4
ขุ่นข้องใจ
หญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมา
ภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้อง
ร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ใน
ประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียที
หญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าวถ้อยคำน่าอับอายแก่ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้
“คุณหนูมีไข้ พักผอนก่อนเถอะเจ้าค่ะ บ่าวจะไปนำอาหารและยามาให้ เมื่อคุณหนูกินยาแล้วบ่าวจะเล่าเรื่องราวที่รู้ให้ฟังเอง” เหลียงฟางหรูมองหน้าหญิงรับใช้ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใด แววตาวูบไหวใคร่ครวญ แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากรู้ว่าตนเองประสบพบเจอเรื่องใดมา สุดท้ายก็พยักหน้ารับนั่งรออยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
คล้ายนางจำได้แต่บางคราก็คล้ายจำไม่ได้สักกะพีก ลางเลือนเสียจนนางนึกว่าความฝัน แต่ความฝันคงมิอาจทำให้นางบอบช้ำร่างกายได้เช่นนี้
หญิงรับใช้ในชุดสีขาวนวลท่อนล่างสวมกระโปรงสีเหลืองอ่อนจาง ขณะกล่าวว่าเป็นบ่าวรับใช้ชุดของนางยังดูงดงามกว่าเหลียงฟางหรูเสียอีก
หญิงรับใช้จากไปไม่นานกลับมาในมือถือถาดอาหารเอาไว้มั่น อาหารถูกยื่นมาตรงหน้า เพราะหญิงสาวถูกสั่งไว้ให้ปรนนิบัติคุณหนูตรงหน้าข้างเตียง เหลียงฟางหรูจึงไม่ต้องลุกจากเตียง
อาหารถูกกลืนลงท้องเพียงสามสี่คำก็หยุด เรื่องราวยังเลือนลางผู้ใดจะมีอารมณ์ดื่มกินได้อย่างสำราญ ฟางหรูยื่นชามข้าวต้มคืนจากนั้นรับถ้วยยาไปดื่มรวดเดียวจนหมด “เกิดสิ่งใดขึ้น”
“บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ คุณชายให้บ่าวมาคอยดูแลคุณหนูที่นี่ตั้งแต่ยามหยินเจ้าค่ะ กำชับเพียงให้คุณหนูรออยู่ที่นี่ อีกไม่นานจะกลับมา” สาวใช้ว่าพลางรับถ้วยยาคืนจากเหลียงฟางหรู วางไว้บนถาดไม้ นางเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวใดไปมากกว่าเหลียงฟางหรูเลย รู้เพียงต้องดูแลปรนนิบัติคุณหนูผู้นี้เป็นอย่างดีตามคำสั่ง
“เช่นนั้น ไปเถอะ” เหลียงฟางหรูถอนหายใจเอนตัวพิงเตียงราวกับกำลังเหนื่อยหน่ายใจ ออกจากจวนคราแรกก็ทำเรื่องเช่นนี้จะมีหน้าไปพบเจอผู้อื่นได้อย่างไร
“อย่างนั้นบ่าวขอตัวนะเจ้าค่ะ” หลังสาวใช้ออกจากห้องไป ปล่อยให้เหลียงฟางหรูทบทวนความคิดอยู่ลำพัง ครู่หนึ่งก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองออกมาจากจวนแล้วหนึ่งวัน ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นตายร้ายดีอย่างไร เช่นนี้คงเกิดเรื่องเป็นแน่
เหลียงฟางหรูผุดลุกหย่อนเท้าลงบนพื้น เดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยิน รับรู้ว่านางกำลังหนีจากที่แห่งนี่ อย่างไรเสียตระกูลบิดาก็มีชื่อเสียงไม่น้อย สอบถามไปเรื่อย ๆ ไม่ไกลคงถึง
นางไม่ได้ฝากเรื่องราวใดไว้ก็หายออกไปจากอาคารไม้ไร้ชื่อ เสี่ยวไป๋ที่กลับมาไม่พบนางก็ออกตามหาอยู่นาน ไม่พบเจอร่องรอยจึงกลับไปนั่งเฝ้าเตียงไม้อยู่ในห้อง
เหลียงฟางหรูถือวิสาสะหยิบพวกกันลมกันฝุ่นมาจากในห้อง ปกปิดใบหน้าตนเองมิให้โดดเด่นหรือถูกจับจ้องมากมาย ขณะหาทางกลับจวน ระหว่างเดินทางก็ถามไถ่ผู้อาวุโสบ้าง ขอทานบ้าง เกือบสองชั่วยามจึงมองเห็นประตูใหญ่จวนเหลียง
