ้า หากเจ้ามิเคารพข้า เช่นนั้นเจ้าก็อกตัญญูแล้ว ข้าจะไปร้องเรียนเจ้าต่อองค์ฮ่องเต้…” ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “ไปสิ ข้าจะรอ” ฮูหยินผู้เฒ่าถูกบ่าวหญิงสองคนหิ้วปีกไปไปคนละด้านซ้ายขวา พวกเขาลากนางออกมาแล้วพาเดินออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธมากจนกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้า!” ซูชิงอู่โบกมือและบ่าวหญิงที่หิ้วปีกฮูหยินผู้เฒ่าอยู่นั้นก็ก้าวถอยหลังไป นางเดินลงไปหาฮูหยินผู้เฒ
ซูชิงอู่พูดทีละคำ “เพราะว่าแม่นมหลินเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่แรก ใช่หรือไม่เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าซูดูไม่พอใจ “ข้าควรเริ่มอธิบายเรื่องนี้จากตรงไหน?” ซูชิงอู่ไม่สนใจคำแก้ตัวเจ้าเล่ห์ของฮูหยินผู้เฒ่า เสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ท่านรู้ทุกสิ่งที่หลิงซื่อทำ แต่ท่านเมินและแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่เพียงแต่ท่านไม่พูดอะไรเพื่อช่วยเท่านั้น ท่านยังช่วยหลิงซื่อจัดการข้าด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามิรู้ว่าข้าทำสิ่งใดให้ท่านมิพอใจตั้งแต่เมื่อใด ทำให้ท่านลำเอียงเสียจนแม้แต่หลานสาวของท่านเองก็มิปล่อยไป!” นางพูดอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซูเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน นางมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า “นั่นเป็นการตัดสินใจของแม่นมหลิน เกี่ยวอันใดกับข้ากัน?”ซูชิงอู่หัวเราะเยาะ “ย่อมสำคัญสิ ข้าสอบปากคำแม่นมหลินเป็นการส่วนตัวแล้ว นางบอกว่าท่านเกลียดแม่ของข้าเพราะบางสิ่งและพยายามฆ่านางหลายครั้ง แม้แต่ข่าวลือของนางกับคนผู้นั้นก็เป็นท่านจงใจแพร่ออกไป…” “ไร้สาระนัก ข้ากับแม่เจ้าจะมีบาดหมางกันด้วยเรื่องอันใด? แม่นมหลินอยากหาทางรอดคนเดียวจึงเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากั
อวิ๋นชิงเช็ดเก้าอี้ย้ายไปให้ซูชิงอู่นั่ง และยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง ซูชิงอู่มองไปที่ซูเชียนหลิง หลังจากถูกขังอยู่ในห้องนี้มาหลายวัน และได้อยู่กับแม่นมหลินอสรพิษ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะยังมีจิตใจดีอยู่ เมื่อนึกย้อนกลับไปชาติที่แล้ว นางร้องขอความเมตตาอย่างสิ้นหวังก่อนจะสิ้นใจ ทว่าซูเชียนหลิงไม่ใช่สตรีที่จะอ่อนข้อให้ง่าย ๆ ซูชิงอู่ยกมุมปากขึ้น นางพอใจกับผลลัพธ์มาก หากแค่ทำให้อีกฝ่ายสติแตก เช่นนั้นจะไปสนุกอะไรกันเล่า... แววตาของซูชิงอู่ทำให้ขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาของซูเชียนหลิงเบิกกว้าง ความกลัวในใจของนางค่อย ๆ ดำดิ่งลงไป ต่อหน้าซูชิงอู่นางรู้สึกเหมือนกลายเป็นหุ่นเชิด และลูกแกะที่รอการเชือด ในขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดอย่างใจเย็นว่าจะปรุงเนื้อชิ้นนั้นอย่างไรดี... ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดออกมา และประโยคแรกที่นางพูดนั้น “แม่ของเจ้าตายแล้ว ข้าฆ่านางเอง” เมื่อซูเชียนหลิงได้ยิน ม่านตาของนางก็หดตัวลง “เจ้าฆ่าแม่ของข้า เจ้าฆ่าแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”นางพยุงร่างกายที่อ่อนแอขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พลันพุ่งเข้าไปหาซูชิง
