บทนำ
ชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วย
ดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมี
หนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ
“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออกไปชมเทศกาลซีซีในคืนนี้กระมัง
“หรงเอ๋อร์อยากไปก็ย่อมได้” นางตอบบุตรสาวแล้วจึงลดมือลง มารดาเลี้ยงของนางมีบุตรสาวแท้ ๆ เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดนางก็จัดหาให้บุตรสาวได้ทั้งนั้น เหลียงฟางหรงจึงมีนิสัยเอาแต่ใจตนเองมาตั้งแต่เด็ก อีกประการนางเป็นบุตรที่มีบิดามารดารักอย่างยิ่ง เมื่อนางอยากได้สิ่งใดก็ย่อมได้สิ่งนั้น
ต่างกับนางที่ไม่ว่าจะอยากได้อยากมีสิ่งใดก็ทำได้เพียงบอกเล่าแก่ต้นบ๊วยต้นใหญ่ข้างลานกลางเรือน ต้นบ๊วยใหญ่นี้มารดานางเป็นผู้ปลูกเองจึงถือเป็นตัวแทนมารดา คิดเช่นนี้จึงทำให้นางมีแรงจะใช้ชีวิตต่อไป
“ให้พี่ฟางหรูไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หรงเอ๋อร์ต้องการ แม่จะอนุญาตเอง” ถีเยว่สือตอบบุตรสาวพลางเหลือบตามองไปยังด้านหลังของต้นบ๊วย ทั้งสองรับรู้อยู่ก่อนว่าเหลียงฟางหรูนั่งอยู่ใต้ต้นบ๊วยมาตลอด จึงได้มาสนทนาถึงที่นี่ให้นางได้ยินลดความระแวดระวัง
เหลียงฟางหรูได้ยินก็ยกมุมปากขึ้นดีใจน้องสาวต่างมารดายังนึกถึง นางไม่รับรู้เลยว่าทุกสิ่งที่ได้ยินล้วนแต่เป็นเรื่องลวงตา
เทศกาลซีซีในแคว้นจิ้งมักจะมีการลอยโคมกระดาษเพื่ออธิฐาน โรงเตี้ยมใหญ่ข้างหอสุรามักมีประลองฝีมือด้านการเย็บปักถักร้อย เด็กสาวมากมายจึงมักไปรวมกันที่นั้น
เหลียงฟางหรูเองก็ไม่เคยเห็นสิ่งนั้นกับตา ได้ยินจากสาวใช้พูดคุยกันเท่านั้น นางเก่งการเย็บปักถักร้อยเพราะมารดาสอนมาตั้งแต่ยังเยาว์ พอแอบได้ยินว่าผู้เป็นน้องสาวอยากชวนนางไป ลืมตัวไปชั่วขณะคิดว่าน้องสาวคงไม่ได้รังเกลียดนางมากถึงเพียงนั้นก็ยิ่งดีใจ
สองแม่ลูกมองตากัน ยิ้มแฝงความนัยจากนั้นจึงพากันเดินไปยังเรือนประธาน ขออนุญาตนายท่านเหลียงเพื่อพาเหลียงฟางหรูออกนอกจวนในวันพรุ่งนี้
คนไปแล้วนางจึงออกมาจากด้านหลังต้นบ๊วย ยิ้มให้ลำต้นสูงใหญ่ นางจะได้ออกจากจวนเป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมา ร่างบอบบางสะโอดสะองรีบเดินเร็วกลับไปยังห้องนอน ค้นหาผ้าปักที่คิดว่างดงามออกมาสามสี่ผืน หากมีโอกาสนางก็อยากแข่งขันปักผ้านั่นเช่นกัน...