หลังพบเห็นที่หมายหัวใจก็พลันกรีดร้องหวีดหวิว นางกำลังกลัวว่าจะถูกลงโทษ บิดานางหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับนางเขาไม่ยินยอมรับฟังคำกล่าวอ้างใด หากเขาคิดเช่นไรก็จะปักใจเชื่อเช่นนั้น
คนงานเฝ้าประตูเอ่ยทักเปิดทางให้ สองเท้าก้าวเขาไปในจวนคุ้นเคยด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนัก หัวใจเต้นรัวดั่งกลองรบ เดินนิ่งสงบหมายไปให้ถึงโถงชุนเถิง
สาวรับใช้ในจวนเห็นก็รีบวิ่งไปตามนายหญิงใหญ่ของจวนเหลียง ถีเยว่สือดื่มชาอีกคำก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ออกมา นางวางถ้วยชาลงแล้วรีบออกไปยังห้องหนังสือผู้เป็นสามี
เพียงแค่คิดนางก็อารมณ์ดีขึ้นมาก เหลียงฟางหรูหายจากจวนไปทั้งคืน ต่อให้เกิดเรื่องใดหรือไม่ ชื่อเสียงนางก็ไม่มีดีแล้ว ถีเยว่สือเรียกผู้เป็นสามีหน้าประตูห้องหนังสือของเหลียงจินฮ่าวน้ำเสียงตื่นตกใจ ตามด้วยผลักเข้าไปด้านใน ใบหน้าตระหนกเป็นที่สุด
“นายท่าน ฟางหรูกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” บุรุษวัยกลางคนเงยหน้าจากกองม้วนผ้าไหมมองหน้าสตรีซึ่งเขาเรียกว่าภรรยาเอก คิ้วเข้มที่เคยขมวดอยู่ก่อนยิ่งขมวดแน่นขึ้น
นางลูกไม่รักดี! อนุญาตให้ออกจากจวนคราแรกก็เกิดเรื่องเช่นนี้ ต่ำช้า น่าอับอาย เขาเหลือบตามองกองม้วนผ้าไหมอีกคำรบ ก่อนจะวางกระแทกพู่กันในมือลง ลุกพรวดพราดออกจากห้องหนังสือไป
ถีเยว่สือตามไปพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยันดูแคลน ทั้งหมดตรงไปยังโถงชุนเถิงเร็วรี่
หญิงสาวยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางโถงด้วยชุดใหม่ท่อนล่างสีชมพูอ่อน ไม่นับว่าดีเลิศ แต่ไม่อับจนดังก่อนหน้า
“ข้าให้ออกไปเพื่อเที่ยวเทศกาลแต่เจ้ากลับใฝ่ต่ำหายไปทั้งคืน มิเกรงกลัวว่าผู้ใดจะติฉินนินทา” สายตาดุดันปราดมองบุตรสาวตั้งแต่เส้นผมยันปลายเล็บเท้า ตำหนินางรุนแรง น้ำเสียงไม่ไหว้หน้าผู้ใด
“ท่านพ่อฟางหรูอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้เจ้าค่ะ”
“ฟางหรูเจ้าขอขมาบิดาเสียเถิด ไม่ต้องพูดสิ่งใดให้มากความ มิเช่นนั้นบิดาจะกรุ่นโกรธมากกว่านี้” น้ำเสียงเห็นอกเห็นใจของถีเยว่สือบอกกล่าวแก่บุตรสาวคนโตสามี ใบหน้าเศร้าเสียใจแต่ความรู้สึกเหล่านั้นล้วนส่งไปไม่ถึงดวงตา
“เลี้ยงมาดีเพียงใด เลือดชั่วในตัวนางก็ไม่จางไป ทำตัวไม่ต่างจากมารดาแม้แต่น้อย”
ดวงตาสุกใสกลมโตสั่นระริก นางรู้ว่าบิดาจงเกลียดมารดาแท้ ๆ มากเพียงใดและเกลียดเพราะสิ่งใด แต่ตลอดสิบปีนี้นางไม่เคยตอบหรือโต้เถียงสักครา เหตุนี้กระมังผู้คนมากมายจึงกร่นด่ามารดาทั้งที่ไม่มีผู้ใดยืนยันความผิดนี้ได้
“ท่านพ่อ”
“เมื่อคืนเจ้าไปนอนค้างอ้างแรมที่ใดมา”
“ฟางหรูไม่สบายกายราวถูกพิษจึงหนี หนีได้ไม่นานก็หมดสติไป พอฟื้นขึ้นมารู้ตัวจึงรีบกลับมาที่นี่”
“ประเสิรฐ! ไปนอนค้างกับผู้ใดก็ไม่รู้ ไม่รู้ข้าวสุกเปลี่ยนเป็นข้าวสารแล้วหรือไม่ ใฝ่ต่ำสิ้นดี” เหลียงจินฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ที่ว่างหว่างคิ้วขมวดแน่น ความร้อนสุมอกโมโหโกรธาบุตรสาวที่ทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย
เขาไม่ทันได้คิดสิ่งใดมากมายก็วาดฝ่ามือหนาใหญ่กลางอากาศ สะบัดลงบนแก้มเนียนใส เสียงดังสนั่นลั่นโถงใหญ่
หยาดน้ำก่อเป็นม่านทันที ไม่คิดว่าบิดาจะลงไม้ลงมือกันเช่นนี้...
