ในช่วงเวลาอันปลอดภัยนั้น รังสีบางอย่างเหมือนจะส่องผ่านความมืดที่อยู่ลึกเข้าไปในหัวใจของซูชิงอู่ ทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้านฮ่องเต้หรี่ตาลงและคิดอย่างลึกซึ้ง "แต่ท่านราชครูไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมานานสองปีแล้ว ฮองเฮารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ใด?"ฮองเฮาทำความเคารพและพูดว่า "หม่อมฉันเพิ่งรู้มาว่าท่านราชครูได้เข้ามาในเมืองหลวงแล้ว หากเป็นไปได้ หม่อมฉันจะขอให้ใครซักคนเชิญเขามาทันที!"ดวงตาของฮ่องเต้หรี่ลงดวงตาของเขาค่อนข้างคล้ายกับของเย่เสวียนถิง ทั้งคู่มีดวงตารูปหงส์ที่ยาวและแคบยามสบมองคนนับว่าเฉียบแหลมแม้ว่าเขาจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ยังมสง่างามไม่เปลี่ยน นอกจากนี้ หลังจากอยู่บนบัลลังก์มานานหลายทศวรรษ ความสง่างามของเขาปรากฏขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวของมือเสียด้วยซ้ำ“เอาล่ะ ขอบใจฮองเฮาที่เสนอความคิด”"นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำอยู่แล้วเพคะ"ฮองเฮาจึงรีบส่งคนไปเชิญท่านราชครูมาทันทีทั้งสถานที่เงียบไปอึดใจหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่พูด จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปากเหล่าพระชายาและนางสนมหลายพระองค์นั่งอยู่รอบ ๆ องค์ฮ่องเต้ ในขณะที่ซูชิงอู่ และเย่เสวียนถิงอยู่ด้านหลังซูเฟยซูเฟยรู้สึกประหม่าเล็ก
ท่านราชครูได้เข้าไปวินิจฉัยองค์ชายหกเป็นการส่วนตัวหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินออกมาจากที่นั่นและขมวดคิ้วเล็กน้อยฮ่องเต้ถามว่า "ท่านราชครู วินิจฉัยหาสาเหตุได้หรือไม่?"ราชครูพยักหน้า "ทูลฝ่าบาท องค์ชายหกไม่ได้ป่วย แต่ถูกอาคมทำร้าย!"ทันทีที่พูดคำว่า "อาคม" ทั้งสองคำนี้ รูม่านตาของฮ่องเต้ก็หดตัวลงทันทีมีความโกรธผุดขึ้นในดวงตาของเขา เขาระงับอารมณ์ของตนไว้และพูดว่า "เหตุท่านราชครูถึงพูดเช่นนี้?"ราชครูกล่าวว่า "กระหม่อมเคยเห็นอาคมเช่นนี้มาก่อน อาคมนี้สืบทอดมาจากซินเจียงตอนใต้ กระหม่อมได้ยินมาว่าหากชะตาเกิดถูกแกะสลักไว้บนตุ๊กตาคุณไสย แล้วเสริมด้วยอาคมที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย ย่อมสามารถทำให้เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก!”ฮ่องเต้เม้มริมฝีปากบางของเขาแน่นและจมลงสู่ความคิดอันลึกซึ้งเขาเอามือไพล่หลังเดินไปรอบ ๆ สนามหญ้าสองครั้ง หากคนอื่นพูดแบบนี้ เขาคงจะไม่เชื่อ แต่คำพูดนี้มาจากปากของท่านราชครูยังไม่รวมว่าสถานะของท่านราชครูผู้นี้ในแคว้นหนานเย่สูงส่งเพียงใด เขายังได้ทำความดีความชอบมากมายนับไม่ถ้วนในขณะที่ช่วยเหลือตนในการก้าวขึ้นสู่บัลลังก์เป็นเพราะเหตุนี้เอง ฮ่องเต้จึงเคารพมหาร
“เป็นไปได้ยังไง?!”ดวงตาของนางแดงก่ำและจ้องมองไปที่ซูเชียนหมิง "เจ้าโกหก เหตุใดตุ๊กตาคุณไสยตัวนั้นถึงอยู่ในตำหนักของข้า!"แม้เผชิญกับความโกรธเกรี้ยวของฮองเฮา แต่ซูเชียนหมิงก็ยังคงไม่สะทกสะท้าน เป็นเพราะนิสัยที่ซื่อตรงและภักดีของเขาที่ทำให้ฮ่องเต้เก็บเขาไว้ข้างกาย“ทูลฝ่าบาท นี่เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ทหารชั้นผู้น้อยของกระหม่อมก็เห็นมันกับตาของตัวเองและไม่กล้าหลอกลวงเบื้องสูง”ฮ่องเต้พยักหน้า "อื้ม ข้าเข้าใจ"ซูเชียนหมิงนำผู้คนถอยทัพกลับภารกิจของเขาเสร็จสิ้นแล้วอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเดินผ่านซูชิงอู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวทักทายนางซูชิงอู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและโบกมือให้ซูเชียนหมิงท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญและไม่สะดวกที่จะพูดคุยบรรยากาศในที่เกิดเหตุทั้งเย็นยะเยือกและเงียบสงัดมีสีหน้าที่ไม่เชื่อปรากฏบนใบหน้าของฮองเฮา แล้วจู่ ๆ นางก็คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ไม่ใช่หม่อมฉันจริง ๆ นะเพคะ หากเป็นฝีมือหม่อมฉัน หม่อมฉันคงทำเพียงแค่มองดูองค์ชายหกตายไปอย่างไม่คิดจะหาทางช่วย แล้วหม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อไปเชิญท่านราชครูมาเพื่อทำลายอาคมเพื่
ในที่สุดกลุ่มคนเหล่านั้นก็มาถึง อุทยานหลวงที่ซูเฟยกล่าวถึงทันทีเป็นดั่งที่คาดไว้ เหมยสีเลือดปรากฏขึ้นท่ามกลางทุ่งเหมยซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะอันกว้างใหญ่ ดอกเหมยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมีสีแดงสด อีกทั้งยังดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก ใบหน้าของฮ่องเต้มืดมนเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปถามราชครู“ท่านรู้หรือไม่ว่าเหมยสีเลือดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”ราชครูหรี่ตาลงพร้อมกับเพ่งมองกลีบดอกเหมยอย่างระมัดระวังกลีบดอกเหมยแต่ละกลีบเป็นสีแดงสดราวกับหยดเลือดแน่นอนว่าราชครูไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้แล้ว เขาไม่อาจพูดได้ว่าตนไม่รู้เช่นนั้นแล้ว เขาจึงยังคงมีสีหน้าลึกซึ้งและอ่านยากดังเดิม เขาหันกลับมาพร้อมกับกล่าวต่อฮ่องเต้ด้วยความเคารพว่า "เหมยสีเลือดนี้มีแต่ความอัปมงคล ซึ่งเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับองค์ชายหกด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอแนะนำให้ขุดต้นไม้ต้นนี้ออกไปจะได้กำจัดพลังชั่วร้ายออกไปเสียบ้าง”เมื่อได้ยินดังนั้น ฮ่องเต้จึงไม่ลังเลเลย“ยังรออะไรอีก รีบเรียกคนมาขุดมันออกเร็วเข้า!”คนกลุ่มหนึ่งหยิบพลั่วและเริ่มลงมือขุด ทว่า จู่ ๆ กลับมีคนร้องอุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ"
ฮองเฮามีท่าทีตื่นตระหนกมุมปากของนางสั่นระริก ดวงตาของนางก็เบิกกว้างขณะถือตุ๊กตาคุณไสยเอาไว้เป็นไปได้เช่นไร… เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?ตุ๊กตาคุณไสยตัวนี้ยังคงเขียนวันเกิดของฮ่องเต้เอาไว้อีกด้วยสิ่งสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เขียนไว้นั้นไม่ใช่วันเกิดปลอมที่ฮ่องเต้ประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้ารู้ แต่กลับเป็นวันเกิดที่แท้จริง…สำหรับฮ่องเต้แล้วเพื่อปกป้องตนเองนั้น แม้แต่วันเกิดและดวงชะตาของเขาที่เปิดแผยก็ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้วันเกิดที่แท้จริง แม้กระทั่งฮ่องเต้องค์ก่อนก็ระแวดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เหล่าบ่าวรับใข้ที่แก่ชราก็ถูกแทนที่รุ่นแล้วรุ่นเล่า และในเวลานี้ผู้ซึ่งรู้เรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริงก็มีเพียงฮองเฮาและไทเฮามารดาผู้ให้กำเนิดเขา…“ไม่ใช่หม่อมฉัน ไม่ใช่หม่อมฉันจริง ๆ นะเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้แม้แต่น้อย โปรดเชื่อหม่อมฉันเถอะเพคะ!”ดวงตาของฮองเฮาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังนางคิดไม่ถึงเลยว่านางจะต้องพ่ายแพ้เพราะเรื่องนี้ใครอื่นอีกเล่าที่จะรู้วันเกิดและดวงชะตาฮ่องเต้?ต่อให้ฮองเฮาครุ่นคิดจนศีรษะแทบจะระเบิด นางก็ไม่อาจคิดถึงได้เลยว่าจ
นางเฝ้าดูจากด้านข้างมาโดยตลอด!ตอนไหนกันที่นางพลาดไป?ซูเฟยไม่อาจเข้าใจในสิ่งใดได้เลยท้ายที่สุดแล้ว นางไม่ใช่ผู้ที่รู้วันเดือนปีเกิดของฮ่องเต้ เช่นนั้นนางจึงไม่สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ปัจจุบันของฮองเฮาได้เลยทว่าเย่เสวียนถิงกลับแสดงสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาหงส์สีดำสนิทของเขาดูเหมือนจะส่องประกายราวกับมองผ่านทุกสิ่งได้เมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปยังซูชิงอู่ ความลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้นในแววตาคู่นั้นซูชิงอู่ไม่ได้อธิบายอะไร นางเพียงตบไหล่ของซูเฟยเบา ๆ“หม่อมฉันบอกแล้วว่าอย่าได้เป็นกังวล