1
งานเทศกาล
แสงสุริยาในฤดูคิมหันต์ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าจนไม่อาจฝืนมองสู้แสงได้ แต่ถึงอย่างนั้นเหลียงฟางหรูก็ยังคงยืนรออยู่ที่ลานข้างต้นบ๊วยต้นใหญ่ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวต่างมารดา กำชับนางไว้เมื่อวานหากอยากไปด้วยก็ย่อมต้องรอ รอนานเท่าใดมิอาจจำได้ทว่าบัดนี้ล่วงเลยเข้าสู่ยามเซินแล้วแต่ทั้งสองก็ยังไม่มา ยามเซินสองเค่อแม่รองและน้องสาวจึงปรากฎตัวให้เห็น
สตรีทั้งสองสวมชุดใหม่งดงามท่อนล่างเองก็คงเป็นชุดที่ถูกตัดมาใหม่ ต่างกับนางนักที่ไม่ว่าจะท่อนบนหรือท่อนล่างล้วนเป็นชุดเก่าของมารดาทั้ง เหลียงฟางหรูไม่ใช่ผู้คิดมากจึงมิได้ถือสาริษยาใด ๆ
เห็นถีเยว่สือเดินนำน้องสาวมาก่อน “คารวะท่านแม่รอง” หญิงสาวยอบกายลงเมื่อเห็นภรรยาของบิดาเดินมา พลางยิ้มอ่อนโยนให้ทั้งคู่ ท่าทางอ่อนหวานอ่อนโยน เหลียงฟางหรูเป็นเด็กสาวหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ชอบมีเรื่องกับผู้ใดจึงมักยอมคนอยู่เสมอ ถีเยว่สือขยับริมฝีปากคว่ำลงเล็กน้อยจากนั้นจึงปล่อยมันกลับไปเป็นขีดเรียบ ๆ เช่นเดิม แม้ไม่ชอบใจเหลียงฟางหรูเท่าใดแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่อาจแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ในตอนนี้
“พี่ฟางหรูรอนานหรือไม่” เหลียงฟางหรงผู้เป็นน้องเอ่ยถามพลางไล่มองการแต่งกายผู้เป็นพี่สาว เหลียงฟางหรงเป็นบุตรสาวสุดที่รักของถีเยว่สือนอกจากมารดารักใคร่ตามใจ แม้แต่บิดาก็เอ็นดูนางมากเช่นกัน ทั่วใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มเครื่องประทินผิวชั้นดี
สิ่งใดที่คุณหนูสกุลใหญ่มี น้องสาวนางล้วนมีทุกสิ่ง เหลียงฟางหรงเหลือบดวงตาประกายมองสำรวจเรือนร่างพี่สาว เห็นว่านางแต่งกายด้วยอาภรณ์เก่า ๆ ของมารดาที่ล่วงลับก็นึกขันขึ้นมา ชุดสีขาวซีดท่อนล่างเป็นกระโปรงสีเขียวอ่อนดูก็รู้ว่ามันเก่ามากเพียงใด เหลียงฟางหรูไม่มีเงิน ไม่มีอาภรณ์ใหม่ให้สวมใส่ทำได้เพียงนำของ ๆ มารดามาใส่เท่านั้น
ประกายความไม่พอใจในดวงตาน้องสาวพลันหายไปรวดเร็วเมื่อเหลียงฟางหรูสบเข้า กระทั่งอยู่ในชุดเก่า ๆ เช่นนี้ยังมิอาจกลบรัศมีความงดงามของหญิงสาวได้เลย เพราะเหตุนี้เหลียงฟางหรงที่ถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นที่หนึ่ง จึงไม่พอใจพี่สาวต่างมารดาอยู่เสมอ...