ท่านแม่...เหตุใดฟางหรูไร้วาสนานัก
5หนทางแก้ไขฝ่ามือเล็กกุมแก้มเนียนของตนเองไว้มือสั่นเทาไม่คลาย แววตาวูบไหว ความรู้สึกในอกสั่นระคนเสียใจ นางรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้ตนเองมีความผิด แต่หากบิดามีใจเมตตาสักน้อยก็ควรฟังนางเสียหน่อยเดิมทีคิดอยากแก้ตัวแต่เห็นเช่นนี้มิสู้เงียบไว้ ถูกลงโทษให้สาสมไปเลยดีกว่า“ท่านพ่อ พี่สาวมิได้ตั้งใจท่านอย่าโกรธไปเลย” หญิงสาวที่มาใหม่กล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ห้ามปรามบิดากลาย ๆ ไม่ให้เอาโทษพี่สาว เหลียงฟางหรงเป็นเช่นนี้เสมอนางมักวางแผนให้เหลียงฟางหรูถูกบิดามารดาเอาโทษ สุดท้ายจึงแสร้งมาขอร้องอ้อนวอนให้บรรเทาโทษเพราะเป็นเช่นนี้เหลียงฟางหรูจึงไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมน้องสาว ยังหลงคิดว่านางเป็นสตรีจิตใจดีแต่ซุกซนอยู่เสมอก็เท่านั้น“ฟางหรงเจ้าไม่ต้องพูดแทนนาง มีสตรีใดในเมืองบ้างที่ยังไม่ออกเรือนแต่อยู่นอกจวนทั้งคืนดั่งนาง”“พี่สาวสำนึกแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ อย่าได้เอาเรื่องอีกเลย ลงโทษก็ลงโทษไปแล้ว” หญิงสาวกล่าวจบผินไปหน้า
6หนี“ท่านแม่ เหตุใดนางจึงโชคดีเช่นนี้กัน” เหลียงฟางหรงกล่าวกับมารดาหลังได้ยินเรื่องราวก่อนนี้จากมารดา นางเกลียดพี่สาวต่างมารดาไม่อยากเห็นนางได้ดี หากนางแต่งออกก็อยากให้แต่งกับบุรุษไร้อำนาจ ไร้สามารถ เสเพลด้วยยิ่งดีแต่นี่นางกลับได้รับการสู่ขอจากอำมาตย์ที่มีอำนาจมากกว่าบิดาเสียอีก นางยังต้องเรียกสตรีผู้นั้นว่าฮูหยินสิบเอ็ด เป็นการยกฐานะนางขึ้นมาจากเดิมและไม่แน่นางงดงามเพียงนี้ หากอำมาตย์ฮุยรักใคร่นางมากกว่าฮูหยินคนอื่น วาสนานางมิยิ่งกว่าพระชายาหรอกหรือ“ก็ดีกว่าผู้ที่ต้องแต่งเป็นลูกแม่มิใช่หรือ” ใบหน้าของหญิงสาวหงิกงอ มารดากล่าวจบก็อดยกมือลูบไล้แก้มเนียนอย่างเอ็นดูไม่ได้ เหลียงฟางหรงสะบัดหน้ามองมารดาคิ้วขมวดมุ่นมิสู้ให้นางแต่งเองเสียยังดีกว่าสำหรับนางหากต้องออกเรือนย่อมต้องออกกับผู้มีอำนาจเงินทอง มิเช่นนั้นไม่ออกเสียยังดีกว่า แต่เมื่อบิดารั
7โจรป่าเหลียงฟางหรงช่วยวางแผนให้พี่สาวหอบสมบัติหนีออกจากจวนก่อนวันที่จะมีเกี้ยวจากตระกูลฮุยมารับ เช่นนี้เหลียงฟางหรูก็ไม่ต้องเข้าเป็นฮูหยินสิบเอ็ดอีกแล้วอากาศยังคงร้อนอบอ้าวทั้งที่อีกไม่กี่เค่อพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว เหลียงฟางหรูผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่ได้มาจากน้องสาว อาภรณ์นี้เป็นของบุรุษหากนางออกจากจวนด้วยอาภรณ์สตรีเกรงว่าจะไปได้ไม่ไกลก็ถูกจับกลับมา“ซ่วนซ่วน เจ้าไปยกสำรับมาที” เหลียงฟางหรงกล่าวกับสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง พลางใช้สายตากดดันนางตรง ๆ สาวใช้รับรู้ท่าทีกดดันจึงพยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปทางครัวโอกาสนี้ดียิ่งนัก เพื่อที่จะได้ออกไปโดยไม่มีผู้ใดเห็น เสียงฝีเท้าลับไป หญิงสาวทั้งสองภายในห้องจึงมองหน้ากันพยักหน้าเตรียมตัวดำเนินการตามแผน“พี่ฟางหรู พี่ต้องหนีให้พ้นนะ ข้าขอโทษที่ช่วยพี่ได้เพียงเท่านี้” หญิงสาวกล่าว