นางให้องค์หญิงผู้มีเกียรติแห่งแคว้นซีอู๋ตะวันตกไปรับลูกค้าในซ่องที่โสมมที่สุด หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป สงสัยนักว่าฮ่องเต้แห่งซีอู๋ตะวันตกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เมื่อซูชิงอู่คิดเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ฉายแววยิ้มอย่างล้ำลึก นางแอบย้ายซูเชียนหลิงออกไปอย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่คนรับใช้ในจวนก็ยังมาส่งข้าวที่เหมือนข้าวหมูที่นี่ตรงเวลาและในปริมาณที่เหมาะสมทุกวัน ซูชิงอู่จะกลับมาที่วังหลวงเพื่อติดตามซูเฟยในเวลากลางคืน ส่วนระหว่างวันนางต้องคิดหาวิธีทำเงินดังนั้นจึงยุ่งมาก เพราะยังไงนางมีภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลถึงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะแนะนำให้นางนำเงินออกจากจวนไปจ่ายคืน แต่ซูชิงอู่ก็ไม่เห็นด้วย นางต้องการซื้อของกำนัลให้ผู้อื่น หากนางใช้เงินของท่านอ๋อง เช่นนั้นนางคงอับอายมาก... ทว่านางไม่กังวัลว่าจะหาเงินมาจ่ายไม่ได้ อีกไม่นานโอกาสในการหาเงินจะมาหานางเอง นางจึงไม่รีบร้อน ในชั่วพริบตา พิธีศพวันที่เจ็ดขององค์ชายหกก็ดำเนินไปได้ด้วยดีการตายขององค์ชายเป็นเพียงระลอกคลื่นในทะเลสาบอันเงียบสงบ ไม่ได้ดึงดูดควา
คำพูดเช่นนี้มิเข้าหูฮ่องเต้เท่าไรนัก จึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไม่มีอันใด ข้ามาเยี่ยมหาสนมที่รักของข้ามิได้หรือไร?” เมื่อได้ยินว่าสนมที่รักของข้า ซูเฟยก็ขนลุกไปทั่วร่าง แต่นางยังควบคุมอาการไว้มิแสดงออกไป “ล้อเล่นแล้วเพคะ ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการเพคะ…” ซูเฟยพูดไม่เก่งและนางเป็นคนซื่อ ๆ และไม่เป็นที่โปรดปรานในอดีต นางไม่มีพระโอรส การอยู่ในตำแหน่งที่สูงของนางมิได้กระทบผู้ใด นางจึงมีนิสัยเย็นชาและห่างเหินเช่นนี้ ฮ่องเต้สังเกตการแสดงออกของซูเฟย รู้สึกว่านางไม่สนใจเขาเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หรงเอ๋อร์ ข้าละเลยเจ้าในอดีต แต่จากนี้ไปข้าจะมาเยี่ยมเจ้ามากขึ้น…” มือของซูเฟยที่กำลังรินชาอยุ่นั้นพลันสั่นขึ้นมา จากนั้นน้ำชาในกาน้ำชาก็เทล้นออกมาเลอะฮ่องเต้... สีหน้าของซูเฟยเปลี่ยนไปฉับพลัน นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ หม่อมฉันจะช่วยเช็ดให้เพคะ!” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเสื้อคลุมมังกรของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้พลันจับข้อมือของนางไว้อากาศค่อนข้างหนาว แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าเห
ฮ่องเต้ “...” ซูชิงอู่กล่าวต่อ “เป็นการดีกว่าหากงดเบี้ยหวัดเป็นเวลาห้าปีและพักงานสามปีเพคะ” ดวงตาของฮ่องเต้ฉายแววประหลาดใจ แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้ปลดอัครเสนาบดีซูออกจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่การสั่งพักงานหนึ่งปีถือเป็นการลงโทษที่ทำให้เขาสูญเสียอำนาจ ท้ายที่สุดแล้ว สถานการณ์ในท้องพระโรงนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา หากพลาดการพิจารณาฎีกาไปสองสามวัน ทุกอย่างก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอัครเสนาบดีซูที่ดำรงตำแหน่งสูง ความสัมพันธ์และอำนาจในมือของเขาถือเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง การถูกพักงานก็เทียบเท่ากับฮ่องเต้ละทิ้งเขาไปแล้ว การจากไปนั้นง่าย แต่การกลับมา… ช่างยากนัก ฮ่องเต้ปิดปากกระแอม “แม่นางน้อยชิงอู่ เจ้าจริงจังรึ?” ซูชิงอู่ยิ้ม “เพคะ ท่านพ่อของหม่อมฉันมักจะพูดเสมอว่าสุขภาพแย่ลง จะดีกว่าหากให้เขาดูแลตัวเองที่บ้านเพคะ” นางหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเป็นประกาย ซูชิงอู่มีเหตุผลที่พูดเช่นนั้น นี่ไม่ใช่การทรยศต่อพ่อของตนตระกูลซูเป็นอัครเสนาบดีของแคว้นหนานเย่มาหลายชั่วอายุคน ตำแหน่งที่อัครเสนาบดีซูยืนหยัดอยู่ได้ทุกวันน
ตั้งแต่เกิดเหตุกับองค์ชายหก นางก็ไม่มีความคิดใดเกี่ยวกับฮ่องเต้อีกเลย “พี่หญิงซูเฟยอย่าได้กังวลเพคะ ท่านช่วยหม่อมฉันมากแล้ว ปล่อยเรื่องงานเลี้ยงในวังให้หม่อมฉันจัดการเถิดเพคะ” ซูเฟยพยักหน้าเบา ๆ นางมองไปที่ซูชิงอู่ และคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฮุ่ยเฟยอยู่กับข้าคืนนี้ ชิงอู่ เจ้ากลับไปที่จวนแล้วดูว่าท่านอ๋องเสด็จกลับมาหรือยังเถิด ฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องอันตรายให้เขา ตัวข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร” “เพคะ” ซูชิงอู่ไม่ปฏิเสธและกลับไปที่จวนในคืนนั้น ดึกมากแล้ว ซูชิงอู่ยังไม่ได้เข้านอน นางนั่งบนหลังคาพลางมองดูดวงเดือนดาราบนท้องฟ้า ชื่นชมดวงจันทร์อันงดงามอย่างแท้จริง จู่ ๆ ก็มีเสียงอยู่นอกประตูจวน นางหรี่ตาและมองไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตูลานหลัก บุรุษที่อยู่ด้านล่างสวมอาภรณ์สีเข้ม รูปร่างเพรียว สูงและผอม ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นใครบางคนบนหลังคา เย่เสวียนถิงหยุดเดินและเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาหันมาสบกัน ซูชิงอู่เห็นความประหลาดใจในสีหน้าของเย่เสวียนถิงได้อย่างชัดเจนผ่านแสงจันทร์กระจ่างเขาทะยานขึ้นไปหาซูชิงอู่โดยไม่ลังเล และถอดอ
ซูชิงอู่รู้สึกมีความสุขหลังจากยืนยันแล้ว... คืนนั้นนางสะลึมสะลือมากจนไม่รู้ว่าตนหลับไปเมื่อใด ดูเหมือนนางกำลังนอนอยู่บนคลื่นลูกใหญ่ในผืนทะเล... หลังจากที่ร่างกายของนางได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงและสบายมาก ซูชิงอู่ก็หลับตาลงและหลับไป นางไม่รู้เลยว่าบุรุษท่าทางใจดีที่อยู่ข้าง ๆ กำลังจ้องมองใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยนพลางกอดรัดนางแนบแน่นยิ่งขึ้น เย่เสวียนถิงเก็บเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปนอกประตู มีเงาดำทอดลงมาจากหลังคา “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทีอ่อนโยนแต่เดิมก็กลายเป็นเย็นชาในทันใด ราวกับน้ำแข็งที่ไร้ไออุ่น เย่เสวียนถิงยืนเอามือไพล่หลัง ร่างเพรียวบางสูงสง่าภายใต้ดวงเดือน แสงจันทราสาดส่องสะท้อนเงาบนใบหน้า “อิ่งอี้ องค์รักษ์เงาลำดับที่หนึ่ง ช่วงนี้พระชายาพบเจออันตรายอันใดหรือไม่?” อิ่งอี้กล่าวว่า “กราบทูลท่านอ๋อง พระชายาสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่กี่วันก่อน พระชายาส่งคุณหนูซูไปรับแขกที่อั้นเซียง กระหม่อมยังพบว่ามีคนลอบเข้ามาใกล้จวนอ๋อง แต่จวนอ๋องมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จึงมิสามารถเข้ามาได้พ่ะย่ะค่ะ” แทบไม่ต้องคิด เขารู้ว่าคนเหล่านั้นต้องเป็นกลุ่มเดียวกับ