2
ร่วมประชันเย็บปัก
เสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลง
สายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วย
หญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่า
ญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”
“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต่างกับเด็กสาวผู้นี้ นางมีท่าทีเกรงอกเกรงใจไม่กล้าพูดไหว้วานหรือรบกวนผู้อื่น
“ใช่แล้ว รบกวนเถ้าแก่ด้วย” หญิงสาวตอบผู้อาวุโสกว่าด้วยท่าทีนอบน้อม ไม่มีวี่แว่วคุณหนูใหญ่ตระกูลเหลียงแม้แต่น้อย เพราะเกิดมาไม่มีบ่าวไพร่ให้เรียกใช้จึงไม่คุ้นเคยหากต้องสั่งผู้อื่นทำงาน
หญิงผู้นั้นพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะหลุบตามองผ้าปักในมือ ใช้ฝ่ามือลูบไล้บนผ้าเช็ดหน้าสีชมพูอ่อนผืนใหญ่ ฝีเข็มปราณีตงดงามระยะห่างของผ้าเนียนละเอียดไร้ที่ติ ลวดลายวิจิตร แม้แต่ตำหนิจากปมเส้นไหมสักที่ก็ไม่มีให้จับสังเกต
นางลูบไล้ผ้าเช็ดหน้าผืนงามสักครู่ก็เหลือบตามองหญิงสาวตรงหน้า ช่างเป็นฝีมืองานที่ยากยิ่งนัก นางยิ้มแล้วกล่าวกับเหลียงฟางหรู “คุณหนูท่านปักผ้านี้เองหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวได้ฟังคำถามก็เอียงคอมอง สิ่งแรกที่คิดมาได้คือ หรือผ้าปักนี้ใช้ไม่ได้ “ผ้าปักนี้ใช้ไม่ได้หรือ เช่นนั้นข้ายังมีผ้าปักอีกสองผืน เชิญเถ้าแก่เลือกเองได้เลย” ขณะกล่าวก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าอีกสองผืนในแขนเสื้อออกมาให้เถ้าแก่สตรีได้ยล
ดวงตาทั้งสองตรงหน้าเบิกกว้าง ไม่คิดว่าหญิงสาวอายุเท่านี้จะปักผ้าได้งดงามปราณีตเพียงนี้ เดิมทีนางคิดว่าเหลียงฟางหรูอาจเป็นดังคุณหนูหลายตระกูลที่ใช้สาวใช้ส่วนตัวปักผ้า ตนเองนำผ้านั้นมาร่วมแข่งขันด้วย
ดั่งคำกล่าวว่าผู้ใดได้รับเลือกให้ปักผ้าในโรงเตี้ยมถือว่าเป็นผู้มีฝีมือ เพรียบพร้อมเหมาะเป็นภรรยา เช่นนี้หลังจบงานเทศกาลก็จะมีแม่สื่อไปหาถึงหน้าจวน
“คุณหนูมีฝีมือยิ่งนัก เชิญคุณหนูรอก่อนหากปิดการรับเลือกแล้วจะมีผู้แจ้ง”
“รบกวนเถ้าแก่แล้ว” ริมฝีปากสวยได้รูปกล่าวอย่างอ่อนโยนพลางค้อมตัวเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ เดินเชื่องช้ากลับขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี้ยม ท่าทีสงบนิ่งมองแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลินสบายใจอย่างประหลาด ผู้ใดเห็นก็รู้สึกเช่นนั้นเว้นแต่สตรีสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
ทั้งสองมองท่าทางของเหลียงฟางหรูแล้วกร่นด่ารำพึงรำพันในใจถึงความเกลียดชังมากมาย ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกลียดนางด้วยเหตุผลใดกันแน่ ราวกับมันกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำเสียแล้ว
“พี่ฟางหรูดื่มชานี่เสียหน่อยเถิด ชาที่นี่รสดียิ่งนัก พี่อาจไม่เคยชิมมาก่อน” ถ้วยชาดินเผาเคลือบลวดลายงดงามถูกขยับให้เข้าใกล้นางมากยิ่งขึ้น อวลไอร้อนจากถ้วยชาตรงหน้าพวยพุ่งบดบังใบหน้างามจาง ๆ ผู้คนจากชั้นบนและล่าง บางมองแล้วหลบ บางมองจ้องอยู่เช่นนั้น
เหลียงฟางหรงเห็นเช่นนี้ยิ่งไม่ชอบใจเร่งเร้าให้พี่สาวต่างมารดาดื่มชาเสียจนน่าสงสัย แต่เหลียงฟางหรูไม่รับรู้เห็นน้องสาวตั้งใจดีก็ยกถ้วยชาดื่มครั้งเดียวจนหมดจอก
“รสดีอย่างน้องฟางหรงกล่าวจริง ๆ” กลิ่นหอมละมุน นุ่มลิ้นเป็นที่สุด รสชาติเช่นนี้นางมิเคยลิ้มลองดังน้องสาวว่า เกิดในตระกูลดีใช่ว่าวาสนานางจะดีตาม หญิงสาวสามัญชนยังมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านางเสียอีก นอกจากอาหมู่ที่เพิ่งตายไปเมื่อหกปีก่อนนางก็ไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายอีก
“พี่ฟางหรูข้าจะไปดูเครื่องประทินผิวที่ร้านฝั่งตรงข้ามเสียหน่อย พี่ยังต้องรอดูผลคัดเลือกใช่หรือไม่” เหลียงฟางหรงเห็นชาในถ้วยหมดไม่เหลือจึงกล่าวขึ้น กลัวว่าหากแผนการดำเนินไปแล้วตนยังอยู่ที่นี่อาจถูกมองว่าเป็นผู้กลั่นแกล้งเหลียงฟางหรู แม้สิ่งนั้นจะเป็นจริงแต่ก็ไม่อาจให้ผู้ใดล่วงรู้ได้
“เช่นนั้นพี่ไม่รอก็ได้ หากน้องฟางหรงอยากกลับเรากลับกันเถิด”
“ไม่ได้ พี่สาวนานทีพี่จะได้ออกมานอกจวน พี่รออยู่ที่นี่สักครู่เถอะ ข้ากับท่านแม่ไปครู่เดียว ยังมีเสี่ยวโหรวอยู่ที่นี่ พี่สาวไม่ต้องห่วง”
“เอาอย่างที่หรงเอ๋อร์ว่า เจ้าอยู่ที่นี่ พวกเราไปไม่นานร้านก็มิได้ไกลนัก กลัวอันใดกัน” ถีเยว่สือกล่าวเสียงเข้ม เสียงนี้ทำให้เหลียงฟางหรูไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาอีก แม้จะกังวลแต่ก็ยอมทำตามอีกฝ่ายว่าโดยง่าย พยักหน้าแผ่วเบา มองหญิงต่างวัยทั้งสองเดินลงจากชั้นสองของโรงเตี้ยมไป
แววตาสุกใสมองตามทั้งสองอย่างอาลัยจนลับสายตา ทั้งเกรงกลัว กังวล นางไม่เคยออกจากจวนบัดนี้ข้างกายมีเพียงสาวรับใช้ของน้องสาวจึงนึกกลัวอยู่ไม่น้อย
รอบใบหน้างดงามเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา อากาศร้อนแต่ไม่ร้อนพอให้เหงื่อซึมอาบทั้งร่างเช่นนี้ หญิงสาวหัวใจไหวพริ้วดังกิ่งหลิวลู่ลม ในท้องหวั่นไหวแปรปรวน บอกกล่าวไม่ถูก ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร
ยกกาชารินใส่ถ้วยครั้งแล้วครั้งเล่า ชาหมดกาก็มิอาจดับร้อนรุ่มของร่างกายได้ เหลียงฟางหรูล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อเม็ดใหญ่ตามใบหน้า ลำคอ เสียงภายในใจกรีดร้องหวีดหวิว ร่างกายต้องความเร่าร้อนจากกายกำยำของบุรุษ
เหลียงฟางหรูไม่รู้เหตุใดตนเองจึงเป็นเช่นนี้ มองไปตรงไหนก็มีแต่บุรุษเนื้อตัวกำยำ สองแขนโอบร่างตนเองไว้ลุกจากที่นั่งเร็วรี่ วิ่งลงบันไดชั้นสอง ไม่ต้องการอยู่ใกล้ผู้ใดเกรงว่าอีกไม่นานสติที่เริ่มพร่าเลือน จะสร้างเรื่องให้ตนเอง
“คุณหนูใหญ่จะไปไหนเจ้าคะ” น้ำเสียงเล็กเอ่ยอย่างตกใจที่คุณหนูใหญ่วิ่งหนีไปเช่นนี้ เสี่ยวโหรวร้องเรียกแล้ววิ่งตามออกไป โรงเตี้ยวผู้คนพลุกพล่านพอลงถึงชั้นล่างก็ชนผู้คนจนมองไม่ทันว่าเหลียงฟางหรูวิ่งไปทิศไหนแล้ว
สองเท้าวิ่งกระหืดกระหอบออกมาจากโรงเตี้ยม เหงื่อกาฬไหลท่วมร่างกาย ในหัวไม่มีสิ่งใดอยู่เลย นางไม่เคยมาที่นี่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดของตลาด ยามนี้มีสิ่งผิดปกติ สมควรพึ่งพิงคนข้างกายแต่บัดนี้ข้างกายไม่เหลือผู้ใดอยู่เลย
ขณะนางวิ่งออกมาก็วิ่งไปยังร้านเครื่องประดับแต่ไม่พบแม่รองและน้องสาวเลยนางจึงวิ่งกลับออกมา เพราะเรือนร่างอรชรใบหน้างดงามผุดผาดผู้คนจึงพากันเหลียวมองนางแทบทั้งถนน หากอยู่เช่นนี้คงโดดเด่นเกินไป ปลายหางตาสังเกตเห็นตรอกเล็กห่างจากโรงเตี้ยมไม่ไกล อีกทั้งผู้คนไม่พลุกพล่าน
ไม่รอช้าหญิงสาวรีบวิ่งหอบไปยังตรอกเล็ก ตั้งใจหลบลี้ผู้คน แต่นางคิดผิดเสียแล้ว ตรอกเล็กแห่งนี้เต็มไปด้วยบุรุษมากมาย บ้างนั่งบ้างนอน ท่อนบนเปลือยเปล่ากำยำ หญิงสาวทอดถอนหายใจกับสภาพตนเองในตอนนี้
หากยังอยู่ตรงนี้อีกเพียงเสี้ยวลมหายใจ มิอาจรับรู้ได้เลยว่านางจะทำสิ่งใดลงไปบ้าง ดวงตาสุกใสก่อม่านน้ำตาบางเบาขึ้นจากนั้นความคิดจิตใจของนางก็มิใช่ของนางอีกแล้ว...
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