1
งานเทศกาล
แสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็น
สตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆ
เห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้
“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผู้เป็นพี่สาว เหลียงฟางหรงเป็นบุตรสาวสุดที่รักของถีเยว่สือนอกจากมารดารักใคร่ตามใจ แม้แต่บิดาก็เอ็นดูนางมากเช่นกัน ทั่วใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มเครื่องประทินผิวชั้นดี
สิ่งใดที่คุณหนูสกุลใหญ่มี น้องสาวนางล้วนมีทุกสิ่ง เหลียงฟางหรงเหลือบดวงตาประกายมองสำรวจเรือนร่างพี่สาว เห็นว่านางแต่งกายด้วยอาภรณ์เก่า ๆ ของมารดาที่ล่วงลับก็นึกขันขึ้นมา ชุดสีขาวซีดท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเขียวอ่อนดูก็รู้ว่ามันเก่ามากเพียงใด เหลียงฟางหรูไม่มีเงิน ไม่มีอาภรณ์ใหม่ให้สวมใส่ทำได้เพียงนำของ ๆ มารดามาใส่เท่านั้น
ประกายความไม่พอใจในดวงตาน้องสาวพลันหายไปรวดเร็วเมื่อเหลียงฟางหรูสบเข้า กระทั่งอยู่ในชุดเก่า ๆ เช่นนี้ยังมิอาจกลบรัศมีความงดงามของหญิงสาวได้เลย เพราะเหตุนี้เหลียงฟางหรงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นที่หนึ่ง จึงไม่พอใจพี่สาวต่างมารดาอยู่เสมอ...
“พี่เองก็มาได้ไม่นาน” เหลียงฟางหรูไม่เคยรับรู้จิตใจของบรรดาผู้คนในจวนนี้ เพราะนางมองทุกสิ่งด้วยหัวใจที่อบอุ่นและความดีงาม ความชั่วร้ายเลวทรามที่ถูกปกปิดจึงมิอาจมองเห็น นางตอบน้องสาวต่างมารดาด้วยรอยยิ้มใสซื่อ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของแม่รองรอยยิ้มใสซื่อแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความรู้สึกผิด
“เจ้าไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” นางคงทำให้แม่รองอับอายไม่น้อย หากสวมชุดเช่นนี้ออกไป แม้เป็นเช่นนั้นนางก็ไม่อาจทำสิ่งใดให้ดีกว่านี้ได้ ใบหน้าเรียวเล็กเริ่มมีเหงื่อซึมบ่งบอกว่านางคงรอที่นี่มานานแล้ว สองแม่ลูกหาได้สนใจเม็ดเหงื่อเม็ดโตตรงกรอบหน้าของเหลียงฟางหรู หญิงสาวประสานมือยอบตัวลงอีกครั้งขออภัยสตรีที่เริ่มสูงวัยตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด พลางกล่าวว่า “ขออภัยแม่รอง ฟางหรูไม่มีผ้าใหม่จึงได้แต่นำชุดของมารดามาสวมใส่”
“ช่างเถอะ สวมใส่ผ้าดีก็มิได้แปลว่าเป็นผู้ดี” ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยสะบัดเชิดไปอีกทาง ทั้งที่เหลียงฟางหรูกำลังคำนับนางอยู่ ใบหน้างดงามเจือนลงถนัดตา รับรู้ได้ว่าแม่รองไม่พอใจสิ่งที่นางกระทำ จึงไม่เอ่ยสิ่งได้ขึ้นมาให้ถีเยว่สือรำคาญใจอีก นางชินเสียแล้วกับการต้องใช้ชีวิตด้วยการสังเกตสีหน้าผู้อื่นเช่นนี้ หญิงมีอายุหันไปแตะแขนเรียวเร่งบุตรสาวให้ออกจากจวน เกรงว่าหากนานกว่านี้จะไม่ทันกาลเสียเปล่า
“อย่างนั้นไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันงาน”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หญิงสาวทั้งสองยอบกายรับคำแล้วเดินตามถีเยว่สือออกจากจวนไป นางเดินนำดรุณีน้อยทั้งสองไปหน้าจวนพอถึงหน้าจวนก็เร่งพากันขึ้นรถเทียมม้าไปยังถนนฟูหลิง ถนนฟูหลิงเป็นตลาดฝั่งบูรพาที่คึกครื้นที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะมีงานเทศกาลใด ที่นี่ก็มีผู้คนพลุกพล่านเสมอหากไม่อยู่ด้วยกันตลอดเกรงว่าคงพลัดหลงกันได้ง่าย
แต่เหลียงฟางหรูไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น...
สองข้างทางประดับโคมไฟตัวอ้วนสีแดงมากมาย ด้านในมีเปลวไฟจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง แคว้นจิ้งไม่มีข้อห้ามสตรีออกนอกจวนหลังยามโหย่ว จึงไม่แปลกหากแถบตลาดบนถนนฟูหลิงจะมีสตรีมากมายเดินเที่ยวเตร่กันอยู่มากมาย
สตรีมากมายแต่งกายด้วยชุดสีสันงดงาม ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องประทิน ชาดแดง แต่ละคนแขวนถุงหอมกลิ่นหอมฟุ้ง เป็นภาพที่นางมิเคยแม้แต่จะจินตนาการถึงเลย
ช่างครึกครื้นยิ่งนัก...เหลียงฟางหรูไม่เคยพบเห็นเทศกาลอย่างนี้ ค่อนข้างตื่นเต้นเหลียวซ้ายทีแลขวาทีดวงตาสุกใสราวกับดวงดาวยามฟ้าโปร่ง แม้จะตื้นเต้นนางก็ยังคงรักษามารยาทที่ถูกสั่งสอนเอาไว้
ดวงตาพิสุทธิ์วาววาบเมื่อเหลียวมองไปยังผู้คนบนถนน ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบาง นอกจวนเป็นเช่นนี้เอง สายตานางจดจ้องไปยังร้านเครื่องประทินผิว ถัดมาเป็นร้านเครื่องประดับ นอกร้านตกแต่งหรูหราโอ่อ่า แปลกตาเป็นที่สุด
กล่าวว่านางเป็นดั่งชาวบ้านชนบทเพิ่งเข้าเมืองก็ไม่ถือว่าเกินไป แต่ท่าทีนางน่ามองยิ่งนักสำหรับเงาสูงโปร่งบนชั้นสองของโรงน้ำชาฝั่งเดียวกับโรงเตี้ยมใหญ่...
หลังผ่านร้านเครื่องประดับมาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็ถึงโรงเตี้ยมที่ซึ่งจัดงานเย็บปัก โรงเตี้ยมเหอชงแห่งนี้จัดงานแข่งเย็บปักมาเกือบเจ็ดปีแล้ว และงานนี้ก็ใหญ่ขึ้นทุกที
แคว้นจิ้งมีผู้คนมาเที่ยวชมมากขึ้นทุกปี เช่นนี้แคว้นจิ้งจึงมีผู้คนเข้าออกมากที่สุดในเจ็ดแคว้นแห่งแผ่นดินต้าอัน สตรีในแคว้นจิ้งออกจากบ้านเรือนตนเองมาก็ล้วนเป็นเพราะสิ่งนี้ รถเทียมม้าหยุดลงก่อนถึงโรงเตี้ยมสามเชียะ ม่านถูกแหวกออกด้วยมือเล็กของเหลียงเซียวสาวใช้คนสนิทของเหลียงฟางหรง เหลียงฟางหรงวางมือบนฝ่ามือของสาวใช้ก้าวลงจากบันไดรถเทียมม้าแช่มช้า ดวงตาเรียวเล็กชะม้ายมองไปด้านหน้าแล้วหลุบลงอย่างเอียงอาย ถีเยว่สือสอนมารยาหญิงให้นางมากมายและนางก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี ราวกับถูกส่งผ่านสายเลือดมา เหลียงฟางหรูลงจากรถเป็นคนสุดท้ายโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ พอลงมาก็รีบเดินตามไปเร็วรี่
ที่นี่ผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่านไปหมด เหลียงฟางหรูรีบเดินประชิดตัวน้องสาวต่างมารดา กลัวตนเองจะพลัดหลง เหลียงฟางหรงรับรู้ความคิดนั้นจึงเหยียดยิ้มให้กับท่าทางเหลียงฟางหรู นางพอใจเมื่อเห็นว่าพี่สาวต่างมารดาระแวดระวังกังวลเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่าหากพลัดหลงไป นางคงไม่อาจกลับจวนเองได้...
ขอแค่นางไม่กลับจวนในวันนี้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมต้องข่าวเล่าข่าวลือไปไกลเป็นแน่
“คารวะเหลียงฮูหยิน” ผู้ดูแลโรงเตี้ยมรีบประสานมือค้อมคำนับผู้ที่เพิ่งเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดทำการค้าในถนนฟูหลิงตลาดฝั่งบูรพาก็ล้วนต้องรู้จักฮูหยินของเหลียงซ่างซู ถีเยว่สือขยับมุมปากขึ้นเมื่อผู้แลเข้ามาทัก
“ยังมีที่ว่างให้ข้าหรือไม่”
“ที่ของเหลียงฮูหยินข้าย่อมต้องเตรียมไว้ให้ ฮูหยินเชิญทางนี้” มือเรียวรีบผายไปอีกทางเมื่อถีเยว่สือถามหาที่นั่งของตนเอง ที่นี่เป็นโรงเตี้ยมมีชื่อนอกจากอาหารรสดีเป็นที่เลื่องลือ การจัดงานเย็บปักนี้ก็มีชื่อไม่แพ้กัน ผู้คนพากันมาก็เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าผู้มีฝีมือเย็บปักเป็นที่หนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร
โรงปักภายในแคว้นก็ล้วนเข้าร่วมงานนี้ หากเป็นผู้ชนะโรงปักผ้าก็จะมีงานตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าเป็นการประกาศความสามารถของโรงปักเลยก็ว่าได้
ผู้ดูแลพาหญิงสาวต่างวัยทั้งสี่ขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี้ยม ที่นั่งกลางอาคารชั้นสองเป็นมุมที่มองเห็นโถงด้านล่างอย่างแจ่มชัด นางนั่งลงฝั่งซ้ายของโต๊ะให้บุตรสาวสุดรักนั่งตรงกลาง ฝั่งตรงข้ามให้เหลียงฟางหรูนั่งลง
“พี่ฟางหรูชอบงานเช่นนี้หรือ” น้องสาวต่างมารดาเอียงคอเอ่ยถามท่าทางใสซื่อ ราวกับน้องสาวตัวน้อย ใบหน้าขาวใสมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีความคิดลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่ ยิ่งถามด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ผู้ใดจะคิดว่านางเกลียดพี่สาวเช่นเหลียงฟางหรู เกลียดจนถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายย่อยยับเพียงนี้
“หากบอกว่าไม่ก็คงโกหก พี่ไม่เคยออกจากจวนจึงตื่นเต้นเท่านั้น หากเป็นไปได้ก็อยากลองแข่งเย็บปักดูบ้าง”
“หากพี่แข่งจริง เกรงว่าคนเหล่านี้คงสู้มิได้” คำพูดคำจาอ่อนหวาน วันนี้น้องสาวนางน่าเอ็นดูเสียจริง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็ชื่นชมนางอยู่ตลอด แม้จะนึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกยินดีไปพร้อมกัน
เหลียงฟางหรูยกมือขึ้นปัดปรอยผมที่ปลิวมาปรกหน้าน้องสาวออกอย่างเบามือ มือเรียวลูบไล้แผ่วเบาคล้ายกลัวอีกคนจะเจ็บเมื่อสัมผัส
แม้จะต่างมารดาแต่อย่างไรก็บิดาเดียวกัน เหลียงฟางหรูไม่เคยนึกเกลียดชังน้องสาว ซ้ำยังรักและเป็นห่วงนางอีก ต่างกับอีกฝ่ายที่จงเกลียดจงชังแต่แสร้งรักใคร่ “อะ” เหลียงฟางหรงสะดุ้งเมื่อถูกนิ้วเรียวแตะแก้ม
“พี่ฟางหรูมิลองส่งผ้าปักไปแข่งด้วยหรือ ข้าเห็นพี่เตรียมผ้ามาด้วย” ใบหน้าขาวเนียนขยับหนีมือของพี่สาวเชื่องช้า ในใจนึกรังเกียจสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้กล่าววาจาออกไป นางยังต้องเป็นคนดีในสายตาพี่สาวต่างมารดาผู้นี้อยู่
ขยับแล้วกล่าวเรื่องอื่นเปลี่ยนความสนใจของเหลียงฟางหรู ยามนี้นางต้องให้เหลียงฟางหรูไปจากโต๊ะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยากต่อสิ่งที่คิดเอาไว้
“เพียงส่งผ้าปักเท่านี้ก็ได้หรือ”
“ได้สิ หากถูกเลือกสุดท้ายก็จะได้ปักให้ผู้คนได้ดู”
“นั่นสิ ไปส่งผ้าเสียสิ อย่างไรก็นำมาแล้ว” สายตาเบื่อหน่ายมองลงไปชั้นล่างเห็นผู้ที่หมายปองไว้มาแล้ว ถีเยว่สือจึงรีบสำทับคำพูดบุตรสาวอีกแรง หญิงสาวได้ฟังก็ยิ้มตอบบางเบา ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบผ้าปักสองสามผืนออกมาเลือกเฟ้น
เลือกไม่ได้จึงให้น้องสาวช่วยอีกแรง เลือกได้ก็รีบลงไปส่งผ้าปักเอง เพื่อให้ผู้ดำเนินการกลางโถงได้สอบถามที่มาที่ไปของตนด้วย
“เจ้าค่ะ แม่รอง” ถ้วยชาถูกยกขึ้นมาโคลงไปมา ช่วยให้ยาผงที่เทลงไปเมื่อครู่ผสมกับชาโดยไว ยานี้ไม่มีสีไม่กลิ่น เจ้าของถ้วยชาย่อมไม่รับรู้ว่ามีสิ่งใดแปลกปนอยู่ด้วย
ถีเยว่สือวางถ้วยชาของเหลียงฟางหรูลงแล้วหันไปยิ้มให้บุตรสาว ยกมือลูบหัวนางเสียยกใหญ่ ไม่ว่าบอกสอนสิ่งใดบุตรสาวก็มิเคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครา
คราวนี้จะได้กำจัดหนามทิ่มแทงใจ รบกวนสายตาออกไปจากจวนเหลียงได้เสียที...
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
1งานเทศกาลแสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็นสตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆเห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผ
บทนำชีวิตนี้มีเพียงต้นบ๊วยดวงหน้างดงามผุดผาดของหญิงสาววัยสิบเจ็ดปีผินมองอีกฝั่งของต้นบ๊วย เมื่อได้ยินบางสิ่งจากคนทั้งสอง อากาศในฤดูคิมหันต์นั้นช่างร้อนเหลือคณา ทิวากรสาดแสงแรงจ้าอยู่กลางท้องฟ้า มิอาจทนอยู่ในเรือนที่อุดอู้ได้ เรือนนอนของนางมีหน้าต่างรับลมเล็ก ๆ อากาศร้อนเช่นนี้จึงไม่อาจทนอยู่ได้ เกิดมาเกือบสิบแปดปีไม่เคยได้ออกไปร่วมงานเทศกาลใดในเมือง ดังคุณหนูตระกูลใหญ่คนอื่น แม้แต่ตอนมารดาอยู่นางก็ยังไม่สามารถออกไปจากจวนได้ตามใจ หลังจากมารดาสิ้นนางยิ่งลำบากกว่าเดิม นอกจากบิดารังเกียจ แม่รองชอบรังแก ยังมีน้องสาวต่างมารดาที่บางคราก็ดี บางทีก็คอยกลั่นแกล้ง นางจึงมีชีวิตที่อาภัพมากยิ่งขึ้น กระทั่งสาวใช้บิดายังไม่ยอมให้นางมีหนึ่งในความฝันของหญิงสาวก็คงเป็นการเที่ยวงานเทศกาลบ้างกระมัง สตรีหากไม่เลยวัยปักปิ่นก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เที่ยวออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน แต่นางแม้เลยวัยปักปิ่นมาแล้วก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามใจต้องการ“ลูกอยากไปเจ้าค่ะ” น้องสาวต่างมารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู มารดาที่เอ็นดูนางอยู่แล้วจึงยิ่งเอ็นดูนางเข้าไปอีก ยกฝ่ามือลูบแก้มบุตรสาวแผ่วเบา ทั้งสองคงกำลังชักชวนกันออ