ในตำหนักฮุ่ยหนิงบรรยากาศเคร่งเครียดผู้คนในตำหนักดูโศกเศร้าทันทีที่ฮ่องเต้มาถึง ฮุ่ยเฟยก็เดินออกไปด้วยความตื่นตระหนก และคุกเข่าต่อหน้าเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ"ฝ่าบาทได้โปรดเถอะเพคะ ช่วยองค์ชายหกด้วย ฝ่าบาทได้โปรดช่วยชีวิตเขาด้วย!"ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามขันทีหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาว่า "หมอหลวงมากันหมดแล้วเหรอ?"ขันทีหนุ่มตอบทันที "ทูลฝ่าบาท หมอหลวงหลิน และหมอหลวงหลี่ กำลังวินิจฉัยและรักษาองค์ชายหกอยู่ด้านใน"ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขามองลงไปที่ฮุ่ยเฟย และยื่นมือออกไปช่วยนางลุกขึ้น“หมอหลวงมาแล้วไม่ใช่เหรอ ฉางอิ๋งเป็นองค์ชาย เขามีโชคคอยคุ้มครอง เขาต้องไม่เป็นไรแน่ อย่ากังวลมากไปนักเลย”ฮุ่ยเฟยยืนขึ้น หลุบตาลงและตัวสั่นไปทั้งตัวฮองเฮาและคนอื่น ๆ ก็รีบวิ่งไปเช่นกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งทั้งลานของตำหนักฮุ่ยหนิง ก็เต็มไปด้วยผู้คนแม้ตอนนี้ฮองเฮาจะถูกลดทอนอำนาจลงไปแล้ว แต่ในฐานะผู้ดูแลหกตำหนักฝ่ายใน คำพูดของพระนางก็ยังคงมีน้ำหนักอยู่บ้าง นางหรี่ตาลงและมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็ถามว่า "ซูเฟยอยู่ที่ใด เรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้ว ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบหกตำหนักฝ่ายในชั่วคราวอย่า
ในช่วงเวลาอันปลอดภัยนั้น รังสีบางอย่างเหมือนจะส่องผ่านความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในหัวใจของซูชิงอู่ ทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้านฮ่องเต้หรี่ตาลงและคิดอย่างลึกซึ้ง "แต่ท่านราชครูไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานานสองปีแล้ว ฮองเฮารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด?"ฮองเฮาทำความเคารพและพูดว่า "หม่อมฉันเพิ่งรู้มาว่าท่านราชครูได้เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว หากเป็นไปได้ หม่อมฉันจะขอให้ใครซักคนเชิญเขามาทันที!"ดวงตาของฮ่องเต้หรี่ลงดวงตาของเขาค่อนข้างคล้ายกับของเย่เสวียนถิง ทั้งคู่มีดวงตารูปหงส์ที่ยาวและแคบยามสบมองคนนับว่าเฉียบแหลมแม้ว่าเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังมสง่างามไม่เปลี่ยน นอกจากนี้ หลังจากอยู่บนบัลลังก์มานานหลายทศวรรษ ความสง่างามของเขาปรากฏขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวของมือเสียด้วยซ้ำ“เอาล่ะ ขอบใจฮองเฮาที่เสนอความคิด”"นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำอยู่แล้วเพคะ"ฮองเฮาจึงรีบส่งคนไปเชิญท่านราชครูมาทันทีทั้งสถานที่เงียบไปอึดใจหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่พูด จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปากเหล่าพระชายาและนางสนมหลายพระองค์นั่งอยู่รอบ ๆ องค์ฮ่องเต้ ในขณะที่ซูชิงอู่ และเย่เสวียนถิงอยู่ด้านหลังซูเฟยซูเฟยรู้สึกประหม่าเล็ก
ท่านราชครูได้เข้าไปวินิจฉัยองค์ชายหกเป็นการส่วนตัวหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินออกมาจากที่นั่นและขมวดคิ้วเล็กน้อยฮ่องเต้ถามว่า "ท่านราชครู วินิจฉัยหาสาเหตุได้หรือไม่?"ราชครูพยักหน้า "ทูลฝ่าบาท องค์ชายหกไม่ได้ป่วย แต่ถูกอาคมทำร้าย!"ทันทีที่พูดคำว่า "อาคม" ทั้งสองคำนี้ รูม่านตาของฮ่องเต้ก็หดตัวลงทันทีมีความโกรธผุดขึ้นในดวงตาของเขา เขาระงับอารมณ์ของตนไว้และพูดว่า "เหตุท่านราชครูถึงพูดเช่นนี้?"ราชครูกล่าวว่า "กระหม่อมเคยเห็นอาคมเช่นนี้มาก่อน อาคมนี้สืบทอดมาจากซินเจียงตอนใต้ กระหม่อมได้ยินมาว่าหากชะตาเกิดถูกแกะสลักไว้บนตุ๊กตาคุณไสย แล้วเสริมด้วยอาคมที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ย่อมสามารถทำให้เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”ฮ่องเต้เม้มริมฝีปากบางของเขาแน่นและจมลงสู่ความคิดอันลึกซึ้งเขาเอามือไพล่หลังเดินไปรอบ ๆ สนามหญ้าสองครั้ง หากคนอื่นพูดแบบนี้ เขาคงจะไม่เชื่อ แต่คำพูดนี้มาจากปากของท่านราชครูยังไม่รวมว่าสถานะของท่านราชครูผู้นี้ในแคว้นหนานเย่สูงส่งเพียงใด เขายังได้ทำความดีความชอบมากมายนับไม่ถ้วนในขณะที่ช่วยเหลือตนในการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์เป็นเพราะเหตุนี้เอง ฮ่องเต้จึงเคารพมหาร
