3
ช้าไปเสียแล้ว
ใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุรา
ชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อย
เดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีก
หญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้
เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...
“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตามถามขึ้นขณะเห็นเขาวางหญิงสาวที่ซุกซนลงบนตั่งนุ่ม ถัดจากหลังโรงสุรามีอาคารไม้ชั้นเดียวตั้งอยู่ ชายหนุ่มพานางไปยังอาคารไม้ ทั้งที่รู้ว่ามิควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายแต่พอเห็นอาการของนางแล้วก็อดหวงไม่ได้
“เอาน้ำเย็นมาที”
“คุณชายท่านไม่มีเวลาแล้วนะขอรับ” ผู้ติดตามตอบกลับสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พรุ่งนี้คุณชายของเขายังมีกิจสำคัญหากไม่เร่งเดินทางตอนนี้ เกรงว่าจะไม่ทันกาล แต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยถามเท่านั้น
“คืนนี้จึงเร่งเดินทาง นางถูกยาปลุกกำหนัดหากไม่แช่ร่างกายด้วยน้ำเย็น ยากจะถอนได้ เจ้าไปเถอะ” ต้าซานรีบค้อมตัวรับคำมุ่งหน้าออกจากห้องพัก คุณชายของเขาแม้ภายนอกจะดูดุดันเย็นชาแต่กลับมาจิตใจดี เห็นเช่นนี้แล้วไม่ช่วยคงยากนัก
อาคารนี้ไม่ค่อยได้ใช้งานจึงมิได้ตระเตรียมข้าวของไว้ ต้าซานจำต้องออกจากอาคารไปยังหอสุรา หาสิ่งที่คุณชายต้องการ สตรีผู้นั้นก็น่าสงสารยิ่งนักถูกวางยาปลุกกำหนัดในที่เช่นนี้ คนทำต้องต่ำช้าเพียงใดกัน
“คุณชายโอบกอดข้าได้หรือไม่” แขนเรียวเล็กพยายามจะเกี่ยวโน้มคอเขาลงมาจุมพิต พยายามกอดรัดร่างกายสูงโปร่งของเขาอยู่ตลอด ชายหนุ่มรัดนางไว้ด้วยแขนข้างเดียว สงบใจอย่างถึงที่สุดอดทนหลับตาพยายามนับไหสุราในเรือนสุราของตน ไม่ให้จิตใจนึกถึงการยั่วเย้าของนาง
ริมฝีปากสวยพร่ำถามเขาอยู่หลายคำ จากที่นับไหเหล้าบัดนี้ในหัวกลับเปลี่ยนไปนับคำพูดนางตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ “ข้าไม่งดงามหรือ เหตุใดคุณชายจึงเมินเฉยต่อข้า” นางกล่าวเช่นนี้จนเขานับไม่ได้ว่านางกล่าวทั้งหมดกี่ครั้ง
นัยน์ตาสีรัตติกาลจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสุกใสราวดวงดาราประดับท้องนภายามราตรี จดจ้องเนิ่นนาน ใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักคล้ายถูกดึงดึงจึงโน้มใกล้ขึ้น จนทั้งสองสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกัน
หญิงสาวไม่อาจทนความรุ่มร้อนภายในได้ สะบัดตัวจากการรัดเกี่ยวของเขา สองมือโน้มใบหน้าเขาลงมาเริ่มจุมพิตเขาเอง คราแรกกร่นด่าผู้ติดตามว่าเหตุใดจึงเชื่องช้าเช่นนี้
แต่เมื่อริมฝีปากบางนุ่มแตะลงบนปากตนก็มิอาจทนความวาบหวามในใจได้อีกต่อไป ลืมเสียสิ้นว่ากำลังรั้งรอคนสนิทอยู่
ชายหนุ่มมิได้ต่อต้านแล้ว ซ้ำยังโอนอ่อนผ่อนตามความไร้เดียงสาของนางด้วยความชอบใจ สองมือยกขึ้นมาประคองใบหน้าสวยเอียงคอมอบสัมผัสหวานละมุนให้นางด้วยตนเอง
เพียงจุมพิตเดียวไม่อาจช่วยนางพ้นพิษผงปลุกกำหนัดได้ ร่างกายเล็กบดเบียดตนเองเข้าไปใกล้ชิดเขา ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามความต้องการของร่างกาย
