เย่เสวียนถิงโอบแขนรอบตัวนางไว้ พร้อมกับกดศีรษะของนางแนบชิดกับแผ่นอกของเขา รวมไปถึงลูบแผ่นหลังของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบโยนนาง“อาอู่ เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย แมลงตัวนั้นตายไปแล้ว ไม่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าได้อีก”“อืม…”ราชครูผู้นี้มีพลังการได้ยินที่ไม่ธรรมดา เขาสามารถจดจำเสียงและปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ความตั้งใจเดิมคือจับคนที่เข้ามาขัดขวางเขา แต่แล้วเขากลับไม่พบสิ่งใด“กระหม่อมจะหาวิธีรักษาองค์ชายหกอย่างแน่นอน แต่ผู้ที่สาปแช่งนั้นมีทักษะอันกล้าแกร่ง แม้ว่ากระหม่อมจะเผชิญหน้ากับเขาก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้องค์ชายหกต้องเดือดร้อนในระหว่างนี้ กระหม่อมมีวิธีอื่นในการยืดอายุขององค์ชาย!”ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า "แม้แต่ท่านราชครูก็คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากงั้นหรือ?"“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก หากปล่อยอีกฝ่ายไว้ย่อมสร้างปัญหาในวังขึ้นมาอีก คนผู้นั้นจะต้องคุกคามชีวิตของพระองค์อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วโปรดอนุญาตให้กระหม่อมจับคนผู้นี้ด้วยเถิด!”เขาไม่อาจปล่อยวางแมลงกู่ที่เกี่ยวข้องกับแผนการของเขาลงได้ เช่นนั้นเขาจะต
ซูชิงอู่ซึ่งเฝ้าดูอย่างประหม่าอยู่ไม่ไกลก็ต้องตกตะลึงนางคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงที่มักจะเป็นคนเงียบขรึม จะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ริมฝีปากของนางก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่พองโตของนางกับถูกวางลงอย่างเบาสบายเช่นนั้นแล้ว…นางกำลังกังวลเรื่องอะไร?บางทีอาจเป็นเพราะว่านางได้เกิดใหม่อีกครั้ง จึงเผลอคิดไปว่าตัวเองแก่ขึ้นมากแล้ว รวมทั้งนางจะต้องปกป้องเย่เสวียนถิงวัยยี่สิบปีที่อยู่เคียงข้างนางเอาไว้ ทว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตครั้งก่อน เขาจะเดินเข้าหาคมมีดและทะเลเพลิงด้วยตนเองทีละก้าว…ในเวลานั้น หากปราศจากความช่วยเหลือจากนาง ไม่มีนางพูดแทนเขา เรื่องราวต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นคงยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ทว่าเขากลับทำเช่นนี้ได้เขาไม่เพียงแต่ทำทุกอย่างได้ดีเท่านั้น แต่เขายังปกป้องนางเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังอดทนต่อการกระทำอันดื้อรั้นทั้งหมดของนางด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เย่เสวียนถิงซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามารถของตนเองในการกลับไปสู่สนามรบ รวมทั้งควบคุมกองทัพนับแสน และกลายเป็นเสาหลักของแคว้นหนานเย
ราชครูพูดขึ้นอีกครั้งว่า "ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะข้าที่ลงมือด้วยตนเอง องค์ชายหกคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน!"“ด้วยวิธีการใดท่านก็ไม่ยอมบอก แต่ท่านราชครูกลับมั่นใจถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำท่านยังกังวลอีกด้วยว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็หมายความว่าวิธีการที่จะดึงเลือดออกจากหัวใจจำเป็นที่ต้องแลกมาด้วยราคามหาศาลอย่างนั้นหรือ?” ราชครูถึงกับพูดไม่ออก เขาทำเพียงเน้นย้ำอยู่ตลอดว่า "ท่านอ๋อง โปรดคิดให้รอบคอบ แม้ว่าจะต้องใช้เลือดจากหัวใจแลก แต่ก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับชีวิตขององค์ชายหก ... "“ท่านราชครูพูดจาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีท่านพูดว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วท่านกลับคำพูดบอกว่ามีราคาที่ต้องจ่าย ยากที่ข้าจะเชื่อถือท่านราชครูอีกต่อไปแล้ว”ราชครูตะคอกอย่างเย็นชา "ท่านอ๋องเสวียนไม่ไว้ใจกระหม่อม เช่นนั้นท่านก็หาวิธีรักษาองค์ชายหกด้วยตัวท่านเอง หากท่านทำได้ กระหม่อมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแน่นอน!"ทันใดนั้นเย่เสวียนถิงก็ยิ้มมุมปากมุมริมฝีปากที่ยกยิ้มนั้นทำให้หัวใจของราชครูเฒ่าสั่นสะท้าน เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจากนั้นเขาจึงได้ยินเย่เสวียนถิงเอ
นางกำนัลผู้นั้นพูดตะกุกตะกัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงและสีหน้าของพวกเขาค้างแข็งฮ่องเต้มายังตำหนักฮุ่ยหนิงในทันที เมื่อเขามาถึง เขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฮุ่ยเฟย รวมไปถึงบ่าวรับใช้ทั้งหมดในตำหนักฮุ่ยหนิงก็ร้องไห้ด้วยเช่นกันใบหน้าของราชครูดูน่าเกลียดมากเหมือนกัน สถานการณ์เกินความคาดหมายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นปัญหาในด้านใดด้านหนึ่งของเขาเอง ทว่า…มีคนใช้กลอุบายอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของการกระทำครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ซูเฟย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่ได้รับผลกระทบใดเลย ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นปกป้องนางเป็นอย่างดีใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาที่แก่ชราและลึกของเขาก็จ้องไปที่ซูเฟยซูเฟยดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นเคย รวมไปถึงซูชิงอู่ที่ติดตามนางก็ดูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นใครกันแน่...?ราชครูลอบกัดฟันและกำหมัดอย่างลับ ๆ แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องพูด “ฝ่าบาท กระหม่อมจะเข้าไปตรวจดูเอง!”ใบหน้าของฮ่องเต้น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขากำลังเดินตามราชครูเข้าไปในห้องเขาเห็นว่าองค์ชายหกซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วทั้งร่า
นางไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฮุ่ยเฟยเลย นางทำเพียงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปข้าราชบริพารและเหล่าสนมคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปในที่สุด การแสดงจบลงพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศอันมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากการตายขององค์ชายที่หกยามเมื่อองค์ชายมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ายังมีคุณค่า ฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีที่จะช่วยเขา แต่เมื่อคนตายลงความสำคัญก็หมดลงไปด้วย…แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะรู้มานานแล้วว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของนางเอง นางก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ เมื่อนางเห็นซูเฟยเข้ามาในประตู นางก็อดไม่ได้โผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำไห้อย่างขมขื่น“ซูเฟย หม่อมฉันรู้สึกอัดอั้นในใจนัก…”ซูเฟยรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฟยกำลังร้องไห้ฮุ่ยเฟยอายุน้อยกว่านางมาก เช่นนั้นสีหน้าของนางจึงสุขุม จากนั้นนางจึงลูบหลังอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังราวกับกำลังมองดูน้องสาวของตน"เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้ว"ฮุ่ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเช็ดตาและเงยหน้าขึ้น เหล่านางกำนัลและสาวใช้ในวังที่เหลือล้วนเป็นคนสนิทของนาง ในเวลานี้เหลือเพียงซูชิงอู่และคนอื่น ๆ อยู่ใ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเฟยจึงรู้สึกว่ามีเพียงซูชิงอู่เท่านั้นที่อยู่เคียงข้างนาง พร้อมทั้งทำให้นางรู้สึกสบายใจด้วย"ทว่า……"ทันทีที่ซูชิงอู่พูดสองคำนี้ หัวใจของซูเฟยก็เต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาของซูเฟยซึ่งคาดหวังให้นางอยู่เคียงข้างด้วยอย่างกระตือรือร้นนั้น ซูชิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "หากหม่อมฉันยังต้องมีสิ่งใดทำในระหว่างวัน หม่อมฉันก็จะออกจากวังและกลับเข้ามาในเวลากลางคืน ในระหว่างนี้ซูเฟยควรอยู่แต่ในตำหนักของตนเองจะดีกว่า อย่าได้พบเจอใครเลย หากมีอันตรายใดที่พระนางไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนั้นพระนางก็ส่งคนมายังจวนอ๋องเพื่อบอกข่าวให้หม่อมฉันทราบ”ซูเฟยรู้สึกว่าด้วยวิธีนี้ก็เป็นการดีเช่นกัน เพราะนางไม่อาจผูกมัดซูชิงอู่ไว้กับนางได้ตลอดและไม่อาจยอมปล่อยนางให้ไปไหนได้ นางกระแอมไอออกมา แก้มของนางจึงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่กล้ามองซูชิงอู่เนื่องจากความละอายใจที่นางมีอายุมากแล้วแต่ยังต้องการใครสักคนมาคอยติดตามนางอยู่ตลอด ซูชิงอู่ไม่ได้คิดมากนัก ทว่ากลอุบายแมลงกู่ที่ราชครูใช้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในฐานะสตรีที่อ่อนแอแล้วนั้น เป็นเรื่องปกติที่ซูเฟยจะต้องหวาดกลัว เย่เสวียนถิงขมวดคิ
สีหน้าของเขาแข็งทื่อ แววตาเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าผมยาวของหลิงซื่อที่ห้อยอยู่ข้างหน้าเขา เผยให้เห็นใบหน้าข้างใต้ที่ซีดขาวปราศจากสีเลือดอยู่ก่อนแล้ว…"ตายแล้วหรือ?"จู่ ๆ สีหน้าของผู้นำหนุ่มก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจน"มีบางอย่างผิดปกติ มันเป็นกับดัก รีบหนีเร็ว!"ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ควันก็เริ่มฟุ้งกระจายไปโดยรอบ ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ติดกับดักคลื่นของอาการวิงเวียนศีรษะพัดผ่านไป ผู้ที่มีความสามารถต้านทานพิษยังต้องอ่อนแอจนไม่อาจถืออาวุธในมือได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้คนมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นนอกฝ่ายสอบสวน จากนั้นพวกเขาก็รีบเร่งเข้าไปหยิบถุงกักพิษที่ซ่อนอยู่ในฟันออกจากปากและจับทุกคนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว… รายงานลับถูกส่งไปยังพระราชวังโดยองครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหลังจากที่เย่เสวียนถิงอ่านจดหมาย ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูชิงอู่“อาอู่ มีบางอย่างเกิดขึ้นในฝ่ายสอบสวน”ซูชิงอู่รวบผมยาวของนางแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน โดยไม่แสดงท่าทีประหลาดใจ"มาเร็วเหลือเกิน"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูด
ซูชิงอู่กำลังนั่งอยู่ในจวนอ๋อง นางหยิบสมบัติบางอย่างที่นางนำมาจากหอมหาสมบัติเมื่อวานนี้มาพิจารณาอย่างไรเสียสมบัติเหล่านั้นก็ถูกซื้อมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล เช่นนั้นนางจึงต้องตรวจดูสิ่งของนั้นอย่างถี่ถ้วน กระดาษรองที่ใช้สำหรับวาดภาพให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนและเรียบเนียนเมื่อสัมผัส ของทั้งหมดถูกจัดวางอย่างประณีตด้วยเส้นไหมพิเศษ สีสันของทิวทัศน์บนม้วนกระดาษนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมาบรรจบกันที่จุดเดียวก็ยิ่งทำให้ภาพวาดดูยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกใครจะคิดว่าภาพวาดที่ฮ่องเต้รักมากเช่นนี้จะตกอยู่ในการครองครอบของชาวบ้านและอยู่ในหอมหาสมบัติ…หากนางไม่ได้เห็นภาพวาดนี้อีกครั้งในงานเลี้ยงอีกสองปีต่อมา รวมทั้งผู้ที่นำเสนอภาพวาดนี้ได้รับความชื่นชมและผลประโยชน์จากฮ่องเต้ นางก็คงจะไม่ทันได้จดจำภาพวาดนั้นไว้ในหัวใจของนางซูชิงอู่หรี่ตาลงและเก็บภาพวาดนั้นกลับไปด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง“นี่สำหรับพี่ใหญ่”พี่ใหญ่ของนางทำงานในตำแหน่งเดิมมาหลายปีแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องได้รับโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และภาพวาดนี้เป็นโอกาสที่ซูชิงอู่มอบให้เขา…สำหรับพี่สามและพี่สี่นั้น นางยังไม่อา
คนขายเนื้อทำสีหน้าหวาดกลัว “คนผู้นี้เลวทรามถึงเพียงนี้เลยรึ?”“เจ้าคอยระวังตัวเอาไว้ก็ไม่เป็นไรแล้ว ทางนั้นตรวจดูเสร็จรึยัง? ไปกันต่อเถิด!”เมื่อกองกำลังทำการค้นหาเสร็จเรียบร้อย คนขายเนื้อก็ยิ้มมุมปากเบา ๆเขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านี้จะพบเบาะแสทางตะวันตกของเมืองเร็วถึงเพียงนี้หากเขาไม่ได้เตรียมพร้อมมาก่อนหน้านี้และรีบปลอมตัวโดยไว เขาก็คงจะถูกจับได้ไปแล้วคนขายเนื้อรีบเข้าไปยังพื้นที่ด้านในสุดของร้านเขาเหลือบมองหนอนกู่ที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ในหนึ่ง และเมื่อเปิดตู้ใบนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววน่ากลัวออกมาผ่านมาหลายปี ดูเหมือนโลกภายนอกจะลืมความน่ากลัวของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เริ่มแรกนั้นพวกเขาได้ครอบครองตำแหน่งระดับสูงของราชวงศ์ในแคว้นต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงตำแหน่งในนามแต่มันสามารถแทรกแซงแคว้นนั้น ๆ และพลิกสถานการณ์ได้ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการแอบเข้าไปในพระราชวังเพื่อช่วยเหลือเจียงเฟยเอ๋อร์หากต้องการเข้าไปในพระราชวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาได้ก็ต้องใช้วิธีที่ต่างออกไปบุรุษผู้นั้นออกจากร้านขายเนื้อหมูที่ถูกตรวจค้นเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับปิดประตูร้านแสร้งทำเป็นออกไปทำธุร
หลังจากซูชิงอู่ส่งชิงอวี่ออกไปก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยซูชิงอู่หาคนมาวาดภาพเหมือนเจ้าอาวาสในปีที่แล้วและส่งต่อให้คนอื่น ๆ เพื่อช่วยกันค้นหา ซึ่งมันก็ผ่านมานานมากแล้ว และมีเพียงชิงอวี่เท่านั้นที่นำข่าวที่ได้รับการยืนยันกลับมาแจ้งนางแม้จะยังไม่ได้เจอคนผู้นั้น แต่ก็หมายความว่านางจะได้รู้ความจริงของการตายของท่านแม่เสียทีหลังจากสงบสติอารมณ์ได้ ซูชิงอู่ก็ตัดสินใจเดินทางไปทันทีนางอยากไปเจอจิ้งซินผู้นั้นด้วยตนเองและถามเขาว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงฆ่าท่านแม่ของนาง!คืนเดียวกันนั้นซูชิงอู่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับเย่เสวียนถิงเมื่อเย่เสวียนถิงได้รับรู้เรื่องราวก็พยักหน้าเบา ๆ และตัดสินใจอย่างทันทีว่า “ข้าจะส่งคนไปจับเขามาให้เจ้า”ซูชิงอู่ได้ยินอีกฝ่ายตอบง่าย ๆ และห้วนก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงและหัวเราะ“ได้”ตอนนี้มีศิษย์พี่ของเจียงเฟยเอ๋อร์คอยจับตาดูอยู่ในเมืองหลวง ซูชิงอู่จึงไม่สามารถไปหาคนผู้นั้นพร้อมกับชิงอวี่ได้บรรยากาศในเมืองหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆแม้แต่ฮ่องเต้เช่นเย่ชิวหมิงก็สังเกตเห็นสัญญาณของเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างที่กำลังจะตามมาเขาเคยได้ยินซูชิงอู่พูดว่าศัตรูที่ซ่อนตัวอ
ไป๋เฟิงก้มหัวลงอย่างเชื่อฟัง ราวกับมันได้กลายเป็นแมวตัวใหญ่ไปแล้วซูชิงอู่อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าคงเหนื่อยแย่ วันนี้ทำได้ดีมาก”ในที่สุดก็ได้ใช้ประโยชน์จากไป๋เฟิง สมกับที่เลี้ยงมันมานานไป๋เฟิงยืนขึ้นและอ้าปากหาว ส่วนสิงโตขนทองคำที่อยู่ข้าง ๆ ย่องเข้ามาทางด้านหลังซูชิงอู่ และใช้หัวถูเอวของนางดูเหมือนว่ามันต้องการให้ซูชิงอู่ลูบมันด้วยคนอื่น ๆ มองไปยังซูชิงอู่ที่มีร่างกายบอบบางยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ดุร้ายทั้งสอง พวกเขาทั้งหมดก็พูดไม่ออกอยู่นานนี่มัน...ร้ายกาจเกินไปแล้ว!แม้แต่กลุ่มบุรุษร่างใหญ่เช่นพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้สัตว์ดุร้ายทั้งสองแม้แต่ครึ่งก้าว ทว่าซูชิงอู่กลับสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมันได้อย่างกลมกลืนเหมือนพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงของนางเมื่อไม่ถูกยุงกัดและกินยาสมุนไพรที่ผสมไว้แล้ว ม้าทุกตัวในสนามฝึกก็สงบลงและกลับสู่ภาวะปกติทันทีที่ซูชิงอู่กลับมาถึงตำหนัก ก็เห็นหรงหย่าวิ่งเข้ามา“พระชายา เมื่อครู่มีคนมาพบท่านและบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องรายงาน”“มีเรื่องด่วนอะไรรึ?”หรงหย่าส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ท่านไปดูก่อนเถิด”ซูชิงอู่สั่งให้คนพาผู้ส่งข่าวเข้ามาทันทีนางจ้อง
เลือดของแมลงวันติดอยู่ที่มือของซูชิงอู่ส่งกลิ่นแปลก ๆ ออกมาเมื่อซูชิงอู่มองชัด ๆ นางก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แมลงวันแต่เป็น…แมลงมีปีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายแมลงวันปากของแมลงมีความคมมาก สามารถเจาะทะลุขนของสัตว์บางชนิดได้ง่าย ทว่าแมลงมีปีกชนิดนี้ไม่สนใจมนุษย์และจะกัดเฉพาะสัตว์เท่านั้นที่แท้นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ในเมืองหลวงบ้าคลั่งในช่วงหลายวันนี้!ซูชิงอู่ยังสังเกตเห็นว่ายุงเหล่านี้ถูกพิษและเมื่อพวกมันแพร่พันธุ์ ในไข่ก็มีสารพิษดังกล่าวติดไปด้วยขอเพียงแมลงเหล่านี้ยังกัดสัตว์ต่อไป สารพิษก็จะค่อย ๆ สะสมทีละน้อยสุดท้ายก็ถึงขั้นทำให้เสียสติ!คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเจตนาชั่วร้ายหากนางไม่ค้นพบสิ่งนี้ก่อน เกรงว่าม้าศึกทั้งหมดจะต้องตายไปด้วยความบ้าคลั่งอีกทั้งยังไม่อาจทราบสาเหตุได้แน่นอนว่าม้าศึกเป็นส่วนสำคัญในกองทัพ หากทหารม้าเสียม้าไป ก็คงไม่ต่างไปจากคนอ่อนแอไร้ค่า...ซูชิงอู่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว“นำม้าทุกตัวไปไว้ในที่ปิดและหาทางฆ่าแมลงมีปีกเหล่านี้ให้สิ้นเสีย”รองแม่ทัพที่ติดตามนางมารีบจำคำสั่งนี้เอาไว้ทันที“รับทราบพ่ะย่ะค่ะพระชายา!”เขาก็รีบกระจายคำสั่งออก
เมื่อเย่เสวียนถิงได้ยินสิ่งที่ซูชิงอู่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ”ซูชิงอู่ส่ายหัวทันที “ยาพิษนี้คงไม่ได้อยู่ในอาหารสัตว์ อีกทั้งเมื่อมาลองคิดดู สัตว์ป่าจำนวนมากที่อยู่ใกล้เมืองหลวง รวมไปถึงม้าศึกล้วนติดพิษกันหมด มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีใครสามารถวางยาพิษม้าศึกในเมืองหลวงได้อย่างเงียบ ๆ ”การวิเคราะห์ของซูชิงอู่นั้นสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เย่เสวียนถิงเองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาหากหาสาเหตุไม่พบก็แก้ปัญหาไม่ได้แม้จะรักษาม้าหนึ่งในนั้นจนหายขาด แต่ก็จะกลับมามีอาการเดิมในอีกไม่ช้าไม่ไกลกันนักก็มีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเขาหอบหายใจและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ทำการตรวจสอบเสบียงอาหารแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“น้ำล่ะ?”“ตรวจสอบน้ำแล้วเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของการวางยาพิษเลยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินรายงาน เย่เสวียนถิงก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่าคราวนี้แย่แล้วสิซูชิงอู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ช่วยทำให้ม้าทุกตัวสงบลงก่อนได้หรือไม่ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูรางอาหารม้าเอง”“ได้พ่ะย่ะค่ะพระชายา กรุณารอสักครู่ ก
เริ่มแรก เขาสงสัยในเรื่องที่ซูชิงอู่เคยพูดจนเกิดความคิดจินตนาการบางส่วนขึ้นมา เรียกได้ว่าตอนกลางวันก็เอาแต่นึกถึง ตกกลางคืนก็เก็บมาฝันอีกแต่เขาไม่เคยได้ยินซูชิงอู่พูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริง ๆเนื่องจากความฝันนั้นมันดูเพ้อเจ้อเกินไป เย่เสวียนถิงจึงไม่พูดออกมา เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับซูชิงอู่อย่างไม่มีเหตุผลหลายวันมานี้ซูชิงอู่อาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้งสามของนางเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่นางห่างพวกเขาไปนานเด็ก ๆ ที่เพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือนแต่กลับต้องห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ นั่นทำให้ซูชิงอู่รู้สึกผิดขึ้นมาดังนั้นนางจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากนักทันใดนั้นนางก็นึกอะไรออกและถามว่า “เสวียนถิง ช่วงนี้หมาป่าเหล่านั้นที่อยู่ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”เย่เสวียนถิงเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้มีเพียงสัตว์ร้าย แต่ยังกระทบไปถึงม้าศึกด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งกัน”“เดี๋ยวข้าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้เสียหน่อย”ซูชิงอู่รู้สึกได้โดยไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้เรื่องจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีผลกระทบกับมนุษย์มากนัก แต่นางก็รู้สึกอ
ทันใดนั้นหมอหลวงซุนก็เหมือนจะคิดอะไรออก “เหมือนกับตอนที่พระชายาใช้ดอกไม้ชนิดหนึ่งเพื่อทำให้ม้าพยศคลั่งใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“อืม ทำนองนั้นแหละ”สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นางพบในเภสัชตำรับ และหากใช้มัน ผลลัพธ์ที่ได้จะน่าทึ่งมากแม้ลงมือไปอย่างกะทันหัน แต่ก็ไม่มีใครจับได้ปรมาจารย์มือวางพิษที่แท้จริงคือผู้ที่วางยาพิษโดยไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ เอาไว้“ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชี้แนะ หลังจากที่ได้พูดคุยกับท่าน กระหม่อมก็เข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูชิงอู่ปิดเภสัชตำรับ “ข้าท่องเภสัชตำรับนี้จนจำขึ้นใจ และเข้าใจเนื้อหาด้านในได้คร่าว ๆ เพียงแต่ยังไม่พบวิธีที่จะไขความลับที่อยู่ในนั้น หวังว่าท่านจะช่วยเรื่องนี้ได้”คราวนี้ ทุกคนเชื่อมั่นในคำพูดของซูชิงอู่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้สนใจ แต่พระชายากลับนำมาใช้งานได้ถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรที่ต้องพูดกันอีกหรือ?ตาแก่เช่นพวกเขาที่อาศัยว่าตนอายุมากทำตัวอาวุโสดูถูกผู้อื่นนั้นเทียบเทียมพระชายาไม่ได้เลย!หลังจากที่ซูชิงอู่อธิบายเรื่องนี้จบ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและแอบหลบออกมาทางประตูใหญ่นางกลัวว่าคนเหล่านั้นจะถามนางว่านางศึกษาเรียนรู้ทักษะทางการ
หมอหลวงซุนขมวดคิ้วเล็กน้อย“อย่าพูดไร้สาระ นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? พระชายาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเราเลย โกหกพวกเราไปแล้วนางจะได้ประโยชน์อะไร?”คำพูดนี้ก็ถือว่ามีเหตุผลทุกคนต่างพูดไม่ออกทำได้แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วพลิกหน้าอ่านต่อไปพลิกหน้ากระดาษตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอ่านจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นตำราทั้งเล่มถูกอ่านจนจบอย่างรวดเร็ว ทุกคนในสำนักหมอหลวงไม่ได้นอนมาสองวันสองคืน และตอนนี้ทุกคนดูเหนื่อยและมีสีหน้าทรุดโทรมเมื่ออ่านหน้าจนถึงสุดท้าย แม้แต่หมอหลวงซุนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะเภสัชตำรับเล่มนี้บันทึกเฉพาะโรคและวัตถุดิบยาที่ธรรดาทั่วไปมาก ๆ บางส่วนเท่านั้นข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวคือผู้อาวุโสเช่นพวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบยาหลายประเภทและพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆแม้จะไม่ไร้ประโยชน์ แต่ความคาดหวังกับผลลัพธ์ก็แตกต่างกันมากเลยทีเดียวถึงขั้นทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจและอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่น่ะหรือคือเภสัชตำรับที่ตระกูลฟางเฝ้าหวงแหนมานานหลายปี?ดวงตาของหมอหลวงซุนเต็มไปด้วยสีแดงก่ำที่เกิดจากการอดนอน“ในเมื่อเภสัชตำรับของตระกูลฟางไร้ประโยชน์ เช่นนั้นพระชายาไปเรียนรู้ทักษะด้านการแพทย์มา
“นี่คือวัตถุดิบยาและปริมาณที่คนผู้นั้นทำการวางยา ที่สำนักหมอหลวงของพวกท่านมีสิ่งนี้อยู่แล้ว หากจะทำยาถอนพิษก็คงไม่ใช่เรื่องยากกระมัง”“ไม่ยากพ่ะย่ะค่ะ ไม่ยาก!”หมอหลวงซุนยิ้มร่าราวกับได้รับสมบัติเขามองซูชิงอู่ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่กลับเก่งกาจกว่าเหล่าคนชราเช่นพวกเขาเมื่อรวมกับเภสัชตำรับของตระกูลฟางที่ซูชิงอู่พูดถึง หมอหลวงเฒ่าก็ดีใจจนเนื้อเต้นหากได้เรียนรู้และกลายเป็นคนที่เก่งกาจเหมือนพระชายา ระดับความรู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยหรือไม่?แต่หมอหลวงซุนไม่เคยรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ซูชิงอู่เรียนรู้ไม่ได้มาจากเภสัชตำรับของตระกูลฟางในเภสัชตำรับเล่มนั้นมีความแตกต่างตรงจุดไหน ตัวซูชิงอู่ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำแม้ตอนตายไปในชาติก่อน เภสัชตำรับก็ถูกทำลายและไม่มีใครเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นจุดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเภสัชตำรับเล่มนั้นคือบันทึกข้อมูลวัตถุดิบยาจำนวนมากที่คนทั่วไปไม่ทราบและสรรพคุณลับบางส่วนบรรดาผู้อาวุโสของสำนักหมอหลวงพากันมาช่วยคิดค้นยาถอนพิษเพื่อที่จะได้อ่านเภสัชตำรับนั้นเร็ว ๆในที่สุดเช้าวันรุ่งขึ้นยาที่สามารถฟื้นฟูสติของสัตว์ร้ายได้ก็ถูกส่งมาให้ฮ่องเต้