“เป็นไปได้ยังไง?!”ดวงตาของนางแดงก่ำและจ้องมองไปที่ซูเชียนหมิง "เจ้าโกหก เหตุใดตุ๊กตาคุณไสยตัวนั้นถึงอยู่ในตำหนักของข้า!"แม้เผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของฮองเฮา แต่ซูเชียนหมิงก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน เป็นเพราะนิสัยที่ซื่อตรงและภักดีของเขาที่ทำให้ฮ่องเต้เก็บเขาไว้ข้างกาย“ทูลฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ทหารชั้นผู้น้อยของกระหม่อมก็เห็นมันกับตาของตัวเองและไม่กล้าหลอกลวงเบื้องสูง”ฮ่องเต้พยักหน้า "อื้ม ข้าเข้าใจ"ซูเชียนหมิงนำผู้คนถอยทัพกลับภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้วอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินผ่านซูชิงอู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวทักทายนางซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและโบกมือให้ซูเชียนหมิงท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญและไม่สะดวกที่จะพูดคุยบรรยากาศในที่เกิดเหตุทั้งเย็นยะเยือกและเงียบสงัดมีสีหน้าที่ไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าของฮองเฮา แล้วจู่ ๆ นางก็คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ไม่ใช่หม่อมฉันจริง ๆ นะเพคะ หากเป็นฝีมือหม่อมฉัน หม่อมฉันคงทำเพียงแค่มองดูองค์ชายหกตายไปอย่างไม่คิดจะหาทางช่วย แล้วหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อไปเชิญท่านราชครูมาเพื่อทำลายอาคมเพื่
ในที่สุดกลุ่มคนเหล่านั้นก็มาถึง อุทยานหลวงที่ซูเฟยกล่าวถึงทันทีเป็นดั่งที่คาดไว้ เหมยสีเลือดปรากฏขึ้นท่ามกลางทุ่งเหมยซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะอันกว้างใหญ่ ดอกเหมยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมีสีแดงสด อีกทั้งยังดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของฮ่องเต้มืดมนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปถามราชครู“ท่านรู้หรือไม่ว่าเหมยสีเลือดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”ราชครูหรี่ตาลงพร้อมกับเพ่งมองกลีบดอกเหมยอย่างระมัดระวังกลีบดอกเหมยแต่ละกลีบเป็นสีแดงสดราวกับหยดเลือดแน่นอนว่าราชครูไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้แล้ว เขาไม่อาจพูดได้ว่าตนไม่รู้เช่นนั้นแล้ว เขาจึงยังคงมีสีหน้าลึกซึ้งและอ่านยากดังเดิม เขาหันกลับมาพร้อมกับกล่าวต่อฮ่องเต้ด้วยความเคารพว่า "เหมยสีเลือดนี้มีแต่ความอัปมงคล ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอแนะนำให้ขุดต้นไม้ต้นนี้ออกไปจะได้กำจัดพลังชั่วร้ายออกไปเสียบ้าง”เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้จึงไม่ลังเลเลย“ยังรออะไรอีก รีบเรียกคนมาขุดมันออกเร็วเข้า!”คนกลุ่มหนึ่งหยิบพลั่วและเริ่มลงมือขุด ทว่า จู่ ๆ กลับมีคนร้องอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ"