“ท่านแม่ วันนี้น้องฟางหรงบอกว่าอยากชวนลูกไปเทศกาลซีซีด้วยเจ้าค่ะ แท้จริงน้องฟางหรูก็มิได้รังเกียจลูกถึงเพียงนั้น หากลูกได้พบแผงขายผลซิ่งแห้งลูกจะซื้อมาฝากท่านแม่” ริมฝีปากแดงระเรื่อกล่าวกับป้ายวิญญาณที่เขียนขึ้นเอง แม้แต่ป้ายวิญญาณของผู้เป็นมารดาหลังล่วงลับ บิดาก็ไมให้อยู่ในเขตจวน
มารดานางถูกกล่าวหาว่าลักลอบเล่นชู้กับคนงานในจวนจนตั้งครรภ์ และบุตรในครรภ์นั้นก็คือนาง ด้วยเหตุนี้บิดาจึงจงเกลียดจงชังนางนัก แต่บิดาก็ยังไม่อาจละทิ้งนางได้เพราะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเรื่องนั้นเท็จจริงอย่างไร กลัวถูกชาวบ้านติฉินท์นินทาจึงจำต้องเก็บนางไว้
นางเชื่อว่ามารดาไม่มีทางทำดังคำกล่าวหา แต่ก็เข้าใจความรู้สึกบิดาจึงมิได้คิดถือโทษโกรธเคืองเขามาก่อน
“พี่ฟางหรู อยู่หรือไม่” นั่งตรวจดูผ้าปักอยู่สักครู่ พอได้ยินเสียงจากด้านนอกจึงรีบลุกไปเปิดประตู รอยยิ้มงดงามใสซื่อส่งให้น้องสาวต่างมารดา เหลียงฟางหรงเหลือบตาด้วยความรำคาญ ชั่วครู่ก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าไร้เดียงสาดั่งดรุณีน้อยแรกวัยปักปิ่น
“ฟางหรง เข้ามาก่อนสิ พี่จะรินชาให้เจ้าดื่ม”
“ไม่เป็นไร ข้ามาเพียงครู่เดียวเท่านั้น วันพรุ่งนี้ในเมืองจะมีงานเทศกาลซีซี พี่ฟางหรูอยากไปด้วยกันหรือไม่” ใบหน้างดงามผงกขึ้นลงตอบรับคำถามของน้องสาว ริมฝีปากบางยิ้มกว้าง ดีใจจนหัวใจเต้นแรง ไม่ทันได้สังเกตริมฝีปากเหยียดยิ้มของน้องสาวต่างมารดาเลย
“หากพี่จะไปด้วยพรุ่งนี้ยามเซินก็มารอข้าและท่านแม่ที่ลานต้นบ๊วย”
“ได้ พี่จะรอ ฟางหรงจะกลับแล้วหรือ”
“ใช่ ข้ายังต้องไปบอกกล่าวแก่ท่านพ่อให้พี่ฟางหรูด้วย”
“อย่างนั้นพี่ขอบใจเจ้ามาก เช่นนี้ผ้านี่พี่ให้เป็นของตอบแทน น้องรับไว้เถิด”
“ขอบคุณ ข้าขอตัวก่อน” หญิงสาวรับผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกบ๊วยมาถือเอาไว้ เหลียงฟางหรูมักจะปักผ้าด้วยลวดลายที่เกี่ยวกับต้นบ๊วย มันช่วยให้นางได้ระลึกถึงมารดาที่จากไป
“คุณหนู ผ้าเช็ดหน้าตกเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ยทักผู้เป็นนาย เดินผ่านเรือนทรุดโทรมด้านข้างมาแล้ว ผ้าเช็ดหน้าที่พี่สาวต่างมารดาให้ก็ปลิวตกไปบนพื้น เห็นดังนั้นสาวใช้จึงหยิบมันขึ้นมาแล้ววิ่งนำไปให้
“ข้าไม่ได้ทำตก แต่ข้าตั้งใจทิ้งต่างหากเล่า”
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ”
“ไปได้แล้ว” สาวใช้เดินตามไปพลางมองผ้าเช็ดหน้างดงามในมือ ผ้าเช็ดงดงามเพียงนี้หากเป็นในร้านข้างนอก อาจขายได้ถึงสองตำลึง นึกเสียดายจึงเก็บยัดไว้ตรงผ้าคาดเอว เดินตามผู้เป็นนายไปถึงเรือนอีกฟากที่ตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า ต่างกับเรือนเมื่อครู่นี้ลิบลับ
กลับมาถึงเรือนก็พบมารดานั่งรออยู่ในห้องก่อน สองเท้าจึงก้าวอย่างไปรวดเร็ว ใบหน้าแฝงความขบขันไว้จนปิดไม่มิด ที่นางไม่ยอมเข้าไปในห้องของเหลียงฟางหรู ประการแรกคือเรือนนอนนางทรุดโทรมไม่สบายตาเมื่อต้องมองนาน ๆ ประการต่อมามารดายังรออยู่
“เป็นอย่างไรบ้างลูกแม่”
“ลูกบอกนางแล้ว นางดีใจยิ่งเจ้าค่ะ พรุ่งนี้คงรีบมารอตั้งแต่ยามเว่ยเลยกระมัง แล้วท่านแม่เล่าเจ้าคะตระเตรียมแล้วหรือ” บุตรสาวถามพลางยกถ้วยชาที่มารดารินให้มาดื่มหนึ่งคำ
“แม่ไม่มีทางลืมได้ นี่อย่างไรเล่ายาปลุกกำเนิดสตรี รอพรุ่งนี้ก่อนเถิด” สตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดาเลี้ยงของเหลียงฟางหรูเอ่ย พลางหยิบขวดกระเบื้องเคลือบในแขนเสื้อออกมาให้บุตรสาวดู จ้องมองของตรงหน้าสักครู่สองแม่ลูกก็พากันหัวเราะลั่น
ถีเยว่สือตั้งใจจะวางยาปลุกกำหนัดแก่เหลียงฟางหรูในเทศกาลซีซีตอนออกไปนอกจวน หากนางได้พบพานบุรุษคนใดและตกเป็นของบุรุษผู้นั้น ก็มีเหตุผลให้นางถูกขับออกจากจวน ที่สำคัญบุรุษที่นางจัดเตรียมไว้ก็ยังเป็นคนเกเร เสเพลอีกด้วย
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