การเย้ยหยันปรากฏขึ้นผ่านดวงตาของราชครู รวมทั้งความอวดดีในดวงตาของเขาซึ่งกุมชีวิตของทุกคนไว้ในเงื้อมมือของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในใจของเขาทุกคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือมดที่เขาควบคุมได้ตามใจชอบ เขาจะทำให้อยู่หรือตายก็ย่อมได้ "ดูเหมือนว่าผู้กระทำผิดคือ..."เสียงของราชครูเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ เขากำลังจะพูดคำว่า ‘ซูเฟย’ แต่ทันใดนั้น หนวดของแมลงที่อยู่บนพื้นก็สั่นระริกแล้วหันกลับไปในขณะนั้นซูเฟยรู้สึกว่าหลังของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นริมฝีปากของนางซีดไร้ซึ่งเลือดฝาด กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของนางตึงมากจนไม่อาจขยับตัวได้ ในช่วงเวลาเพียงครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกราวกับว่าตนได้ก้าวเข้าไปในประตูนรกเย่เสวียนถิงช่วยพยุงมารดาตนเอาไว้ ความมืดมนในดวงตาของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดวงตาหงส์นั้นดำสนิทราวกับหุบเหวลึกอันหนาวเหน็บราชครูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองไปยังแมลงซึ่งแต่เดิมอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วยความไม่เชื่อ แมลงตัวนั้นกำลังจะเดินไปหาซูเฟยทว่า แมลงตัวนั้นกลับเลือกที่จะหันกลับมา!ใบหน้าของราชครูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก มุมปากของเขาสั่นกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงหรี่ตาลงพร้อมกับสะบัด
เย่เสวียนถิงโอบแขนรอบตัวนางไว้ พร้อมกับกดศีรษะของนางแนบชิดกับแผ่นอกของเขา รวมไปถึงลูบแผ่นหลังของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบโยนนาง“อาอู่ เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย แมลงตัวนั้นตายไปแล้ว ไม่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าได้อีก”“อืม…”ราชครูผู้นี้มีพลังการได้ยินที่ไม่ธรรมดา เขาสามารถจดจำเสียงและปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ความตั้งใจเดิมคือจับคนที่เข้ามาขัดขวางเขา แต่แล้วเขากลับไม่พบสิ่งใด“กระหม่อมจะหาวิธีรักษาองค์ชายหกอย่างแน่นอน แต่ผู้ที่สาปแช่งนั้นมีทักษะอันกล้าแกร่ง แม้ว่ากระหม่อมจะเผชิญหน้ากับเขาก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้องค์ชายหกต้องเดือดร้อนในระหว่างนี้ กระหม่อมมีวิธีอื่นในการยืดอายุขององค์ชาย!”ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า "แม้แต่ท่านราชครูก็คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากงั้นหรือ?"“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก หากปล่อยอีกฝ่ายไว้ย่อมสร้างปัญหาในวังขึ้นมาอีก คนผู้นั้นจะต้องคุกคามชีวิตของพระองค์อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วโปรดอนุญาตให้กระหม่อมจับคนผู้นี้ด้วยเถิด!”เขาไม่อาจปล่อยวางแมลงกู่ที่เกี่ยวข้องกับแผนการของเขาลงได้ เช่นนั้นเขาจะต
ซูชิงอู่ซึ่งเฝ้าดูอย่างประหม่าอยู่ไม่ไกลก็ต้องตกตะลึงนางคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงที่มักจะเป็นคนเงียบขรึม จะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ริมฝีปากของนางก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่พองโตของนางกับถูกวางลงอย่างเบาสบายเช่นนั้นแล้ว…นางกำลังกังวลเรื่องอะไร?บางทีอาจเป็นเพราะว่านางได้เกิดใหม่อีกครั้ง จึงเผลอคิดไปว่าตัวเองแก่ขึ้นมากแล้ว รวมทั้งนางจะต้องปกป้องเย่เสวียนถิงวัยยี่สิบปีที่อยู่เคียงข้างนางเอาไว้ ทว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตครั้งก่อน เขาจะเดินเข้าหาคมมีดและทะเลเพลิงด้วยตนเองทีละก้าว…ในเวลานั้น หากปราศจากความช่วยเหลือจากนาง ไม่มีนางพูดแทนเขา เรื่องราวต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นคงยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ทว่าเขากลับทำเช่นนี้ได้เขาไม่เพียงแต่ทำทุกอย่างได้ดีเท่านั้น แต่เขายังปกป้องนางเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังอดทนต่อการกระทำอันดื้อรั้นทั้งหมดของนางด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เย่เสวียนถิงซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามารถของตนเองในการกลับไปสู่สนามรบ รวมทั้งควบคุมกองทัพนับแสน และกลายเป็นเสาหลักของแคว้นหนานเย