“พี่เองก็มาได้ไม่นาน” เหลียงฟางหรูไม่เคยรับรู้จิตใจของบรรดาผู้คนในจวนนี้ เพราะนางมองทุกสิ่งด้วยหัวใจที่อบอุ่นและความดีงาม ความชั่วร้ายเลวทรามที่ถูกปกปิดจึงมิอาจมองเห็น นางตอบน้องสาวต่างมารดาด้วยรอยยิ้มใสซื่อ ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของแม่รองรอยยิ้มใสซื่อแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความรู้สึกผิด
“เจ้าไม่มีเสื้อผ้าที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” นางคงทำให้แม่รองอับอายไม่น้อย หากสวมชุดเช่นนี้ออกไป แม้เป็นเช่นนั้นนางก็ไม่อาจทำสิ่งใดให้ดีกว่านี้ได้ ใบหน้าเรียวเล็กเริ่มมีเหงื่อซึมบ่งบอกว่านางคงรอที่นี่มานานแล้ว สองแม่ลูกหาได้สนใจเม็ดเหงื่อเม็ดโตตรงกรอบหน้าของเหลียงฟางหรู หญิงสาวประสานมือยอบตัวลงอีกครั้งขออภัยสตรีที่เริ่มสูงวัยตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด พลางกล่าวว่า “ขออภัยแม่รอง ฟางหรูไม่มีผ้าใหม่จึงได้แต่นำชุดของมารดามาสวมใส่”
“ช่างเถอะ สวมใส่ผ้าดีก็มิได้แปลว่าเป็นผู้ดี” ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยสะบัดเชิดไปอีกทาง ทั้งที่เหลียงฟางหรูกำลังคำนับนางอยู่ ใบหน้างดงามเจือนลงถนัดตา รับรู้ได้ว่าแม่รองไม่พอใจสิ่งที่นางกระทำ จึงไม่เอ่ยสิ่งได้ขึ้นมาให้ถีเยว่สือรำคาญใจอีก นางชินเสียแล้วกับการต้องใช้ชีวิตด้วยการสังเกตสีหน้าผู้อื่นเช่นนี้ หญิงมีอายุหันไปแตะแขนเรียวเร่งบุตรสาวให้ออกจากจวน เกรงว่าหากนานกว่านี้จะไม่ทันกาลเสียเปล่า
“อย่างนั้นไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันงาน”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” หญิงสาวทั้งสองยอบกายรับคำแล้วเดินตามถีเยว่สือออกจากจวนไป นางเดินนำดรุณีน้อยทั้งสองไปหน้าจวนพอถึงหน้าจวนก็เร่งพากันขึ้นรถเทียมม้าไปยังถนนฟูหลิง ถนนฟูหลิงเป็นตลาดฝั่งบูรพาที่คึกครื้นที่สุดในเมือง ไม่ว่าจะมีงานเทศกาลใด ที่นี่ก็มีผู้คนพลุกพล่านเสมอหากไม่อยู่ด้วยกันตลอดเกรงว่าคงพลัดหลงกันได้ง่าย
แต่เหลียงฟางหรูไม่ได้รับรู้เรื่องนั้น...
สองข้างทางประดับโคมไฟตัวอ้วนสีแดงมากมาย ด้านในมีเปลวไฟจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง แคว้นจิ้งไม่มีข้อห้ามสตรีออกนอกจวนหลังยามโหย่ว จึงไม่แปลกหากแถบตลาดบนถนนฟูหลิงจะมีสตรีมากมายเดินเที่ยวเตร่กันอยู่มากมาย
สตรีมากมายแต่งกายด้วยชุดสีสันงดงาม ใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องประทิน ชาดแดง แต่ละคนแขวนถุงหอมกลิ่นหอมฟุ้ง เป็นภาพที่นางมิเคยแม้แต่จะจินตนาการถึงเลย
ช่างครึกครื้นยิ่งนัก...เหลียงฟางหรูไม่เคยพบเห็นเทศกาลอย่างนี้ ค่อนข้างตื่นเต้นเหลียวซ้ายทีแลขวาทีดวงตาสุกใสราวกับดวงดาวยามฟ้าโปร่ง แม้จะตื้นเต้นนางก็ยังคงรักษามารยาทที่ถูกสั่งสอนเอาไว้
ดวงตาพิสุทธิ์วาววาบเมื่อเหลียวมองไปยังผู้คนบนถนน ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มบาง นอกจวนเป็นเช่นนี้เอง สายตานางจดจ้องไปยังร้านเครื่องประทินผิว ถัดมาเป็นร้านเครื่องประดับ นอกร้านตกแต่งหรูหราโอ่อ่า แปลกตาเป็นที่สุด
กล่าวว่านางเป็นดั่งชาวบ้านชนบทเพิ่งเข้าเมืองก็ไม่ถือว่าเกินไป แต่ท่าทีนางน่ามองยิ่งนักสำหรับเงาสูงโปร่งบนชั้นสองของโรงน้ำชาฝั่งเดียวกับโรงเตี้ยมใหญ่...