8หลบหนีห้องนอนกลางเก่ากลางใหม่คือสิ่งแรกที่นางเห็นหลังลืมตาตื่นขึ้น เมื่อวานนางถูกทำให้สลบไปหลังจากพยายามดิ้นรนอยู่นาน จำได้เพียงพวกเขาพานางไปทางถนนอวิ๋นซานทิศประจิมนั่นคือเขตที่มีสิ่งของนอกกฎหมายมากที่สุดผ่านทั้งเนินเขา ลำธารแถบชายป่านางรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน เวลาเดินทางคงมากกว่าสามชั่วยาม เหลียงฟางหรูมองสำรวจไปทั่วห้อง หากยังอยู่ที่นี่ต่อก็คงไม่แคล้วต้องเป็นเมียโจร นางจำเป็นต้องหาทางหนี หนีจากที่ที่ไม่คุ้นเคย ซ้ำยังไม่รู้ว่าต้องหนีไปที่ใดอีกเหลียงฟางหรูรีบแสร้งนอนหลับต่อไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหน้าห้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยเข้าจมูกทำให้ร่างกายนางตอบรับสิ่งนั้น“หากเจ้าตื่นแล้วก็กินนี่เสีย ข้าไม่ใช่บ่าวของเจ้า” แป้งย่างที่ติดตัวมานอกจากไม่ได้กินยังหายไปแล้ว ไม่รู้ว่านางหลับไปนานเพียงใดร่างกายจึงหิวโหยเพียงนี้ เหลียงฟางหรูหยัดกายลุกขึ้นนั่งมองหญิงสา
9ได้พบพานอีกคราชายหนุ่มนัยน์ตาเฟิ่งหวงลึกล้ำดำสนิทมองจ้องไปยังต้นไม้นอกหน้าต่าง ขณะกำลังเอนกายพิงตั่งไม้แดงอยู่ในห้อง หวนคำนึงถึงโฉมสะคราญที่เคยรวมเตียงเมื่อวันวานเหตุใดนางจึงรีบหนีไปเสียก่อนยังไม่ได้เอ่ยถ้อยคำต่อกันแม้แต่น้อย ชื่อแซ่ก็มิได้บอกไว้มีเพียงแหวนหยกสีชาดของเขาที่ติดตัวนางไปด้วย ไม่รู้ว่าจนป่านนี้นางถูกต่อว่าลงโทษแล้วหรือไม่ ให้คนสืบข่าวก็ยังไม่ได้เรื่อง“คุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงเบา เกรงว่าจะขัดอารมณ์อีกฝ่าย ผู้ถูกเรียกผินหน้ามองเชื่องช้าไร้อารมณ์บนใบหน้า จากนั้นพยักหน้าคล้ายอนุญาตให้รายงานต้าซานเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรายงานเรื่องราวบางอย่างแก่เจ้าของเรือนสุราใต้เชิงเขาเทียนกวางที่สูงละลิ่วแห่งนี้ “พบแม่นางผู้นั้นแล้วขอรับ”ร่างสูงโปร่งงดงามสลักเสลาผุดลุกจากตั่งไม้แดงเร็วรี่เมื่อได้ยินสิ
10เรื่องเป็นเช่นนี้“กินสิ หรือยังอยากตายอยู่” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยแกมหยอกล้อทำผู้ฟังขมวดคิ้ว นางกับเขาจะว่ารู้จักก็ไม่รู้จักเหตุใดจึงกล่าวเย้าหยอกนางเช่นนี้ ชั่งใจอยู่สักครู่จึงอ้าปากดื่มยาที่เขาป้อน จากนั้นยื่นมือไปรับถ้วยยามาดื่มเอง“มีอะไรจะถามหรือ”“คุณชายเรื่องวันนั้น”“จำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วันนั้นเจ้าถูกวางยาปลุกกำหนัดทำให้มีความใคร่ในตัวบุรุษ” เพ่ยเลี่ยงหลินกล่าวราบเรียบ ยังสังเกตท่าทีของนางอยู่เสมอ หลังได้ยินคำพูดเมื่อครู่คิ้วเรียวก็ขมวดกันแน่นสนิทเพราะเหตุใดเล่าเหตุใดนางจึงถูกยาเช่นนั้นได้ ในเมื่อนางไม่ได้แตะต้องสิ่งใดเลย นอกเสียจาก...ชาถ้วยนั้น แต่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน“สงสัยผู้ใดหรือไม่” เห็นใบหน้างดงามอยู่ในห้วงความคิดจึงสงสัยว่านางอาจรู้ว่าได้รับยา