ราชครูพูดขึ้นอีกครั้งว่า "ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะข้าที่ลงมือด้วยตนเอง องค์ชายหกคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน!"“ด้วยวิธีการใดท่านก็ไม่ยอมบอก แต่ท่านราชครูกลับมั่นใจถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำท่านยังกังวลอีกด้วยว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็หมายความว่าวิธีการที่จะดึงเลือดออกจากหัวใจจำเป็นที่ต้องแลกมาด้วยราคามหาศาลอย่างนั้นหรือ?” ราชครูถึงกับพูดไม่ออก เขาทำเพียงเน้นย้ำอยู่ตลอดว่า "ท่านอ๋อง โปรดคิดให้รอบคอบ แม้ว่าจะต้องใช้เลือดจากหัวใจแลก แต่ก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับชีวิตขององค์ชายหก ... "“ท่านราชครูพูดจาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีท่านพูดว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วท่านกลับคำพูดบอกว่ามีราคาที่ต้องจ่าย ยากที่ข้าจะเชื่อถือท่านราชครูอีกต่อไปแล้ว”ราชครูตะคอกอย่างเย็นชา "ท่านอ๋องเสวียนไม่ไว้ใจกระหม่อม เช่นนั้นท่านก็หาวิธีรักษาองค์ชายหกด้วยตัวท่านเอง หากท่านทำได้ กระหม่อมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแน่นอน!"ทันใดนั้นเย่เสวียนถิงก็ยิ้มมุมปากมุมริมฝีปากที่ยกยิ้มนั้นทำให้หัวใจของราชครูเฒ่าสั่นสะท้าน เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจากนั้นเขาจึงได้ยินเย่เสวียนถิงเอ
นางกำนัลผู้นั้นพูดตะกุกตะกัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงและสีหน้าของพวกเขาค้างแข็งฮ่องเต้มายังตำหนักฮุ่ยหนิงในทันที เมื่อเขามาถึง เขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฮุ่ยเฟย รวมไปถึงบ่าวรับใช้ทั้งหมดในตำหนักฮุ่ยหนิงก็ร้องไห้ด้วยเช่นกันใบหน้าของราชครูดูน่าเกลียดมากเหมือนกัน สถานการณ์เกินความคาดหมายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นปัญหาในด้านใดด้านหนึ่งของเขาเอง ทว่า…มีคนใช้กลอุบายอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของการกระทำครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ซูเฟย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่ได้รับผลกระทบใดเลย ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นปกป้องนางเป็นอย่างดีใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาที่แก่ชราและลึกของเขาก็จ้องไปที่ซูเฟยซูเฟยดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นเคย รวมไปถึงซูชิงอู่ที่ติดตามนางก็ดูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นใครกันแน่...?ราชครูลอบกัดฟันและกำหมัดอย่างลับ ๆ แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องพูด “ฝ่าบาท กระหม่อมจะเข้าไปตรวจดูเอง!”ใบหน้าของฮ่องเต้น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขากำลังเดินตามราชครูเข้าไปในห้องเขาเห็นว่าองค์ชายหกซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วทั้งร่า
นางไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฮุ่ยเฟยเลย นางทำเพียงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปข้าราชบริพารและเหล่าสนมคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปในที่สุด การแสดงจบลงพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศอันมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากการตายขององค์ชายที่หกยามเมื่อองค์ชายมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ายังมีคุณค่า ฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีที่จะช่วยเขา แต่เมื่อคนตายลงความสำคัญก็หมดลงไปด้วย…แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะรู้มานานแล้วว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของนางเอง นางก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ เมื่อนางเห็นซูเฟยเข้ามาในประตู นางก็อดไม่ได้โผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำไห้อย่างขมขื่น“ซูเฟย หม่อมฉันรู้สึกอัดอั้นในใจนัก…”ซูเฟยรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฟยกำลังร้องไห้ฮุ่ยเฟยอายุน้อยกว่านางมาก เช่นนั้นสีหน้าของนางจึงสุขุม จากนั้นนางจึงลูบหลังอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังราวกับกำลังมองดูน้องสาวของตน"เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้ว"ฮุ่ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเช็ดตาและเงยหน้าขึ้น เหล่านางกำนัลและสาวใช้ในวังที่เหลือล้วนเป็นคนสนิทของนาง ในเวลานี้เหลือเพียงซูชิงอู่และคนอื่น ๆ อยู่ใ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ซูเฟยจึงรู้สึกว่ามีเพียงซูชิงอู่เท่านั้นที่อยู่เคียงข้างนาง พร้อมทั้งทำให้นางรู้สึกสบายใจด้วย"ทว่า……"ทันทีที่ซูชิงอู่พูดสองคำนี้ หัวใจของซูเฟยก็เต้นแรงอีกครั้งเมื่อเห็นดวงตาของซูเฟยซึ่งคาดหวังให้นางอยู่เคียงข้างด้วยอย่างกระตือรือร้นนั้น ซูชิงอู่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า "หากหม่อมฉันยังต้องมีสิ่งใดทำในระหว่างวัน หม่อมฉันก็จะออกจากวังและกลับเข้ามาในเวลากลางคืน ในระหว่างนี้ซูเฟยควรอยู่แต่ในตำหนักของตนเองจะดีกว่า อย่าได้พบเจอใครเลย หากมีอันตรายใดที่พระนางไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนั้นพระนางก็ส่งคนมายังจวนอ๋องเพื่อบอกข่าวให้หม่อมฉันทราบ”ซูเฟยรู้สึกว่าด้วยวิธีนี้ก็เป็นการดีเช่นกัน เพราะนางไม่อาจผูกมัดซูชิงอู่ไว้กับนางได้ตลอดและไม่อาจยอมปล่อยนางให้ไปไหนได้ นางกระแอมไอออกมา แก้มของนางจึงแดงขึ้นเล็กน้อย นางไม่กล้ามองซูชิงอู่เนื่องจากความละอายใจที่นางมีอายุมากแล้วแต่ยังต้องการใครสักคนมาคอยติดตามนางอยู่ตลอด ซูชิงอู่ไม่ได้คิดมากนัก ทว่ากลอุบายแมลงกู่ที่ราชครูใช้นั้นไม่มีวันสิ้นสุด ในฐานะสตรีที่อ่อนแอแล้วนั้น เป็นเรื่องปกติที่ซูเฟยจะต้องหวาดกลัว เย่เสวียนถิงขมวดคิ
สีหน้าของเขาแข็งทื่อ แววตาเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปคว้าผมยาวของหลิงซื่อที่ห้อยอยู่ข้างหน้าเขา เผยให้เห็นใบหน้าข้างใต้ที่ซีดขาวปราศจากสีเลือดอยู่ก่อนแล้ว…"ตายแล้วหรือ?"จู่ ๆ สีหน้าของผู้นำหนุ่มก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจน"มีบางอย่างผิดปกติ มันเป็นกับดัก รีบหนีเร็ว!"ทว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง ควันก็เริ่มฟุ้งกระจายไปโดยรอบ ทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ที่นี่ติดกับดักคลื่นของอาการวิงเวียนศีรษะพัดผ่านไป ผู้ที่มีความสามารถต้านทานพิษยังต้องอ่อนแอจนไม่อาจถืออาวุธในมือได้ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ผู้คนมากมายก็ปรากฏตัวขึ้นนอกฝ่ายสอบสวน จากนั้นพวกเขาก็รีบเร่งเข้าไปหยิบถุงกักพิษที่ซ่อนอยู่ในฟันออกจากปากและจับทุกคนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว… รายงานลับถูกส่งไปยังพระราชวังโดยองครักษ์เงาที่สิบเจ็ดหลังจากที่เย่เสวียนถิงอ่านจดหมาย ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้าย หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ซูชิงอู่“อาอู่ มีบางอย่างเกิดขึ้นในฝ่ายสอบสวน”ซูชิงอู่รวบผมยาวของนางแล้วลุกขึ้นจากเตียงอย่างเกียจคร้าน โดยไม่แสดงท่าทีประหลาดใจ"มาเร็วเหลือเกิน"เย่เสวียนถิงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับพูด