นางเฝ้าดูจากด้านข้างมาโดยตลอด!ตอนไหนกันที่นางพลาดไป?ซูเฟยไม่อาจเข้าใจในสิ่งใดได้เลยท้ายที่สุดแล้ว นางไม่ใช่ผู้ที่รู้วันเดือนปีเกิดของฮ่องเต้ เช่นนั้นนางจึงไม่สามารถจินตนาการถึงสถานการณ์ปัจจุบันของฮองเฮาได้เลยทว่าเย่เสวียนถิงกลับแสดงสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาหงส์สีดำสนิทของเขาดูเหมือนจะส่องประกายราวกับมองผ่านทุกสิ่งได้เมื่อสายตาของเขาจ้องมองไปยังซูชิงอู่ ความลึกซึ้งก็ปรากฏขึ้นในแววตาคู่นั้นซูชิงอู่ไม่ได้อธิบายอะไร นางเพียงตบไหล่ของซูเฟยเบา ๆ“หม่อมฉันบอกแล้วว่าอย่าได้เป็นกังวล ผู้บงการที่แท้จริงไม่อาจหนีพ้นไปได้”เสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยน ดวงตาของนางก็ชัดเจนและแจ่มใสราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การคาดคะเนของนางหัวใจของซูเฟยสั่นไหว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น นางคิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่ลูกชายของนางแต่งงานด้วยนั้นไม่ใช่ดอกไม้ขาวอ่อนแอจริง ๆ แต่กลับเป็นเกี๊ยวข้าวที่เต็มไปด้วยงาดำ…ราชครูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ จากนั้นเขาก็เห็นฮองเฮาถูกพยุงออกจากห้อง ปิ่นปักผมของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่และใบหน้านางก็เต็มไปด้วยเลือด“ฝ่าบาท พระองค์กำลังจะทำสิ่
แม้ว่ารอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางจะจางลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังแดงอยู่เล็กน้อยซึ่งทำให้นางดูน่าสังเวช ทันทีที่นางเห็นฮ่องเต้ เจียวกุ้ยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเบิกบานใจ ทว่าขณะที่นางกำลังจะเข้าใกล้ฝ่าบาทก็ถูกขันทีที่อยู่ข้างฮ่องเต้จับแยกไปในทันที“พระนาง อย่าเดินระเกะระกะไปทั่วเลย โปรดยืนอยู่นิ่ง ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ”เจียวกุ้ยเฟยดูโกรธเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าบทลงโทษของนางยังไม่ได้รับการอภัย นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่งและทำได้เพียงระงับความโกรธของนางลงเท่านั้นเหล่าสนมทั้งหมดยืนตามลำดับตำแหน่งจากหน้าไปหลัง ขณะที่คนอื่น ๆ เดินออกจากบริเวณรอบนอกเย่เสวียนถิงในฐานะอ๋องและซูชิงอู่ซึ่งเป็นพระชายาแล้วนั้น พวกเขาจึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ขณะนี้พวกเขาทั้งสองกำลังยืนอยู่ด้านข้างซูเฟยซูเฟยกัดริมฝีปากของนางเล็กน้อยเมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ ใบหน้าแต่เดิมซึ่งดูบอบบางอยู่แล้วของนางกลับยิ่งดูอ่อนแอเพิ่มขึ้นอีก หากไม่ใช่เพราะซูชิงอู่คอยช่วยเหลือนาง มิเช่นนั้นแล้วนางคงรู้สึกว่าขาทั้งสองอ่อนแรงจนไม่สามารถยืนหยัดได้ ทันใดนั้นราชครูก็พูดขึ้นว่า "ผู้ที่ใช้ไสยศาสตร์มนต์ดำจะต้องมีไอต้องสาปอยู่บ
การเย้ยหยันปรากฏขึ้นผ่านดวงตาของราชครู รวมทั้งความอวดดีในดวงตาของเขาซึ่งกุมชีวิตของทุกคนไว้ในเงื้อมมือของเขาก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในใจของเขาทุกคนที่อยู่ตรงหน้าก็คือมดที่เขาควบคุมได้ตามใจชอบ เขาจะทำให้อยู่หรือตายก็ย่อมได้ "ดูเหมือนว่าผู้กระทำผิดคือ..."เสียงของราชครูเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร่งรีบ เขากำลังจะพูดคำว่า ‘ซูเฟย’ แต่ทันใดนั้น หนวดของแมลงที่อยู่บนพื้นก็สั่นระริกแล้วหันกลับไปในขณะนั้นซูเฟยรู้สึกว่าหลังของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็นริมฝีปากของนางซีดไร้ซึ่งเลือดฝาด กล้ามเนื้อทั่วร่างกายของนางตึงมากจนไม่อาจขยับตัวได้ ในช่วงเวลาเพียงครู่หนึ่ง นางก็รู้สึกราวกับว่าตนได้ก้าวเข้าไปในประตูนรกเย่เสวียนถิงช่วยพยุงมารดาตนเอาไว้ ความมืดมนในดวงตาของเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนดวงตาหงส์นั้นดำสนิทราวกับหุบเหวลึกอันหนาวเหน็บราชครูขมวดคิ้วเล็กน้อย เขามองไปยังแมลงซึ่งแต่เดิมอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาด้วยความไม่เชื่อ แมลงตัวนั้นกำลังจะเดินไปหาซูเฟยทว่า แมลงตัวนั้นกลับเลือกที่จะหันกลับมา!ใบหน้าของราชครูน่าเกลียดเป็นอย่างมาก มุมปากของเขาสั่นกระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงหรี่ตาลงพร้อมกับสะบัด
เย่เสวียนถิงโอบแขนรอบตัวนางไว้ พร้อมกับกดศีรษะของนางแนบชิดกับแผ่นอกของเขา รวมไปถึงลูบแผ่นหลังของนางอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบโยนนาง“อาอู่ เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย แมลงตัวนั้นตายไปแล้ว ไม่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าได้อีก”“อืม…”ราชครูผู้นี้มีพลังการได้ยินที่ไม่ธรรมดา เขาสามารถจดจำเสียงและปฏิกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ความตั้งใจเดิมคือจับคนที่เข้ามาขัดขวางเขา แต่แล้วเขากลับไม่พบสิ่งใด“กระหม่อมจะหาวิธีรักษาองค์ชายหกอย่างแน่นอน แต่ผู้ที่สาปแช่งนั้นมีทักษะอันกล้าแกร่ง แม้ว่ากระหม่อมจะเผชิญหน้ากับเขาก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้องค์ชายหกต้องเดือดร้อนในระหว่างนี้ กระหม่อมมีวิธีอื่นในการยืดอายุขององค์ชาย!”ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแน่น เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า "แม้แต่ท่านราชครูก็คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากงั้นหรือ?"“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้นมีพลังแข็งแกร่งมาก หากปล่อยอีกฝ่ายไว้ย่อมสร้างปัญหาในวังขึ้นมาอีก คนผู้นั้นจะต้องคุกคามชีวิตของพระองค์อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วโปรดอนุญาตให้กระหม่อมจับคนผู้นี้ด้วยเถิด!”เขาไม่อาจปล่อยวางแมลงกู่ที่เกี่ยวข้องกับแผนการของเขาลงได้ เช่นนั้นเขาจะต
ซูชิงอู่ซึ่งเฝ้าดูอย่างประหม่าอยู่ไม่ไกลก็ต้องตกตะลึงนางคิดไม่ถึงว่าเย่เสวียนถิงที่มักจะเป็นคนเงียบขรึม จะกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ริมฝีปากของนางก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว หัวใจที่พองโตของนางกับถูกวางลงอย่างเบาสบายเช่นนั้นแล้ว…นางกำลังกังวลเรื่องอะไร?บางทีอาจเป็นเพราะว่านางได้เกิดใหม่อีกครั้ง จึงเผลอคิดไปว่าตัวเองแก่ขึ้นมากแล้ว รวมทั้งนางจะต้องปกป้องเย่เสวียนถิงวัยยี่สิบปีที่อยู่เคียงข้างนางเอาไว้ ทว่านางคิดไม่ถึงเลยว่าในชีวิตครั้งก่อน เขาจะเดินเข้าหาคมมีดและทะเลเพลิงด้วยตนเองทีละก้าว…ในเวลานั้น หากปราศจากความช่วยเหลือจากนาง ไม่มีนางพูดแทนเขา เรื่องราวต่อไปนี้ที่จะเกิดขึ้นคงยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ทว่าเขากลับทำเช่นนี้ได้เขาไม่เพียงแต่ทำทุกอย่างได้ดีเท่านั้น แต่เขายังปกป้องนางเป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นเขายังอดทนต่อการกระทำอันดื้อรั้นทั้งหมดของนางด้วยความอดทนเป็นอย่างยิ่ง เย่เสวียนถิงซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู สามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งและความสามารถของตนเองในการกลับไปสู่สนามรบ รวมทั้งควบคุมกองทัพนับแสน และกลายเป็นเสาหลักของแคว้นหนานเย
ราชครูพูดขึ้นอีกครั้งว่า "ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะข้าที่ลงมือด้วยตนเอง องค์ชายหกคงไม่ฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน!"“ด้วยวิธีการใดท่านก็ไม่ยอมบอก แต่ท่านราชครูกลับมั่นใจถึงเพียงนี้ มิหนำซ้ำท่านยังกังวลอีกด้วยว่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็หมายความว่าวิธีการที่จะดึงเลือดออกจากหัวใจจำเป็นที่ต้องแลกมาด้วยราคามหาศาลอย่างนั้นหรือ?” ราชครูถึงกับพูดไม่ออก เขาทำเพียงเน้นย้ำอยู่ตลอดว่า "ท่านอ๋อง โปรดคิดให้รอบคอบ แม้ว่าจะต้องใช้เลือดจากหัวใจแลก แต่ก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับชีวิตขององค์ชายหก ... "“ท่านราชครูพูดจาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เดิมทีท่านพูดว่าไม่มีปัญหา แต่แล้วท่านกลับคำพูดบอกว่ามีราคาที่ต้องจ่าย ยากที่ข้าจะเชื่อถือท่านราชครูอีกต่อไปแล้ว”ราชครูตะคอกอย่างเย็นชา "ท่านอ๋องเสวียนไม่ไว้ใจกระหม่อม เช่นนั้นท่านก็หาวิธีรักษาองค์ชายหกด้วยตัวท่านเอง หากท่านทำได้ กระหม่อมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแน่นอน!"