ซูชิงอู่ซึ่งเฝ้าดูอย่างประหม่าอยู่ไม่ไกลก็ต้องตกตะลึงนางคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงที่มักจะเป็นคนเงียบขรึม จะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ริมฝีปากของนางก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่พองโตของนางกับถูกวางลงอย่างเบาสบายเช่นนั้นแล้ว…นางกำลังกังวลเรื่องอะไร?บางทีอาจเป็นเพราะว่านางได้เกิดใหม่อีกครั้ง จึงเผลอคิดไปว่าตัวเองแก่ขึ้นมากแล้ว รวมทั้งนางจะต้องปกป้องเย่เสวียนถิงวัยยี่สิบปีที่อยู่เคียงข้างนางเอาไว้ ทว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตครั้งก่อน เขาจะเดินเข้าหาคมมีดและทะเลเพลิงด้วยตนเองทีละก้าว…ในเวลานั้น หากปราศจากความช่วยเหลือจากนาง ไม่มีนางพูดแทนเขา เรื่องราวต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นคงยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ทว่าเขากลับทำเช่นนี้ได้เขาไม่เพียงแต่ทำทุกอย่างได้ดีเท่านั้น แต่เขายังปกป้องนางเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังอดทนต่อการกระทำอันดื้อรั้นทั้งหมดของนางด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เย่เสวียนถิงซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามารถของตนเองในการกลับไปสู่สนามรบ รวมทั้งควบคุมกองทัพนับแสน และกลายเป็นเสาหลักของแคว้นหนานเย
ราชครูพูดขึ้นอีกครั้งว่า "ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะข้าที่ลงมือด้วยตนเอง องค์ชายหกคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน!"“ด้วยวิธีการใดท่านก็ไม่ยอมบอก แต่ท่านราชครูกลับมั่นใจถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำท่านยังกังวลอีกด้วยว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็หมายความว่าวิธีการที่จะดึงเลือดออกจากหัวใจจำเป็นที่ต้องแลกมาด้วยราคามหาศาลอย่างนั้นหรือ?” ราชครูถึงกับพูดไม่ออก เขาทำเพียงเน้นย้ำอยู่ตลอดว่า "ท่านอ๋อง โปรดคิดให้รอบคอบ แม้ว่าจะต้องใช้เลือดจากหัวใจแลก แต่ก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับชีวิตขององค์ชายหก ... "“ท่านราชครูพูดจาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีท่านพูดว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วท่านกลับคำพูดบอกว่ามีราคาที่ต้องจ่าย ยากที่ข้าจะเชื่อถือท่านราชครูอีกต่อไปแล้ว”ราชครูตะคอกอย่างเย็นชา "ท่านอ๋องเสวียนไม่ไว้ใจกระหม่อม เช่นนั้นท่านก็หาวิธีรักษาองค์ชายหกด้วยตัวท่านเอง หากท่านทำได้ กระหม่อมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแน่นอน!"ทันใดนั้นเย่เสวียนถิงก็ยิ้มมุมปากมุมริมฝีปากที่ยกยิ้มนั้นทำให้หัวใจของราชครูเฒ่าสั่นสะท้าน เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจากนั้นเขาจึงได้ยินเย่เสวียนถิงเอ
นางกำนัลผู้นั้นพูดตะกุกตะกัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงและสีหน้าของพวกเขาค้างแข็งฮ่องเต้มายังตำหนักฮุ่ยหนิงในทันที เมื่อเขามาถึง เขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฮุ่ยเฟย รวมไปถึงบ่าวรับใช้ทั้งหมดในตำหนักฮุ่ยหนิงก็ร้องไห้ด้วยเช่นกันใบหน้าของราชครูดูน่าเกลียดมากเหมือนกัน สถานการณ์เกินความคาดหมายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นปัญหาในด้านใดด้านหนึ่งของเขาเอง ทว่า…มีคนใช้กลอุบายอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของการกระทำครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ซูเฟย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่ได้รับผลกระทบใดเลย ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นปกป้องนางเป็นอย่างดีใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาที่แก่ชราและลึกของเขาก็จ้องไปที่ซูเฟยซูเฟยดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นเคย รวมไปถึงซูชิงอู่ที่ติดตามนางก็ดูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นใครกันแน่...?ราชครูลอบกัดฟันและกำหมัดอย่างลับ ๆ แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องพูด “ฝ่าบาท กระหม่อมจะเข้าไปตรวจดูเอง!”ใบหน้าของฮ่องเต้น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขากำลังเดินตามราชครูเข้าไปในห้องเขาเห็นว่าองค์ชายหกซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วทั้งร่า
นางไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฮุ่ยเฟยเลย นางทำเพียงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปข้าราชบริพารและเหล่าสนมคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปในที่สุด การแสดงจบลงพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศอันมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากการตายขององค์ชายที่หกยามเมื่อองค์ชายมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ายังมีคุณค่า ฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีที่จะช่วยเขา แต่เมื่อคนตายลงความสำคัญก็หมดลงไปด้วย…แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะรู้มานานแล้วว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของนางเอง นางก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ เมื่อนางเห็นซูเฟยเข้ามาในประตู นางก็อดไม่ได้โผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำไห้อย่างขมขื่น“ซูเฟย หม่อมฉันรู้สึกอัดอั้นในใจนัก…”ซูเฟยรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฟยกำลังร้องไห้ฮุ่ยเฟยอายุน้อยกว่านางมาก เช่นนั้นสีหน้าของนางจึงสุขุม จากนั้นนางจึงลูบหลังอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังราวกับกำลังมองดูน้องสาวของตน"เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้ว"ฮุ่ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเช็ดตาและเงยหน้าขึ้น เหล่านางกำนัลและสาวใช้ในวังที่เหลือล้วนเป็นคนสนิทของนาง ในเวลานี้เหลือเพียงซูชิงอู่และคนอื่น ๆ อยู่ใ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเฟยจึงรู้สึกว่ามีเพียงซูชิงอู่เท่านั้นที่อยู่เคียงข้างนาง พร้อมทั้งทำให้นางรู้สึกสบายใจด้วย"ทว่า……"ทันทีที่ซูชิงอู่พูดสองคำนี้ หัวใจของซูเฟยก็เต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาของซูเฟยซึ่งคาดหวังให้นางอยู่เคียงข้างด้วยอย่างกระตือรือร้นนั้น ซูชิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "หากหม่อมฉันยังต้องมีสิ่งใดทำในระหว่างวัน หม่อมฉันก็จะออกจากวังและกลับเข้ามาในเวลากลางคืน ในระหว่างนี้ซูเฟยควรอยู่แต่ในตำหนักของตนเองจะดีกว่า อย่าได้พบเจอใครเลย หากมีอันตรายใดที่พระนางไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนั้นพระนางก็ส่งคนมายังจวนอ๋องเพื่อบอกข่าวให้หม่อมฉันทราบ”ซูเฟยรู้สึกว่าด้วยวิธีนี้ก็เป็นการดีเช่นกัน เพราะนางไม่อาจผูกมัดซูชิงอู่ไว้กับนางได้ตลอดและไม่อาจยอมปล่อยนางให้ไปไหนได้ นางกระแอมไอออกมา แก้มของนางจึงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่กล้ามองซูชิงอู่เนื่องจากความละอายใจที่นางมีอายุมากแล้วแต่ยังต้องการใครสักคนมาคอยติดตามนางอยู่ตลอด ซูชิงอู่ไม่ได้คิดมากนัก ทว่ากลอุบายแมลงกู่ที่ราชครูใช้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในฐานะสตรีที่อ่อนแอแล้วนั้น เป็นเรื่องปกติที่ซูเฟยจะต้องหวาดกลัว เย่เสวียนถิงขมวดคิ
สีหน้าของเขาแข็งทื่อ แววตาเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าผมยาวของหลิงซื่อที่ห้อยอยู่ข้างหน้าเขา เผยให้เห็นใบหน้าข้างใต้ที่ซีดขาวปราศจากสีเลือดอยู่ก่อนแล้ว…"ตายแล้วหรือ?"จู่ ๆ สีหน้าของผู้นำหนุ่มก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจน"มีบางอย่างผิดปกติ มันเป็นกับดัก รีบหนีเร็ว!"ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ควันก็เริ่มฟุ้งกระจายไปโดยรอบ ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ติดกับดักคลื่นของอาการวิงเวียนศีรษะพัดผ่านไป ผู้ที่มีความสามารถต้านทานพิษยังต้องอ่อนแอจนไม่อาจถืออาวุธในมือได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้คนมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นนอกฝ่ายสอบสวน จากนั้นพวกเขาก็รีบเร่งเข้าไปหยิบถุงกักพิษที่ซ่อนอยู่ในฟันออกจากปากและจับทุกคนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว… รายงานลับถูกส่งไปยังพระราชวังโดยองครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหลังจากที่เย่เสวียนถิงอ่านจดหมาย ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูชิงอู่“อาอู่ มีบางอย่างเกิดขึ้นในฝ่ายสอบสวน”ซูชิงอู่รวบผมยาวของนางแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน โดยไม่แสดงท่าทีประหลาดใจ"มาเร็วเหลือเกิน"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูด
ซูชิงอู่กำลังนั่งอยู่ในจวนอ๋อง นางหยิบสมบัติบางอย่างที่นางนำมาจากหอมหาสมบัติเมื่อวานนี้มาพิจารณาอย่างไรเสียสมบัติเหล่านั้นก็ถูกซื้อมาด้วยเงินจำนวนมหาศาล เช่นนั้นนางจึงต้องตรวจดูสิ่งของนั้นอย่างถี่ถ้วน กระดาษรองที่ใช้สำหรับวาดภาพให้ความรู้สึกละเอียดอ่อนและเรียบเนียนเมื่อสัมผัส ของทั้งหมดถูกจัดวางอย่างประณีตด้วยเส้นไหมพิเศษ สีสันของทิวทัศน์บนม้วนกระดาษนั้นงดงามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมาบรรจบกันที่จุดเดียวก็ยิ่งทำให้ภาพวาดดูยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกใครจะคิดว่าภาพวาดที่ฮ่องเต้รักมากเช่นนี้จะตกอยู่ในการครองครอบของชาวบ้านและอยู่ในหอมหาสมบัติ…หากนางไม่ได้เห็นภาพวาดนี้อีกครั้งในงานเลี้ยงอีกสองปีต่อมา รวมทั้งผู้ที่นำเสนอภาพวาดนี้ได้รับความชื่นชมและผลประโยชน์จากฮ่องเต้ นางก็คงจะไม่ทันได้จดจำภาพวาดนั้นไว้ในหัวใจของนางซูชิงอู่หรี่ตาลงและเก็บภาพวาดนั้นกลับไปด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง“นี่สำหรับพี่ใหญ่”พี่ใหญ่ของนางทำงานในตำแหน่งเดิมมาหลายปีแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องได้รับโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และภาพวาดนี้เป็นโอกาสที่ซูชิงอู่มอบให้เขา…สำหรับพี่สามและพี่สี่นั้น นางยังไม่อา
อวิ๋นชิงรินชาชั้นดีจากจวนอ๋องให้กับฮูหยินผู้เฒ่า กลิ่นหอมของชาก็อบอวลไปทั่ว แม้ไม่ได้ดิ่มชาก็ยังรู้ได้ว่าชานี้เป็นเครื่องบรรณาการเมื่อนางนึกถึงชีวิตของซูชิงอู่ที่อยู่จวนอ๋องในตอนนี้ เทียบกับชีวิตของตนที่อาศัยอยู่ในจวนอัครเสนาบดีซูแล้วนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเคืองเป็นอย่างมาก มือของนางซึ่งกำลังถือถ้วยชาก็สั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้ทว่า สถานการณ์ในฝั่งอัครเสนาบดีซูยังคงไม่ชัดเจนนักในขณะนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่อาจเล่นงานซูชิงอู่ได้โดยตรง นางทำได้เพียงพูดอย่างใจเย็นว่า "ชิงอู่ พ่อของเจ้าถูกทางวังหลวงพาตัวไป เรื่องนี้ดูร้ายแรงมาก เจ้า…”ซูชิงอู่ขัดจังหวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างใจเย็น "ข้ารู้ ข้าทำเอง""อะไร?"ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นด้วยความไม่เชื่อ พร้อมกับมองไปยังซูชิงอู่ซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยนางรู้สึกเหมือนได้ยินอีกฝ่ายพูดผิด แต่ทว่าสิ่งที่นางได้ยินล้วนถูกต้องอยู่แล้ว…ซูชิงอู่พูดย้ำอีกครั้งว่า "หลิงซื่อตายลงในคุกใต้ดินเมื่อไม่นานมานี้ ข้าจับสายลับหลายคนจากแคว้นอู๋ตะวันตกได้ และพบว่าหลิงซื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับแคว้นอู๋ตะวันตก เช่นนั้นข้าจึงขอให้ท่านอ๋องรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่อ