หลังผ่านร้านเครื่องประดับมาเพียงหนึ่งถ้วยชาก็ถึงโรงเตี้ยมที่ซึ่งจัดงานเย็บปัก โรงเตี้ยมเหอชงแห่งนี้จัดงานแข่งเย็บปักมาเกือบเจ็ดปีแล้ว และงานนี้ก็ใหญ่ขึ้นทุกที
แคว้นจิ้งมีผู้คนมาเที่ยวชมมากขึ้นทุกปี เช่นนี้แคว้นจิ้งจึงมีผู้คนเข้าออกมากที่สุดในเจ็ดแคว้นแห่งแผ่นดินต้าอัน สตรีในแคว้นจิ้งออกจากบ้านเรือนตนเองมาก็ล้วนเป็นเพราะสิ่งนี้ รถเทียมม้าหยุดลงก่อนถึงโรงเตี้ยมสามเชียะ ม่านถูกแหวกออกด้วยมือเล็กของเหลียงเซียวสาวใช้คนสนิทของเหลียงฟางหรง เหลียงฟางหรงวางมือบนฝ่ามือของสาวใช้ก้าวลงจากบันไดรถเทียมม้าแช่มช้า ดวงตาเรียวเล็กชะม้ายมองไปด้านหน้าแล้วหลุบลงอย่างเอียงอาย ถีเยว่สือสอนมารยาหญิงให้นางมากมายและนางก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี ราวกับถูกส่งผ่านสายเลือดมา เหลียงฟางหรูลงจากรถเป็นคนสุดท้ายโดยไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ พอลงมาก็รีบเดินตามไปเร็วรี่
ที่นี่ผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่านไปหมด เหลียงฟางหรูรีบเดินประชิดตัวน้องสาวต่างมารดา กลัวตนเองจะพลัดหลง เหลียงฟางหรงรับรู้ความคิดนั้นจึงเหยียดยิ้มให้กับท่าทางเหลียงฟางหรู นางพอใจเมื่อเห็นว่าพี่สาวต่างมารดาระแวดระวังกังวลเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่าหากพลัดหลงไป นางคงไม่อาจกลับจวนเองได้...
ขอแค่นางไม่กลับจวนในวันนี้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ย่อมต้องข่าวเล่าข่าวลือไปไกลเป็นแน่
“คารวะเหลียงฮูหยิน” ผู้ดูแลโรงเตี้ยมรีบประสานมือค้อมคำนับผู้ที่เพิ่งเข้ามา ไม่ว่าผู้ใดทำการค้าในถนนฟูหลิงตลาดฝั่งบูรพาก็ล้วนต้องรู้จักฮูหยินของเหลียงซ่างซู ถีเยว่สือขยับมุมปากขึ้นเมื่อผู้แลเข้ามาทัก
“ยังมีที่ว่างให้ข้าหรือไม่”
“ที่ของเหลียงฮูหยินข้าย่อมต้องเตรียมไว้ให้ ฮูหยินเชิญทางนี้” มือเรียวรีบผายไปอีกทางเมื่อถีเยว่สือถามหาที่นั่งของตนเอง ที่นี่เป็นโรงเตี้ยมมีชื่อนอกจากอาหารรสดีเป็นที่เลื่องลือ การจัดงานเย็บปักนี้ก็มีชื่อไม่แพ้กัน ผู้คนพากันมาก็เพื่อดูให้เห็นกับตาว่าผู้มีฝีมือเย็บปักเป็นที่หนึ่งหน้าตาเป็นอย่างไร
โรงปักภายในแคว้นก็ล้วนเข้าร่วมงานนี้ หากเป็นผู้ชนะโรงปักผ้าก็จะมีงานตลอดทั้งปี เรียกได้ว่าเป็นการประกาศความสามารถของโรงปักเลยก็ว่าได้
ผู้ดูแลพาหญิงสาวต่างวัยทั้งสี่ขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี้ยม ที่นั่งกลางอาคารชั้นสองเป็นมุมที่มองเห็นโถงด้านล่างอย่างแจ่มชัด นางนั่งลงฝั่งซ้ายของโต๊ะให้บุตรสาวสุดรักนั่งตรงกลาง ฝั่งตรงข้ามให้เหลียงฟางหรูนั่งลง
“พี่ฟางหรูชอบงานเช่นนี้หรือ” น้องสาวต่างมารดาเอียงคอเอ่ยถามท่าทางใสซื่อ ราวกับน้องสาวตัวน้อย ใบหน้าขาวใสมองอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีความคิดลึกลับซับซ้อนซ่อนอยู่ ยิ่งถามด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ผู้ใดจะคิดว่านางเกลียดพี่สาวเช่นเหลียงฟางหรู เกลียดจนถึงขั้นอยากให้อีกฝ่ายย่อยยับเพียงนี้
“หากบอกว่าไม่ก็คงโกหก พี่ไม่เคยออกจากจวนจึงตื่นเต้นเท่านั้น หากเป็นไปได้ก็อยากลองแข่งเย็บปักดูบ้าง”
“หากพี่แข่งจริง เกรงว่าคนเหล่านี้คงสู้มิได้” คำพูดคำจาอ่อนหวาน วันนี้น้องสาวนางน่าเอ็นดูเสียจริง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็ชื่นชมนางอยู่ตลอด แม้จะนึกแปลกใจแต่ก็รู้สึกยินดีไปพร้อมกัน
เหลียงฟางหรูยกมือขึ้นปัดปรอยผมที่ปลิวมาปรกหน้าน้องสาวออกอย่างเบามือ มือเรียวลูบไล้แผ่วเบาคล้ายกลัวอีกคนจะเจ็บเมื่อสัมผัส
แม้จะต่างมารดาแต่อย่างไรก็บิดาเดียวกัน เหลียงฟางหรูไม่เคยนึกเกลียดชังน้องสาว ซ้ำยังรักและเป็นห่วงนางอีก ต่างกับอีกฝ่ายที่จงเกลียดจงชังแต่แสร้งรักใคร่ “อะ” เหลียงฟางหรงสะดุ้งเมื่อถูกนิ้วเรียวแตะแก้ม
“พี่ฟางหรูมิลองส่งผ้าปักไปแข่งด้วยหรือ ข้าเห็นพี่เตรียมผ้ามาด้วย” ใบหน้าขาวเนียนขยับหนีมือของพี่สาวเชื่องช้า ในใจนึกรังเกียจสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้กล่าววาจาออกไป นางยังต้องเป็นคนดีในสายตาพี่สาวต่างมารดาผู้นี้อยู่
ขยับแล้วกล่าวเรื่องอื่นเปลี่ยนความสนใจของเหลียงฟางหรู ยามนี้นางต้องให้เหลียงฟางหรูไปจากโต๊ะเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยากต่อสิ่งที่คิดเอาไว้
“เพียงส่งผ้าปักเท่านี้ก็ได้หรือ”
“ได้สิ หากถูกเลือกสุดท้ายก็จะได้ปักให้ผู้คนได้ดู”
“นั่นสิ ไปส่งผ้าเสียสิ อย่างไรก็นำมาแล้ว” สายตาเบื่อหน่ายมองลงไปชั้นล่างเห็นผู้ที่หมายปองไว้มาแล้ว ถีเยว่สือจึงรีบสำทับคำพูดบุตรสาวอีกแรง หญิงสาวได้ฟังก็ยิ้มตอบบางเบา ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบผ้าปักสองสามผืนออกมาเลือกเฟ้น
เลือกไม่ได้จึงให้น้องสาวช่วยอีกแรง เลือกได้ก็รีบลงไปส่งผ้าปักเอง เพื่อให้ผู้ดำเนินการกลางโถงได้สอบถามที่มาที่ไปของตนด้วย
“เจ้าค่ะ แม่รอง” ถ้วยชาถูกยกขึ้นมาโคลงไปมา ช่วยให้ยาผงที่เทลงไปเมื่อครู่ผสมกับชาโดยไว ยานี้ไม่มีสีไม่กลิ่น เจ้าของถ้วยชาย่อมไม่รับรู้ว่ามีสิ่งใดแปลกปนอยู่ด้วย
ถีเยว่สือวางถ้วยชาของเหลียงฟางหรูลงแล้วหันไปยิ้มให้บุตรสาว ยกมือลูบหัวนางเสียยกใหญ่ ไม่ว่าบอกสอนสิ่งใดบุตรสาวก็มิเคยทำให้นางผิดหวังเลยสักครา
คราวนี้จะได้กำจัดหนามทิ่มแทงใจ รบกวนสายตาออกไปจากจวนเหลียงได้เสียที...
2ร่วมประชันเย็บปักเสียงภายในโรงเตี้ยมชั้นล่างเงียบลงเมื่อหญิงสาวปรากฎตัว คราแรกที่เดินเข้าไปมิได้มีผู้ใดสนใจ แต่ครานี้นางเดินไปกลางโถงผู้คนจึงให้ความสนใจ และเมื่อเห็นใบหน้างดงาม ผิวขาวเนียนราวหิมะโปรยของนาง ผู้คนจึงเงียบเสียงลงสายตามากมายจดจ้องทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการเยื้องย่าง หรือหยิบยื่น พอเสียงเงียบลงนางถึงเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ หวั่นไหวเพราะกริ่งเกร็ง เดิมทีมีเพียงชั้นล่างเงียบแต่บัดนี้ชั้นบนก็เงียบตามไปด้วยหญิงสาวพลันหูอื้อไปชั่วขณะ ได้ยินกระทั่งเสียงลมหายใจตนเอง มือสั่นเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นเคย นางเงยหน้ามองชั้นบนราวขอความช่วยเหลือ แต่ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าญาติสนิทสองคนด้านบนมิได้สนใจนาง นางยืนเงียบยื่นผ้าปักให้หญิงชราผู้นั้น จนกระทั่งนางเอ่ยถามจึงค่อยโล่งใจขึ้น “คุณหนูท่านชื่อแซ่ใด”“ข้าแซ่เหลียง นามฟางหรูเจ้าค่ะ”“เช่นนี้เอง คุณหนูเป็นบุตรสาวอีกคนของเหลียงซ่างซู” หญิงสาวพูดพลางยิ้มให้ รู้สึกว่าเหลียงฟางหรูน่าเอ็นดูนัก นางไม่เหมือนไม่คล้ายบรรดาคุณหนูใหญ่เลยแม้แต่น้อยเพราะบรรดาสตรีเหล่านั้นล้วนวางท่าสูงส่ง เหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่า ต
3ช้าไปเสียแล้วใบหน้าหมดจดงดงามซบลงบนแผงอกกำยำ ซุกไซ้ราวกับต้องการเฟ้นหาความอบอุ่นจากร่างกายสูงโปร่งตรงหน้าที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อใด สองแขนโอบอุ้มนางขึ้นแล้วเดินผ่านเหล่าบุรุษที่มองมาอย่างงุนงงออกไปด้านข้างหอสุราชายหนุ่มถูกใบหน้างดงามชวนมองทำให้จดจ้องนางตั้งแต่อยู่บนรถเทียมม้าคันใหญ่ เผลอยิ้มตั้งไม่รู้กี่คราตอนเห็นใบหน้าเล็กเรียวนั่นตื่นเต้นกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกผ่านหน้าต่างรถเทียมม้า กระทั่งนางหายเข้าไปในโรงเตี้ยมจึงนั่งลิ้มรสสุราลือชื่อต่อเสียหน่อยเดิมทีเขาควรต้องรีบไปจากตลาดบูรพาแต่วันนี้เป็นเทศกาลซีซี คิดอยากดูว่านอกจากสตรีที่ไม่เคยเห็นหน้า ยังมีสิ่งใดน่าสนใจอีกหญิงสาวผู้นั้นวิ่งหอบลมหายใจราวกับกลัวว่าจะมีผู้ใดเห็น แต่ด้วยใบหน้าของนางไม่ว่าจะหลบหลีกอย่างไรก็ต้องมีคนเห็น เขาจึงหย่อนตัวลงบนเก้าอี้เช่นเดิมนั่งดูนางอีกสักครู่ ร่างเล็กกระสับกระส่ายผิดวิสัย ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตราวเม็ดทับทิม พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่อ วิ่งเข้าอาคารนั้นออกอาคารนี้เช่นนี้ไม่ปกติ ชายหนุ่มจึงโผนกายลงจากชั้นสองตามลงไป กระทั่งผู้ติดตามยังมิอาจห้ามปรามได้ทัน...“คุณชาย ให้ทำอย่างไรดีขอรับ” ผู้ติดตาม
4ขุ่นข้องใจหญิงสาวลืมตาตื่นเมื่อแสงสว่างจากภายนอกสาดส่องผ่านกระดาษไขเข้ามา เปลือกตาหนักพริบขึ้นลงหลายครั้ง ในหัวพยายามจัดการทบทวนทุกเหตุการณ์จนแน่ใจแล้วก็เบิกตาโพล่งขึ้นมาภาพในหัวฉายซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบครั้ง ราวกับกำลังตอกย้ำว่านางทำสิ่งผิดมากมายเพียงใด หยาดน้ำตาก่อขึ้นหยดลงแต่เหือดแห้งไปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักนอกห้องร่างกายที่มีเพียงชุดคลุมสีขาวบางขยับไปชิดตั่งนุ่มด้านใน หัวใจสั่นไหวราวกับภูเขาถล่ม หอบหายใจรวดเร็วกลัวว่าข้างนอกจะมีสิ่งน่ากลัวที่นางคิดอยู่ในประตูไม้ถูกเปิดเสียงแผ่วเบาคล้ายกลัวคนข้างในจะตื่น หญิงสาวอายุราวสิบสี่สิบห้ากำลังหย่อนเท้าข้ามมาอีกด้านของประตู ใบหน้าเรียบเฉยเผยยิ้มดีใจเมื่อสายตาจับจ้องชัดเจนว่าในที่สุดคนด้านในก็ตื่นเสียทีหญิงสาวย่อกายลงข้างเตียงเอ่ยถามเสียงนอบน้อม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางถูกสั่งให้มาดูแลสตรีผู้นี้ตั้งแต่ยามเหมา คล้ายนางจะมีไข้เมื่อสัมผัสตัวแล้วจึงออกไปต้มน้ำ ทำอาหารรอให้นางตื่น“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วนี่ข้าอยู่ที่ใด” สายตาเลือนลางถามออกไป ขณะเดียวกันก็พึงระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือนางกล่าว
5หนทางแก้ไขฝ่ามือเล็กกุมแก้มเนียนของตนเองไว้มือสั่นเทาไม่คลาย แววตาวูบไหว ความรู้สึกในอกสั่นระคนเสียใจ นางรู้ดีว่าเหตุการณ์นี้ตนเองมีความผิด แต่หากบิดามีใจเมตตาสักน้อยก็ควรฟังนางเสียหน่อยเดิมทีคิดอยากแก้ตัวแต่เห็นเช่นนี้มิสู้เงียบไว้ ถูกลงโทษให้สาสมไปเลยดีกว่า“ท่านพ่อ พี่สาวมิได้ตั้งใจท่านอย่าโกรธไปเลย” หญิงสาวที่มาใหม่กล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ห้ามปรามบิดากลาย ๆ ไม่ให้เอาโทษพี่สาว เหลียงฟางหรงเป็นเช่นนี้เสมอนางมักวางแผนให้เหลียงฟางหรูถูกบิดามารดาเอาโทษ สุดท้ายจึงแสร้งมาขอร้องอ้อนวอนให้บรรเทาโทษเพราะเป็นเช่นนี้เหลียงฟางหรูจึงไม่เคยทันเล่ห์เหลี่ยมน้องสาว ยังหลงคิดว่านางเป็นสตรีจิตใจดีแต่ซุกซนอยู่เสมอก็เท่านั้น“ฟางหรงเจ้าไม่ต้องพูดแทนนาง มีสตรีใดในเมืองบ้างที่ยังไม่ออกเรือนแต่อยู่นอกจวนทั้งคืนดั่งนาง”“พี่สาวสำนึกแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ อย่าได้เอาเรื่องอีกเลย ลงโทษก็ลงโทษไปแล้ว” หญิงสาวกล่าวจบผินไปหน้า