11เบื้องหลังตระกูลเหลียง“มู่หรง เป็นอย่างไรบ้าง” หลังกลับมาที่ห้องตนเองเพ่ยเลี่ยงหลินก็เรียกหาองครักษ์ประจำองค์ เขามู่หรงไปสืบข่าวเรื่องของเหลียงฟางหรูเพิ่ม เขาไม่ได้ถามนางเรื่องยาปลุกกำหนัด แต่ไม่มีทางที่เขาจะไม่อยากรู้ว่าเหตุใดสตรีที่ไม่เคยออกจากจวนอย่างนางถึงถูกยาเช่นนี้ได้มู่หรงประสานมือย่อกายชันเข่าขึ้นข้างหนึ่ง มองหน้าเพ่ยซื่อจื่อสักครู่ เรื่องที่เขาได้ความมาฟังดูแปลกประหลาดจึงไม่รู้ว่าจะบอกเล่าดีหรือไม่ “ไม่ต้องมากพิธี รีบรายงาน”“คุณหนูเหลียงเป็นบุตรสาวคนโตของเหลียงซ่างซูจริงขอรับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยออกจากจวนจนล่วงเลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากจวน มีผู้คนเล่าลือกันว่าเหลียงซ่างซูไม่โปรดบุตรสาวผู้นี้เพราะมารดานางคบชู้ นางอาจไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของเหลียงซ่างซู”“เช่นนี้ก็แปลกนัก หากนางมิใช่บุตรสาวเหตุใดยังเก็บ
13คืนให้ข้าเถอะใกล้เข้าสู่สารทฤดูช่างเหมาะแก่การหมักสุราเป็นอย่างยิ่ง เรือนสุราแห่งนี้เดิมทีเพ่ยเลี่ยงหลินใช้สำหรับพักผ่อน และซ้อนเร้นตนเองจากสิ่งวุ่นวาย เขามักใช้เวลาหมักบ่มสุราอยู่ใต้เขาเทียนกวางแห่งนื้ยามพบเจอสถานที่แห่งนี้ หลังเรือนสุรามีแอ่งน้ำขนาดเล็กรสชาติดี หลังจากนั้นจึงให้คนสร้างเรือนพักผ่อนบดบังแอ่งน้ำนั้นไว้สำหรับหมักสุรา“คุณชาย เตรียมของเสร็จแล้วขอรับ” ต้าซานรายงานผู้เป็นนายขณะอีกฝ่ายนั่งมองม่านหน้าต่างสีน้ำทะเลของเรือนพัก ม่านของทั่วเรือนสุราแห่งนี้เป็นเหลียงฟางหรูที่ใช้เวลาว่างเย็บปักเองทั้งนั้นที่น่าแปลกใจคือม่านและผ้าทุกผืนลวดมีลวดลายไม่ต่างกันมากนัก ลวดลายทุกผืนล้วนเกี่ยวข้องกับต้นบ๊วยชายหนุ่มพยักหน้าแล้วหันมองบ่าวคนสนิท จากนั้นจึงเดินตามต้าซานไปยังลานกลางเรือน บริเวณกลางเรือนมีไหสุรา วัตถุดิบอื่นวางเรียงรายอย
26เริ่มต้นอีกครา ม่านฟ้าถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองรำไรยามเย็น หญิงสาวหลือบมองสตรีทั้งสองที่อยู่อีกฝั่งของต้นบ๊วย ไม่ต้องคิดหรือทบทวนสิ่งใดมากมาย เพราะนางจำทุกสิ่งได้เป็นอย่างดี ราวกับยังวนเวียนอยู่ในเหตุการณ์นั้นซ้ำไปซ้ำมานั่งอยู่ใต้ต้นบ๊วยฟังสองแม่ลูกสนทนากันเรื่องออกจากจวนไปเที่ยวเทศกาลซีซี ร่วมชมงานประชันเย็บปักที่โรงเตี้ยมเหอชง ทุกประโยคล้วนแต่เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน เหลียงฟางหรูเอนกายพิงโคนต้นบ๊วยนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกครึ่งชั่วยามระหว่างนี้ก็ทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ในครั้งก่อน นางกล่าวไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องเอาคืน แต่นางมิใช่คนฉลาดเท่าใดนักไม่เช่นนั้นคงไม่ตายอย่างอนาถทั้งที่กล่าวว่าอยากแก้แค้น แต่พอรู้ว่าตนเองยังไม่ตายสิ่งแรกที่คิดถึงกลับเป็นใบหน้าหมดจดหล่อเหลาของเพ่ยเลี่ยงหลิน ครั้งก่อนเพราะนางเขาจึงต้องจบชีวิตไปพร้อมกันโอกาสที่ได้มาในครานี้นางไม่อยากดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง นางไม่รู้ว่าด้วยความสามารถตนเองจะทำเรื่องนี้สำเร็จหรือไม่ แต่ขอเพียง
25ความต้องการสุดท้าย หิมะแรกที่ตกในวันนี้ฟ้าดินคงตั้งใจเยาะเย้ยความโง่ของนาง อากาศหนาวเหน็บทำให้ร่างกายที่ไม่ได้ขยับไปไหนเย็นยะเยียบ ปลายมือปลายเท้าชาไร้ความรู้สึก ร่างกายแทบทุกส่วนไม่มีความรู้สึกใดราวกับมันกำลังดับสิ้น สูญสลายแต่หัวใจนางกลับเจ็บปวดรวดร้าว คล้ายกับมีผู้ใดใช้มีดแทงเข้ามาช้า ๆ จากนั้นดึงออกพร้อมกับเฉือนเนื้อออกมาทีละน้อย เจ็บปวดยากจะอธิบายได้ชายคนรักนอนนิ่งอยู่ไม่ห่างกายนาง ทั้งสองไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก หิมะยังคงตกหนัก สายลมหอบนำความเย็นมาห่มร่างทำให้ร่างกายที่สูญเสียเลือดไปมากยิ่งสั่นสะท้าน ลมหายใจใกล้หมดลงในทุกขณะนางไม่เคยทำผิดกับผู้ใด เว้นเพียงเพ่ยเลี่ยงหลินที่นางต้องรู้สึกผิด เขาช่วยเหลือนางสารพัดสิ่งแต่นางกลับพาเขามาตายที่นี่ ผู้ที่ทำให้ตายกลับรอดชีวิตไปได้ โลกนี้มีความยุติธรรมอยู่ที่ใดกัน“หึหึ” น่าขันสิ้นดี นางไม่เคยทำผู้ใดเดือดร้อนแต่สุดท้ายกลับพบชะตากรรมเช่นนี้ หญิงสาวหัวเราะแผ่วเบาน้ำเสียงแหบพร่า
24ความจริงทั้งหมด หลังคิดว่าเหลียงฟางหรูอาจไปที่ค่ายโจร เพ่ยเลี่ยงหลินก็มิได้รอช้า เร่งพาคนและกำลังของตนเองขึ้นไปบนเขาตามที่นางเคยบอกเอาไว้ ที่ทางการไม่ยอมปราบปรามโจรป่าเพราะไม่รู้ที่ตั้งค่ายแน่ชัด แต่ยามนี้แม้ไม่ชัดก็ต้องต้องไปเขาตามหาที่ตั้งค่ายกันอยู่นานก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ กระทั่งทหารคนหนึ่งพบกิ่งต้นบ๊วย ถูกปักไว้บนพื้น ราวกับมีคนตั้งใจทิ้งมันไว้ แค่รู้ว่าเป็นดอกบ๊วยเพ่ยเลี่ยงหลินก็คิดได้ในทันทีว่าเป็นเหลียงฟางหรูเขาให้ทหารทั้งหมดตามกิ่งดอกบ๊วย ผ่านช่องเขา ผาหินซับซ้อนในที่สุดก็มาถึงค่ายโจร เพ่ยซื่อจื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนจากด้านข้างของค่ายโจร เร่งรุดตามไปด้วยความร้อนใจ อธิษฐานต่อทุกสิ่งขอให้นางปลอดภัยไร้อันตายแต่ดูเหมือนคำอธิษฐานของเขาจะไร้ผล ภาพหญิงสาวร่างกายบอบบางที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น ลมหายใจรวยริน ทำให้เขาหายใจไม่ออก เวียนหัวไปชั่วขณะ กระโดดลงจากหลังม้าด้วยมือไม้เยียบเย็น หากเขาคิดการรอบคอบกว่านี้นางคงไม่ต้องบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ บ
23แอบช่วยเหลือ นางจำผู้ใดไม่ได้เลย ทว่าเมื่อได้ยินเขากล่าวถึงจวนเหลียง ภาพความทรงจำมากมายก็แวบผ่านไปผ่านมาไม่หยุดหย่อน ราวกับมันกำลังกลับเข้าที่เข้าทาง สุดท้ายนางก็จำเรื่องราวทั้งหมดได้แล้วจำได้ว่าน้องสาวต่างมารดาเป็นห่วงช่วยเหลือนางอย่างไรบ้าง จึงรวบรวมความกล้าหนีออกจากเรือนสุรายามหยิน เพื่อไปช่วยน้องสาวต่างมารดาเหลียงฟางหรงที่ค่ายโจร ซึ่งนางเคยถูกจับไปขังมาก่อน ยังพอจำได้ลาง ๆเรือนสุราอยู่ที่ร่องเขาเทียนกวาง ค่ายโจรอยู่ยอดเขาใช้เวลาเดินเท้าจากร่องเขาไปยอดเขาสองชั่วยาม หากใช้เส้นทางเดียวกับที่โจรใช้หนึ่งชั่วยามก็มาถึงทางเล็กหน้าค่ายเหลียงฟางหรูก้มตัวอยู่หลังพุ่มไม้สูงกวาดสายตามองฝ่าความมืดเข้าไปในค่าย หาที่ ๆ นางเคยถูกกักขัง ค่ายโจรที่นางกลับมาครานี้ดูใหญ่กว่าก่อนไม่น้อยเลย ระหว่างนี้พวกโจรคงไปปล้นสะดมชาวบ้านมาอีกแล้วแต่เหตุใดค่ายโจรใหญ่โตกลับเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง นางนั่งรออยู่ที่เดิมถึงสองเค่อรอให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่
22หายตัวไป “ว่ามา” ร่างสูงโปร่งยืนนิ่งอยู่กลางห้องหนังสือภายในเรือนสุรา เมื่อมู่หรงหยุดฝีเท้าเขาจึงเอ่ยถามข่าวสารนั้น เดิมทีให้คนตามสืบเพราะอยากรู้ข่าวของเหลียงฟางหรูแต่ยามนี้นางไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาไม่อยากรู้ทว่าก็ยังสงสัยว่าเรื่องนี้มันเร่งด่วนอย่างไร คนของเขาจึงเร่งส่งข่าวมา“เรียนซื่อจื่อ สายของเรารายงานว่าเหลียงฮูหยินและคุณหนูรองออกไปร่วมงานสักการะ แต่ถูกดักปล้นระหว่างทางคุณหนูรองเหลียงฟางหรงถูกโจรพาตัวไปขอรับ”“แล้วอย่างไร”“คนของเราคงคิดว่าซื่อจื่ออยากตามสืบตระกูลเหลียงจึงส่งข่าว” เพ่ยเลี่ยงหลินกล่าวถ้อยคำราบเรียบไม่ใส่ใจ เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเหลียงฟางหรูจึงเดินออกไปรับหญิงสาวไปเดินเล่นด้านหลังเรือนสมุนไพร“ไปเลยดีหรือไม่” เหลียงฟางหรูหันกลับมามองผู้ถาม เขายืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้เร่งรีบหรือแสดงอารมณ์อื่น เขามองมายังนางที่นั่งอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง หญิงสาวพยักหน้ายิ้มบางเบา ลุกขึ้นยืนว
21ข่าวจวนเหลียง รถเทียมม้าคันเล็กไม่โอ่อ่ามุ่งหน้าสู่ถนนฟูหลิงแม้เร่งรีบเพียงใดก็มิอาจมองข้ามความปลอดภัยได้ เพ่ยเลี่ยงหลินจำต้องเปลี่ยนชุดแทนที่รถเทียมม้าด้วยม้าเร็วไม่นานนักม้าเร็วก็มาถึงชานเมือง พร้อมด้วยองครักษ์และคนสนิท แม้ใบหน้าจะยังราบเรียบไร้อารมณ์แต่หัวกลับเต็มไปด้วยคำพูดมากมาย คิดมาตลอดทางว่าหากพบหน้านางจะพูดสิ่งใดก่อนดีเรื่องที่ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ หลังพบว่านางตั้งครรภ์เขาไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ผู้ใดมีเพียงเมิ่งสือซานเท่านั้นที่รู้ เกรงว่านางจะตื่นตกใจจนรับเรื่องนี้ไม่ได้อาชาบึกบึนตัวดำทะมึนราวสีหมึกหยุดฝีเท้าลงเมื่อถึงบริเวณลานพักม้าของเรือนสุรา ดีที่ม้าของเขาเป็นม้าศึกชั้นยอดไม่อย่างนั้นข่มม้าวิ่งมาไกลเช่นนี้ ม้าคงได้เป็นลมตายไปหลายตัวเลย“คารวะซื่อจื่อ” หมาจื่อที่กำลังให้อาหารม้าอยู่ตรงลานพัก วางสิ่งของในมือลงประสานมือคำนับผู้เป็นนาย ไม่ทันคิดว่าส่งสารไปเพียงวันเดียวซื่อจื่อก็มาถึงเรือนสมุนไพรแห่งนี้เสียแล้ว
20 ลืมทุกสิ่งเสียสิ้น “คุณหนู จำเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่เจ้าคะ” ผู้ถูกถามไม่ได้ตอบแต่ยังคงมองหน้าคนถามนิ่ง ๆ พิจารณาอยู่นานราวกับกำลังจัดเรียงความทรงจำทั้งหมดในยามไม่ได้สติ ครุ่นคิดเรื่องราวก่อนนี้อยู่นานนางก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบาพลางส่ายหน้าปฏิเสธคำถามเมื่อครู่ของเสี่ยวไป๋ นางจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่น้อย จำไม่ได้กระทั่งว่าที่นี่คือที่ใด เด็กสาวตรงหน้าเป็นอะไรกับตนเอง นางลืมทุกสิ่งเสียสิ้น เสี่ยวไป๋เบิกตาโพลงจ้องมองหญิงสาวบนเตียง ไม่คิดว่าเหลียงฟางหรูจะอาการแย่นัก สองสามเดือนนี้นางใช้ชีวิตเหมือนหญิงสาวทั่วไปได้เพียงสิบกว่าวันเท่านั้น “ที่นี่ที่ใดกัน เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” หญิงสาวบนเตียงเอ่ยถามน้ำเสียงเลื่อนลอย สายตาไม่ได้จดจ้องสิ่งใดเพียงไล่มองไปเรื่อยเปื่อย จะกล่าวว่าไม่คุ้นชินกับที่นี่ก็มิใช่เช่นนั้น หากบอกรู้จักก็มิใช่ “คุณหนูท่านรอที่นี่ เสี่ยวไป๋จะตามหมอเมิ่งเด
19ชีพจรแผ่วเบา “นางเป็นอย่างไร” เมื่อหมอเดินออกมาจากกระโจมแม่ทัพ เพ่ยซื่อจื่อก็รีบปรี่เข้าไปถามอาการของนาง จากนั้นจึงโบกมือให้เสี่ยวไป๋ข้าไปดูแลนาง ส่วนตนเองพูดคุยกับหมอและเจ้าของกระโจมอยู่ด้านนอก“เรียนซื่อจื่อ นางตกใจมากจึงหมดสติไปเกรงว่าอาจได้รับความกระทบกระเทือนหนัก เมื่อฟื้นขึ้นมาอาจจะยังคงมีอาการเพ้อบ้าง”“รักษาได้หรือไม่” เขาถามหมอในค่ายอย่างร้อนรน นางประสบแต่เคราะห์ร้ายเมื่อเขาไม่อยู่ และเขาเองก็ไม่สามารถอยู่กับนางได้ตลอดจึงยิ่งร้อนใจ หลังกลับจากค่ายเฉิงเชียงเขาต้องไปรับโทษยังวังอ๋องที่ขัดราชโองการ ซ้ำยังบุกรุกค่ายรักษาเมืองเช่นนี้“อาจต้องใช้เวลานาน มีสิ่งหนึ่งที่กระหม่อมไม่รู้ควรพูดดีหรือไม่” ผู้เป็นหมอกล่าวติดขัด เมื่อครู่เขาได้ตรวจอาการนางพบเรื่องแปลกที่ยังไม่อาจสรุปได้หนึ่งอย่าง จึงไม่มั่นใจว่าควรกราบทูลในยามนี้หรือไม่เพ่ยซื่อจื่อขมวดคิ้วแน่นนึกโมโหอยู่ไม่น้อยที่บุรุษตรงหน้าคิดเองไม่ได้ว่าสิ่งใดสำคัญหรือไม่สำคัญ ทั้งที่ตนเองก
18บุกค่ายเฉิงเชียง ต้าซานกับมู่หรงยังประมือกับทหารหน้าค่าย ยามนี้ท่ามกลางทหารจึงมีเพียงซื่อจื่อยืนอยู่ ปอยผมหลุดร่วงจากมวยผมกลางศีรษะ หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างหนัก เขาเดินทางไกลม้าพักแต่คนไม่ เขากระวนกระวายไม่ได้ดื่มกระทั่งน้ำเปล่า“เพ่ยเลี่ยงหลิงเจ้าอยู่ที่ใด ออกมาเดี๋ยวนี้” เพ่ยซื่อจื่อตะโกนก้องเรียกชื่อแม่ทัพประจำค่าย ทหารรอบข้างเริ่มหันมองกันแม้ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ใด แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอาจหาญมากถึงกับเอ่ยชื่อแม่ทัยค่ายเฉิงเชียงตรง ๆ เช่นนี้ เขาก็คงมิใช่สามัญชนธรรมดาเป็นแน่ไม่นานม่านกระโจมก็ถูกเลิกขึ้น ร่างสูงโปร่งในชุดเกราะสีดำทมิฬก้าวเท้าออกมาใบหน้าหล่อเหลา แม้จะเรียบเฉยแต่กลับแฝงแววตาขบขันอยู่ไม่น้อย“ข้ายังนึกว่าผู้ใดกันกล้าเอ่ยชื่อข้าตรง ๆ เช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเพ่ยซื่อจื่อ” น้ำเสียงไม่จริงจังกล่าวพร้อมกับเดินมาหยุดยืนตรงหน้า ทหารโดยรอบรีบลดดาบและทวนลง เมื่อรู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่กลางวงล้อมคือเพ่ยเลี่ยงหลินซื่อจื่อแห่งแคว้นจิ้ง พี่ชายแท้ ๆ แม้จะต่าง