ชายหนุ่มคล้ายกับได้สติพยายามดันนางออกแต่ออกแรงมากไปทำให้เสื้อคลุมเก่าบางปริออก หญิงใช้สองมือกระชากเสื้อคลุมสีขาวซีดของตนเองออก เหลือเพียงไหล่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นผิวเนียนขาวเทียบหิมะโปรย
บุรุษตรงหน้ากลืนน้ำลายอีกหนึ่งคำขณะสายตาจ้องมองเนินหน้าอกหญิงสาว คล้ายต้องมนตร์มิอาจทอดถอนสายตาจากไปได้
“ได้โปรดเชยชมข้า” สุรเสียงหวานใสกล่าวอีกครา หัวใจที่เยียบเย็นเป็นน้ำแข็งของเขาก็พลันมลายกลายเป็นหยดน้ำ ริมฝีปากเขาประทับลงบนไหล่เปล่าเปลือยนั้นแผ่วเบา จมูกสูดดมกลิ่นกายสาว
“ข้าหวังว่าเมื่อตื่นแล้วเจ้าจะยังจำได้”
ยั่วเย้ากันถึงเพียงนี้บุรุษใดจนทานทน เขาเองมิใช่อรหันต์จะได้ไม่รู้สึกรู้สากับกายสาวเช่นนี้ หากจะโทษผู้ใดโทษต้าซานแล้วกันที่เชื่องช้าเช่นนี้
ต้าซานวิ่งหอบอ่างไม้ใบใหญ่มาอย่างทุลักทุเล ขณะกำลังวางอ่างไม้ก็ตั้งใจใช้มือดันประตูแต่ได้ยินเสียงแว่วมาจากด้านใน ชายหนุ่มพลันหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู หันหลังให้ประตูห้องแล้วพุ่งออกไปนอกอาคาร
หากเป็นเช่นนี้ทำได้เพียงแค่เฝ้าอยู่หน้าอาคารนี่กระมัง คุณชายนะคุณชาย รออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป เหตุใดต้องใช้ร่างกายตนเองแก้พิษยาปลุกกำหนัดให้นางกันเล่า...
ครึ่งชั่วยามผ่านไปต้าซานก็ถูกเรียกไปพบในห้องพัก ต้าซานเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทางเงียบสงบ แต่ใบหน้ากลับยังมีสีแดงจาง ๆ อยู่ คุณชายของเขาเป็นบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลา สาวรับใช้มีไม่ขาด หากจะเรียกมาอุ่นเตียงสักสองสามคนก็ไม่ผิดอันใด แต่กลับไม่เคยปรายตามองสตรีนางใดมาก่อน
“เลิกทำท่าทางเช่นนั้นเสียที”
“ขอรับซื่อจื่อ” ต้าซานกลั้นยิ้มแล้วยืดอกตัวตรงรอรับคำสั่งจากผู้เป็นนายของตนเอง เขาเหลือบมองหญิงสาวที่หลับใหลอยู่บนเตียง เห็นว่าผิวกายขาวเนียนโผล่พ้นผ้าคลุมกายจึงหันไปขยับผ้าปิดร่างกายนางเอาไว้
“ไปหาชุดสตรีมาไว้ให้นาง ทางที่ดีหาสาวรับใช้มาด้วยอีกคนให้ปรนนิบัตินางระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ให้มู่หรงเอาม้ามาที่นี่ ทุกสิ่งต้องเรียบร้อยก่อนยามโฉว่” เลี่ยงหลินซื่อจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ แม้ในใจจะรู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อยเพียงแต่การเป็นซื่อจื่อทำให้เขามีความสามารถเก็บความรู้สึกภายในได้ลึกล้ำกว่าผู้อื่นเท่านั้น
ต้าซานค้อมกายแล้วรีบจากไปทิ้งให้ซื่อจื่ออยู่กับสตรีที่ไม่รู้แม้แต่แซ่ตามลำพัง ชายหนุ่มเอนตัวลงนอนครู่หนึ่งก็พลิกตะแคงมองสำรวจใบหน้างดงามข้างกาย งุนงงกับเหตุการณ์ตอนนี้ไม่น้อยไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดเป็นเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
ถึงอย่างนั้นเขาก็มิได้คิดจะละทิ้งนางไปตั้งใจว่าจะรอให้นางตื่นแล้วค่อยพูดคุยกันเรื่องนี้...
แต่เขาคงจะคำนวณผิดพลาดไป เพราะเกือบสิ้นยามหยินแล้วนางก็ยังไม่ฟื้นจากการหลับใหล เรื่องที่เขาต้องไปกระทำเป็นเรื่องใหญ่มิอาจละทิ้งได้จึงจำใจทิ้งนางไว้ที่อาคารไม้ มีสาวใช้หนึ่งคนคอยดูแลอยู่
แต่รีบร้อนเพียงใดก็ยังทิ้งแหวนที่เป็นของต่างหน้าไว้ให้นางก่อนจากไป
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