ซูชิงอู่กำลังนั่งอยู่ในจวนอ๋อง นางหยิบสมบัติบางอย่างที่นางนำมาจากหอมหาสมบัติเมื่อวานนี้มาพิจารณาอย่างไรเสียสมบัติเหล่านั้นก็ถูกซื้อมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล เช่นนั้นนางจึงต้องตรวจดูสิ่งของนั้นอย่างถี่ถ้วน กระดาษรองที่ใช้สำหรับวาดภาพให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนและเรียบเนียนเมื่อสัมผัส ของทั้งหมดถูกจัดวางอย่างประณีตด้วยเส้นไหมพิเศษ สีสันของทิวทัศน์บนม้วนกระดาษนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมาบรรจบกันที่จุดเดียวก็ยิ่งทำให้ภาพวาดดูยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกใครจะคิดว่าภาพวาดที่ฮ่องเต้รักมากเช่นนี้จะตกอยู่ในการครองครอบของชาวบ้านและอยู่ในหอมหาสมบัติ…หากนางไม่ได้เห็นภาพวาดนี้อีกครั้งในงานเลี้ยงอีกสองปีต่อมา รวมทั้งผู้ที่นำเสนอภาพวาดนี้ได้รับความชื่นชมและผลประโยชน์จากฮ่องเต้ นางก็คงจะไม่ทันได้จดจำภาพวาดนั้นไว้ในหัวใจของนางซูชิงอู่หรี่ตาลงและเก็บภาพวาดนั้นกลับไปด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง“นี่สำหรับพี่ใหญ่”พี่ใหญ่ของนางทำงานในตำแหน่งเดิมมาหลายปีแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องได้รับโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และภาพวาดนี้เป็นโอกาสที่ซูชิงอู่มอบให้เขา…สำหรับพี่สามและพี่สี่นั้น นางยังไม่อา
อวิ๋นชิงรินชาชั้นดีจากจวนอ๋องให้กับฮูหยินผู้เฒ่า กลิ่นหอมของชาก็อบอวลไปทั่ว แม้ไม่ได้ดิ่มชาก็ยังรู้ได้ว่าชานี้เป็นเครื่องบรรณาการเมื่อนางนึกถึงชีวิตของซูชิงอู่ที่อยู่จวนอ๋องในตอนนี้ เทียบกับชีวิตของตนที่อาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีซูแล้วนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือของนางซึ่งกำลังถือถ้วยชาก็สั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้ทว่า สถานการณ์ในฝั่งอัครเสนาบดีซูยังคงไม่ชัดเจนนักในขณะนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่อาจเล่นงานซูชิงอู่ได้โดยตรง นางทำได้เพียงพูดอย่างใจเย็นว่า "ชิงอู่ พ่อของเจ้าถูกทางวังหลวงพาตัวไป เรื่องนี้ดูร้ายแรงมาก เจ้า…”ซูชิงอู่ขัดจังหวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างใจเย็น "ข้ารู้ ข้าทำเอง""อะไร?"ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เชื่อ พร้อมกับมองไปยังซูชิงอู่ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยนางรู้สึกเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดผิด แต่ทว่าสิ่งที่นางได้ยินล้วนถูกต้องอยู่แล้ว…ซูชิงอู่พูดย้ำอีกครั้งว่า "หลิงซื่อตายลงในคุกใต้ดินเมื่อไม่นานมานี้ ข้าจับสายลับหลายคนจากแคว้นอู๋ตะวันตกได้ และพบว่าหลิงซื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นอู๋ตะวันตก เช่นนั้นข้าจึงขอให้ท่านอ๋องรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหากนางยังคงยุ่งวุ่นวายและก่อกวนไม่เลิก ซูชิงอู่ก็จะไม่เหลือความอดทนที่จะพูดคุยกับนาง รวมทั้งจะไม่ลังเลที่จะสั่งให้ใครสักคนพาพวกนางออกไปท้ายที่สุดนี่คือจวนอ๋องซึ่งเป็นอาณาเขตของนางคนผู้นั้นให้สิทธิ์ทั้งหมดกับนางในจวนแห่งนี้ ที่นี่นางเปรียบเป็นดั่งกษัตริย์ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูหดหู่เล็กน้อย "ถามได้"เมื่อมองไปที่ซูชิงอู่ นางคิดไม่ถึงเลยว่าแป้งที่ผู้อื่นทิ้งไว้ให้นวดจนแบนจะงอกขึ้นมากลายเป็นหนามแหลมคมเช่นนี้ได้และด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ทั้งกล้ามเนื้อและกระดูกของตระกูลซูก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก“เหตุใดแม่ของข้าถึงแต่งงานกับอัครเสนาบดีซูตั้งแต่แรก?”เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้น นางก็โกรธจัดและพูดว่า "อะไรนะ อัครเสนาบดีซูนั่นคือพ่อของเจ้านะ!"“อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”ใบหน้าของซูชิงอู่แข็งกระด้าง นางไม่มีทีท่าล้อเล่นแต่อย่างใดฮูหยินผู้เฒ่าซูรู้สึกหวาดกลัวกับรัศมีของซูซิงอู่ นางพึมพำที่มุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรโต้แย้งอีกต่อไป“ตระกูลซูของข้าเป็นตระกูลที่โดดเด่นในแคว้นหนานเย่มาหลายชั่วอายุคน สามสิบปีที่แล้ว ลูกชายของข้าสอบได้
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ซูชิงอู่กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะโกรธอีก นางจึงรีบถาม “ข้าได้ยินจากหลิงซื่อว่าก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะจากไป มีคนส่งจดหมายถึงท่านแม่ของข้า จดหมายนั้นอยู่ที่ใด ผู้ใดเป็นคนส่งมา” ทันทีที่ได้ยินคำถามของซูชิงอู่ ม่านตาของฮูหยินผู้เฒ่าซูก็หดตัวลง อย่างไรก็ตามนางส่ายหัว “เรื่องนี้เจ้าควรถามมารดาเจ้าสิ ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร?” ใบหน้าของซูชิงอู่มืดมน “ใครก็ได้ ส่งแขก!” ประตูถูกผลักเปิดออก คนหลายคนกำลังพุ่งเข้ามา ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนจะโยนแม่นมอูและฮูหยินผู้เฒ่าออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดด้วยความกลัว นางรีบพูดขึ้นว่า “ซูชิงอู่ ข้าเป็นย่าของเจ้า หากเจ้ามิเคารพข้า เช่นนั้นเจ้าก็อกตัญญูแล้ว ข้าจะไปร้องเรียนเจ้าต่อองค์ฮ่องเต้…” ซูชิงอู่เม้มริมฝีปาก “ไปสิ ข้าจะรอ” ฮูหยินผู้เฒ่าถูกบ่าวหญิงสองคนหิ้วปีกไปไปคนละด้านซ้ายขวา พวกเขาลากนางออกมาแล้วพาเดินออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธมากจนกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้า!” ซูชิงอู่โบกมือและบ่าวหญิงที่หิ้วปีกฮูหยินผู้เฒ่าอยู่นั้นก็ก้าวถอยหลังไป นางเดินลงไปหาฮูหยินผู้เฒ
ซูชิงอู่พูดทีละคำ “เพราะว่าแม่นมหลินเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่ามาตั้งแต่แรก ใช่หรือไม่เล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าซูดูไม่พอใจ “ข้าควรเริ่มอธิบายเรื่องนี้จากตรงไหน?” ซูชิงอู่ไม่สนใจคำแก้ตัวเจ้าเล่ห์ของฮูหยินผู้เฒ่า เสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “ท่านรู้ทุกสิ่งที่หลิงซื่อทำ แต่ท่านเมินและแสร้งทำเป็นไม่เห็น ไม่เพียงแต่ท่านไม่พูดอะไรเพื่อช่วยเท่านั้น ท่านยังช่วยหลิงซื่อจัดการข้าด้วย ฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามิรู้ว่าข้าทำสิ่งใดให้ท่านมิพอใจตั้งแต่เมื่อใด ทำให้ท่านลำเอียงเสียจนแม้แต่หลานสาวของท่านเองก็มิปล่อยไป!” นางพูดอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าซูเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน นางมองไปที่ซูชิงอู่แล้วพูดว่า “นั่นเป็นการตัดสินใจของแม่นมหลิน เกี่ยวอันใดกับข้ากัน?”ซูชิงอู่หัวเราะเยาะ “ย่อมสำคัญสิ ข้าสอบปากคำแม่นมหลินเป็นการส่วนตัวแล้ว นางบอกว่าท่านเกลียดแม่ของข้าเพราะบางสิ่งและพยายามฆ่านางหลายครั้ง แม้แต่ข่าวลือของนางกับคนผู้นั้นก็เป็นท่านจงใจแพร่ออกไป…” “ไร้สาระนัก ข้ากับแม่เจ้าจะมีบาดหมางกันด้วยเรื่องอันใด? แม่นมหลินอยากหาทางรอดคนเดียวจึงเสี้ยมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากั
อวิ๋นชิงเช็ดเก้าอี้ย้ายไปให้ซูชิงอู่นั่ง และยืนอยู่ข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง ซูชิงอู่มองไปที่ซูเชียนหลิง หลังจากถูกขังอยู่ในห้องนี้มาหลายวัน และได้อยู่กับแม่นมหลินอสรพิษ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะยังมีจิตใจดีอยู่ เมื่อนึกย้อนกลับไปชาติที่แล้ว นางร้องขอความเมตตาอย่างสิ้นหวังก่อนจะสิ้นใจ ทว่าซูเชียนหลิงไม่ใช่สตรีที่จะอ่อนข้อให้ง่าย ๆ ซูชิงอู่ยกมุมปากขึ้น นางพอใจกับผลลัพธ์มาก หากแค่ทำให้อีกฝ่ายสติแตก เช่นนั้นจะไปสนุกอะไรกันเล่า... แววตาของซูชิงอู่ทำให้ขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย ดวงตาของซูเชียนหลิงเบิกกว้าง ความกลัวในใจของนางค่อย ๆ ดำดิ่งลงไป ต่อหน้าซูชิงอู่นางรู้สึกเหมือนกลายเป็นหุ่นเชิด และลูกแกะที่รอการเชือด ในขณะที่อีกฝ่ายครุ่นคิดอย่างใจเย็นว่าจะปรุงเนื้อชิ้นนั้นอย่างไรดี... ทันใดนั้นซูชิงอู่ก็พูดออกมา และประโยคแรกที่นางพูดนั้น “แม่ของเจ้าตายแล้ว ข้าฆ่านางเอง” เมื่อซูเชียนหลิงได้ยิน ม่านตาของนางก็หดตัวลง “เจ้าฆ่าแม่ของข้า เจ้าฆ่าแม่ของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”นางพยุงร่างกายที่อ่อนแอขึ้นจากพื้นโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พลันพุ่งเข้าไปหาซูชิง
นางให้องค์หญิงผู้มีเกียรติแห่งแคว้นซีอู๋ตะวันตกไปรับลูกค้าในซ่องที่โสมมที่สุด หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป สงสัยนักว่าฮ่องเต้แห่งซีอู๋ตะวันตกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด เมื่อซูชิงอู่คิดเช่นนี้ ดวงตาของนางก็ฉายแววยิ้มอย่างล้ำลึก นางแอบย้ายซูเชียนหลิงออกไปอย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้เรื่องนี้ แม้แต่คนรับใช้ในจวนก็ยังมาส่งข้าวที่เหมือนข้าวหมูที่นี่ตรงเวลาและในปริมาณที่เหมาะสมทุกวัน ซูชิงอู่จะกลับมาที่วังหลวงเพื่อติดตามซูเฟยในเวลากลางคืน ส่วนระหว่างวันนางต้องคิดหาวิธีทำเงินดังนั้นจึงยุ่งมาก เพราะยังไงนางมีภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลถึงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน แม้ว่าอวิ๋นจื่อจะแนะนำให้นางนำเงินออกจากจวนไปจ่ายคืน แต่ซูชิงอู่ก็ไม่เห็นด้วย นางต้องการซื้อของกำนัลให้ผู้อื่น หากนางใช้เงินของท่านอ๋อง เช่นนั้นนางคงอับอายมาก... ทว่านางไม่กังวัลว่าจะหาเงินมาจ่ายไม่ได้ อีกไม่นานโอกาสในการหาเงินจะมาหานางเอง นางจึงไม่รีบร้อน ในชั่วพริบตา พิธีศพวันที่เจ็ดขององค์ชายหกก็ดำเนินไปได้ด้วยดีการตายขององค์ชายเป็นเพียงระลอกคลื่นในทะเลสาบอันเงียบสงบ ไม่ได้ดึงดูดควา
คำพูดเช่นนี้มิเข้าหูฮ่องเต้เท่าไรนัก จึงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไม่มีอันใด ข้ามาเยี่ยมหาสนมที่รักของข้ามิได้หรือไร?” เมื่อได้ยินว่าสนมที่รักของข้า ซูเฟยก็ขนลุกไปทั่วร่าง แต่นางยังควบคุมอาการไว้มิแสดงออกไป “ล้อเล่นแล้วเพคะ ฝ่าบาท พระองค์เสด็จมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการเพคะ…” ซูเฟยพูดไม่เก่งและนางเป็นคนซื่อ ๆ และไม่เป็นที่โปรดปรานในอดีต นางไม่มีพระโอรส การอยู่ในตำแหน่งที่สูงของนางมิได้กระทบผู้ใด นางจึงมีนิสัยเย็นชาและห่างเหินเช่นนี้ ฮ่องเต้สังเกตการแสดงออกของซูเฟย รู้สึกว่านางไม่สนใจเขาเลย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “หรงเอ๋อร์ ข้าละเลยเจ้าในอดีต แต่จากนี้ไปข้าจะมาเยี่ยมเจ้ามากขึ้น…” มือของซูเฟยที่กำลังรินชาอยุ่นั้นพลันสั่นขึ้นมา จากนั้นน้ำชาในกาน้ำชาก็เทล้นออกมาเลอะฮ่องเต้... สีหน้าของซูเฟยเปลี่ยนไปฉับพลัน นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้ตั้งใจ หม่อมฉันจะช่วยเช็ดให้เพคะ!” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเสื้อคลุมมังกรของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้พลันจับข้อมือของนางไว้อากาศค่อนข้างหนาว แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าเห
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้