ผู้บงการที่แท้จริงไม่อาจหนีพ้นไปได้”เสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยน ดวงตาของนางก็ชัดเจนและแจ่มใสราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การคาดคะเนของนางหัวใจของซูเฟยสั่นไหว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น นางคิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่ลูกชายของนางแต่งงานด้วยนั้นไม่ใช่ดอกไม้ขาวอ่อนแอจริง ๆ แต่กลับเป็นเกี๊ยวข้าวที่เต็มไปด้วยงาดำ…ราชครูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็เห็นฮองเฮาถูกพยุงออกจากห้อง ปิ่นปักผมของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่และใบหน้านางก็เต็มไปด้วยเลือด“ฝ่าบาท พระองค์กำลังจะทำสิ่
แม้ว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางจะจางลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังแดงอยู่เล็กน้อยซึ่งทำให้นางดูน่าสังเวช ทันทีที่นางเห็นฮ่องเต้ เจียวกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเบิกบานใจ ทว่าขณะที่นางกำลังจะเข้าใกล้ฝ่าบาทก็ถูกขันทีที่อยู่ข้างฮ่องเต้จับแยกไปในทันที“พระนาง อย่าเดินระเกะระกะไปทั่วเลย โปรดยืนอยู่นิ่ง ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ”เจียวกุ้ยเฟยดูโกรธเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าบทลงโทษของนางยังไม่ได้รับการอภัย นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่งและทำได้เพียงระงับความโกรธของนางลงเท่านั้นเหล่าสนมทั้งหมดยืนตามลำดับตำแหน่งจากหน้าไปหลัง ขณะที่คนอื่น ๆ เดินออกจากบริเวณรอบนอกเย่เสวียนถิงในฐานะอ๋องและซูชิงอู่ซึ่งเป็นพระชายาแล้วนั้น พวกเขาจึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ขณะนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืนอยู่ด้านข้างซูเฟยซูเฟยกัดริมฝีปากของนางเล็กน้อยเมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ ใบหน้าแต่เดิมซึ่งดูบอบบางอยู่แล้วของนางกลับยิ่งดูอ่อนแอเพิ่มขึ้นอีก หากไม่ใช่เพราะซูชิงอู่คอยช่วยเหลือนาง มิเช่นนั้นแล้วนางคงรู้สึกว่าขาทั้งสองอ่อนแรงจนไม่สามารถยืนหยัดได้ ทันใดนั้นราชครูก็พูดขึ้นว่า "ผู้ที่ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำจะต้องมีไอต้องสาปอยู่บ
การเย้ยหยันปรากฏขึ้นผ่านดวงตาของราชครู รวมทั้งความอวดดีในดวงตาของเขาซึ่งกุมชีวิตของทุกคนไว้ในเงื้อมมือของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในใจของเขาทุกคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือมดที่เขาควบคุมได้ตามใจชอบ เขาจะทำให้อยู่หรือตายก็ย่อมได้ "ดูเหมือนว่าผู้กระทำผิดคือ..."เสียงของราชครูเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ เขากำลังจะพูดคำว่า ‘ซูเฟย’ แต่ทันใดนั้น หนวดของแมลงที่อยู่บนพื้นก็สั่นระริกแล้วหันกลับไปในขณะนั้นซูเฟยรู้สึกว่าหลังของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นริมฝีปากของนางซีดไร้ซึ่งเลือดฝาด กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของนางตึงมากจนไม่อาจขยับตัวได้ ในช่วงเวลาเพียงครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกราวกับว่าตนได้ก้าวเข้าไปในประตูนรกเย่เสวียนถิงช่วยพยุงมารดาตนเอาไว้ ความมืดมนในดวงตาของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดวงตาหงส์นั้นดำสนิทราวกับหุบเหวลึกอันหนาวเหน็บราชครูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองไปยังแมลงซึ่งแต่เดิมอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วยความไม่เชื่อ แมลงตัวนั้นกำลังจะเดินไปหาซูเฟยทว่า แมลงตัวนั้นกลับเลือกที่จะหันกลับมา!ใบหน้าของราชครูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก มุมปากของเขาสั่นกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงหรี่ตาลงพร้อมกับสะบัด
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้