ฮองเฮามีท่าทีตื่นตระหนกมุมปากของนางสั่นระริก ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขณะถือตุ๊กตาคุณไสยเอาไว้เป็นไปได้เช่นไร… เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?ตุ๊กตาคุณไสยตัวนี้ยังคงเขียนวันเกิดของฮ่องเต้เอาไว้อีกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เขียนไว้นั้นไม่ใช่วันเกิดปลอมที่ฮ่องเต้ประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้ารู้ แต่กลับเป็นวันเกิดที่แท้จริง…สำหรับฮ่องเต้แล้วเพื่อปกป้องตนเองนั้น แม้แต่วันเกิดและดวงชะตาของเขาที่เปิดแผยก็ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วันเกิดที่แท้จริง แม้กระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนก็ระแวดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เหล่าบ่าวรับใข้ที่แก่ชราก็ถูกแทนที่รุ่นแล้วรุ่นเล่า และในเวลานี้ผู้ซึ่งรู้เรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริงก็มีเพียงฮองเฮาและไทเฮามารดาผู้ให้กำเนิดเขา…“ไม่ใช่หม่อมฉัน ไม่ใช่หม่อมฉันจริง ๆ นะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้แม้แต่น้อย โปรดเชื่อหม่อมฉันเถอะเพคะ!”ดวงตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังนางคิดไม่ถึงเลยว่านางจะต้องพ่ายแพ้เพราะเรื่องนี้ใครอื่นอีกเล่าที่จะรู้วันเกิดและดวงชะตาฮ่องเต้?ต่อให้ฮองเฮาครุ่นคิดจนศีรษะแทบจะระเบิด นางก็ไม่อาจคิดถึงได้เลยว่าจ
นางเฝ้าดูจากด้านข้างมาโดยตลอด!ตอนไหนกันที่นางพลาดไป?ซูเฟยไม่อาจเข้าใจในสิ่งใดได้เลยท้ายที่สุดแล้ว นางไม่ใช่ผู้ที่รู้วันเดือนปีเกิดของฮ่องเต้ เช่นนั้นนางจึงไม่สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ปัจจุบันของฮองเฮาได้เลยทว่าเย่เสวียนถิงกลับแสดงสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาหงส์สีดำสนิทของเขาดูเหมือนจะส่องประกายราวกับมองผ่านทุกสิ่งได้เมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปยังซูชิงอู่ ความลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้นในแววตาคู่นั้นซูชิงอู่ไม่ได้อธิบายอะไร นางเพียงตบไหล่ของซูเฟยเบา ๆ“หม่อมฉันบอกแล้วว่าอย่าได้เป็นกังวล ผู้บงการที่แท้จริงไม่อาจหนีพ้นไปได้”เสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยน ดวงตาของนางก็ชัดเจนและแจ่มใสราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การคาดคะเนของนางหัวใจของซูเฟยสั่นไหว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น นางคิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่ลูกชายของนางแต่งงานด้วยนั้นไม่ใช่ดอกไม้ขาวอ่อนแอจริง ๆ แต่กลับเป็นเกี๊ยวข้าวที่เต็มไปด้วยงาดำ…ราชครูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็เห็นฮองเฮาถูกพยุงออกจากห้อง ปิ่นปักผมของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่และใบหน้านางก็เต็มไปด้วยเลือด“ฝ่าบาท พระองค์กำลังจะทำสิ่
แม้ว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางจะจางลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังแดงอยู่เล็กน้อยซึ่งทำให้นางดูน่าสังเวช ทันทีที่นางเห็นฮ่องเต้ เจียวกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเบิกบานใจ ทว่าขณะที่นางกำลังจะเข้าใกล้ฝ่าบาทก็ถูกขันทีที่อยู่ข้างฮ่องเต้จับแยกไปในทันที“พระนาง อย่าเดินระเกะระกะไปทั่วเลย โปรดยืนอยู่นิ่ง ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ”เจียวกุ้ยเฟยดูโกรธเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าบทลงโทษของนางยังไม่ได้รับการอภัย นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่งและทำได้เพียงระงับความโกรธของนางลงเท่านั้นเหล่าสนมทั้งหมดยืนตามลำดับตำแหน่งจากหน้าไปหลัง ขณะที่คนอื่น ๆ เดินออกจากบริเวณรอบนอกเย่เสวียนถิงในฐานะอ๋องและซูชิงอู่ซึ่งเป็นพระชายาแล้วนั้น พวกเขาจึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ขณะนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืนอยู่ด้านข้างซูเฟยซูเฟยกัดริมฝีปากของนางเล็กน้อยเมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ ใบหน้าแต่เดิมซึ่งดูบอบบางอยู่แล้วของนางกลับยิ่งดูอ่อนแอเพิ่มขึ้นอีก หากไม่ใช่เพราะซูชิงอู่คอยช่วยเหลือนาง มิเช่นนั้นแล้วนางคงรู้สึกว่าขาทั้งสองอ่อนแรงจนไม่สามารถยืนหยัดได้ ทันใดนั้นราชครูก็พูดขึ้นว่า "ผู้ที่ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำจะต้องมีไอต้องสาปอยู่บ