6หนี“ท่านแม่ เหตุใดนางจึงโชคดีเช่นนี้กัน” เหลียงฟางหรงกล่าวกับมารดาหลังได้ยินเรื่องราวก่อนนี้จากมารดา นางเกลียดพี่สาวต่างมารดาไม่อยากเห็นนางได้ดี หากนางแต่งออกก็อยากให้แต่งกับบุรุษไร้อำนาจ ไร้สามารถ เสเพลด้วยยิ่งดีแต่นี่นางกลับได้รับการสู่ขอจากอำมาตย์ที่มีอำนาจมากกว่าบิดาเสียอีก นางยังต้องเรียกสตรีผู้นั้นว่าฮูหยินสิบเอ็ด เป็นการยกฐานะนางขึ้นมาจากเดิมและไม่แน่นางงดงามเพียงนี้ หากอำมาตย์ฮุยรักใคร่นางมากกว่าฮูหยินคนอื่น วาสนานางมิยิ่งกว่าพระชายาหรอกหรือ“ก็ดีกว่าผู้ที่ต้องแต่งเป็นลูกแม่มิใช่หรือ” ใบหน้าของหญิงสาวหงิกงอ มารดากล่าวจบก็อดยกมือลูบไล้แก้มเนียนอย่างเอ็นดูไม่ได้ เหลียงฟางหรงสะบัดหน้ามองมารดาคิ้วขมวดมุ่นมิสู้ให้นางแต่งเองเสียยังดีกว่าสำหรับนางหากต้องออกเรือนย่อมต้องออกกับผู้มีอำนาจเงินทอง มิเช่นนั้นไม่ออกเสียยังดีกว่า แต่เมื่อบิดารั
7โจรป่าเหลียงฟางหรงช่วยวางแผนให้พี่สาวหอบสมบัติหนีออกจากจวนก่อนวันที่จะมีเกี้ยวจากตระกูลฮุยมารับ เช่นนี้เหลียงฟางหรูก็ไม่ต้องเข้าเป็นฮูหยินสิบเอ็ดอีกแล้วอากาศยังคงร้อนอบอ้าวทั้งที่อีกไม่กี่เค่อพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้ว เหลียงฟางหรูผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่ได้มาจากน้องสาว อาภรณ์นี้เป็นของบุรุษหากนางออกจากจวนด้วยอาภรณ์สตรีเกรงว่าจะไปได้ไม่ไกลก็ถูกจับกลับมา“ซ่วนซ่วน เจ้าไปยกสำรับมาที” เหลียงฟางหรงกล่าวกับสาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าห้อง พลางใช้สายตากดดันนางตรง ๆ สาวใช้รับรู้ท่าทีกดดันจึงพยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปทางครัวโอกาสนี้ดียิ่งนัก เพื่อที่จะได้ออกไปโดยไม่มีผู้ใดเห็น เสียงฝีเท้าลับไป หญิงสาวทั้งสองภายในห้องจึงมองหน้ากันพยักหน้าเตรียมตัวดำเนินการตามแผน“พี่ฟางหรู พี่ต้องหนีให้พ้นนะ ข้าขอโทษที่ช่วยพี่ได้เพียงเท่านี้” หญิงสาวกล่าว
8หลบหนีห้องนอนกลางเก่ากลางใหม่คือสิ่งแรกที่นางเห็นหลังลืมตาตื่นขึ้น เมื่อวานนางถูกทำให้สลบไปหลังจากพยายามดิ้นรนอยู่นาน จำได้เพียงพวกเขาพานางไปทางถนนอวิ๋นซานทิศประจิมนั่นคือเขตที่มีสิ่งของนอกกฎหมายมากที่สุดผ่านทั้งเนินเขา ลำธารแถบชายป่านางรับรู้จากเสียงที่ได้ยิน เวลาเดินทางคงมากกว่าสามชั่วยาม เหลียงฟางหรูมองสำรวจไปทั่วห้อง หากยังอยู่ที่นี่ต่อก็คงไม่แคล้วต้องเป็นเมียโจร นางจำเป็นต้องหาทางหนี หนีจากที่ที่ไม่คุ้นเคย ซ้ำยังไม่รู้ว่าต้องหนีไปที่ใดอีกเหลียงฟางหรูรีบแสร้งนอนหลับต่อไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหน้าห้อง กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่โชยเข้าจมูกทำให้ร่างกายนางตอบรับสิ่งนั้น“หากเจ้าตื่นแล้วก็กินนี่เสีย ข้าไม่ใช่บ่าวของเจ้า” แป้งย่างที่ติดตัวมานอกจากไม่ได้กินยังหายไปแล้ว ไม่รู้ว่านางหลับไปนานเพียงใดร่างกายจึงหิวโหยเพียงนี้ เหลียงฟางหรูหยัดกายลุกขึ้นนั่งมองหญิงสา