ทันใดนั้นเย่เสวียนถิงก็ยิ้มมุมปากมุมริมฝีปากที่ยกยิ้มนั้นทำให้หัวใจของราชครูเฒ่าสั่นสะท้าน เขารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจากนั้นเขาจึงได้ยินเย่เสวียนถิงเอ
นางกำนัลผู้นั้นพูดตะกุกตะกัก ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกตะลึงและสีหน้าของพวกเขาค้างแข็งฮ่องเต้มายังตำหนักฮุ่ยหนิงในทันที เมื่อเขามาถึง เขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของฮุ่ยเฟย รวมไปถึงบ่าวรับใช้ทั้งหมดในตำหนักฮุ่ยหนิงก็ร้องไห้ด้วยเช่นกันใบหน้าของราชครูดูน่าเกลียดมากเหมือนกัน สถานการณ์เกินความคาดหมายของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เชื่อว่านี่จะเป็นปัญหาในด้านใดด้านหนึ่งของเขาเอง ทว่า…มีคนใช้กลอุบายอยู่เบื้องหลัง เป้าหมายของการกระทำครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ซูเฟย แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางกลับไม่ได้รับผลกระทบใดเลย ผู้ที่อยู่ในเงามืดนั้นปกป้องนางเป็นอย่างดีใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ดวงตาที่แก่ชราและลึกของเขาก็จ้องไปที่ซูเฟยซูเฟยดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์เช่นเคย รวมไปถึงซูชิงอู่ที่ติดตามนางก็ดูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นเป็นใครกันแน่...?ราชครูลอบกัดฟันและกำหมัดอย่างลับ ๆ แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องพูด “ฝ่าบาท กระหม่อมจะเข้าไปตรวจดูเอง!”ใบหน้าของฮ่องเต้น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขากำลังเดินตามราชครูเข้าไปในห้องเขาเห็นว่าองค์ชายหกซึ่งนอนอยู่บนเตียงนั้นผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วทั้งร่า
นางไม่มีความเห็นอกเห็นใจต่อฮุ่ยเฟยเลย นางทำเพียงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปข้าราชบริพารและเหล่าสนมคนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปในที่สุด การแสดงจบลงพร้อมกับถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศอันมืดมนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จากการตายขององค์ชายที่หกยามเมื่อองค์ชายมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ายังมีคุณค่า ฮ่องเต้ย่อมต้องหาวิธีที่จะช่วยเขา แต่เมื่อคนตายลงความสำคัญก็หมดลงไปด้วย…แม้ว่าฮุ่ยเฟยจะรู้มานานแล้วว่านี่คือผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น แต่เมื่อนางเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาของนางเอง นางก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ในใจ เมื่อนางเห็นซูเฟยเข้ามาในประตู นางก็อดไม่ได้โผเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย พร้อมกับร่ำไห้อย่างขมขื่น“ซูเฟย หม่อมฉันรู้สึกอัดอั้นในใจนัก…”ซูเฟยรู้สึกสูญเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฟยกำลังร้องไห้ฮุ่ยเฟยอายุน้อยกว่านางมาก เช่นนั้นสีหน้าของนางจึงสุขุม จากนั้นนางจึงลูบหลังอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังราวกับกำลังมองดูน้องสาวของตน"เอาล่ะ เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไรแล้ว"ฮุ่ยเฟยร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงเช็ดตาและเงยหน้าขึ้น เหล่านางกำนัลและสาวใช้ในวังที่เหลือล้วนเป็นคนสนิทของนาง ในเวลานี้เหลือเพียงซูชิงอู่และคนอื่น ๆ อยู่ใ