9ได้พบพานอีกคราชายหนุ่มนัยน์ตาเฟิ่งหวงลึกล้ำดำสนิทมองจ้องไปยังต้นไม้นอกหน้าต่าง ขณะกำลังเอนกายพิงตั่งไม้แดงอยู่ในห้อง หวนคำนึงถึงโฉมสะคราญที่เคยรวมเตียงเมื่อวันวานเหตุใดนางจึงรีบหนีไปเสียก่อนยังไม่ได้เอ่ยถ้อยคำต่อกันแม้แต่น้อย ชื่อแซ่ก็มิได้บอกไว้มีเพียงแหวนหยกสีชาดของเขาที่ติดตัวนางไปด้วย ไม่รู้ว่าจนป่านนี้นางถูกต่อว่าลงโทษแล้วหรือไม่ ให้คนสืบข่าวก็ยังไม่ได้เรื่อง“คุณชายขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยเรียกผู้เป็นนายเสียงเบา เกรงว่าจะขัดอารมณ์อีกฝ่าย ผู้ถูกเรียกผินหน้ามองเชื่องช้าไร้อารมณ์บนใบหน้า จากนั้นพยักหน้าคล้ายอนุญาตให้รายงานต้าซานเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะรายงานเรื่องราวบางอย่างแก่เจ้าของเรือนสุราใต้เชิงเขาเทียนกวางที่สูงละลิ่วแห่งนี้ “พบแม่นางผู้นั้นแล้วขอรับ”ร่างสูงโปร่งงดงามสลักเสลาผุดลุกจากตั่งไม้แดงเร็วรี่เมื่อได้ยินสิ
56ข้าเองก็เช่นกัน ขุนนางกังฉินทั้งหมดถูกโบยคนละหนึ่งร้อยไม้ ผู้ที่รอดจากการโบยก็ถูกเนรเทศจากแคว้นพร้อมครอบครัว ทรัพย์สินถูกยึด มีเพียงเหลียงจินฮ่าวและฮุ่ยฉีเลี่ยที่ถูกโบย ถูกวาดอักษรกังฉินไว้บนหน้า ขับไล่ไปเป็นทาสที่แถบชายแดนซึ่งกำลังสร้างกำแพงเมืองอยู่เหลียงจินฮ่าวถูกพาไปเป็นทาสใช้แรงงานพร้อมถีเยว่สือที่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอลงมาก เพราะก่อนหน้านี้ถูกคุมขังในคุกนาน ถูกลงโทษได้แผลมาไม่น้อยหากไม่ใช่เพราะเหลียงฟางหรูตั้งครรภ์จึงไม่เอยากเอาชีวิตผู้ใด คนเหล่านี้คงถูกประหารไปจนสิ้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้รับโทษน้อยเลยโทษตายเว้นได้แต่โทษเป็นนั้นยากหลีกหนี เหลียงจินฮ่าวและถีเยว่สือต้องใช้แรงงานของตนเพื่อแลกอาหารกิน เหลียงฟางหรูไม่แม้แต่จะเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาตอนถูกขับไล่ นางเพียงปลายตามองแวบเดียวก็กลับไป แต่เพราะเหลียงฟางหรงเป็นคนสกุลเฉิงไปแล้วจึงมิได้ถูกเนรเทศขับไล่ไปเป็นทาสด้วย“เจ้าพอใจหรือไม่” ผู้เป็นสามีเอ่ยถามขณะกอดประคองนางอยู่บนกำแพงเ
55ข่าวดีหลังข่าวร้าย การไต่สวนเหล่าขุนนางมากมายเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ละคนล้วนให้การกล่าวโทษผู้อื่นเพียงเพื่อให้ตนเองมีโทษน้อยที่สุด เพ่ยเลี่ยงหลิงที่ไม่ได้มีความอดทนดังผู้เป็นพี่ชายจึงใช้วิธีทรมานเพื่อให้ได้รับคำสารภาพเดิมการทรมานเพื่อให้รับผิดไม่ควรถูกใช้ แต่ยามนี้เป็นยามที่ราชสำนักต้องกำจัดสิ่งไร้ประโยชน์จิ้งอ๋องจึงยอมหลับตาข้างหนึ่ง ท่านชายรองยิ่งชอบใจที่ทำแล้วไม่ถูกผู้เป็นบิดาดุด่าไม่เกินสามวันจึงได้คำตอบที่น่าพึงพอใจให้แก่ชาวประชาทั่วแคว้น สามวันก่อนเพ่ยซื่อจื่อรีบเร่งกลับตำหนักเพื่อไปดูเหลียงฟางหรูที่อยู่ ๆ ก็หมดสติ เขาคงไม่กังวลมากนักหากมิใช่เพราะนางอ่อนแอกว่าคนทั่วไป ภายในใจร้อนดังถูกเปลวไฟแผดเผา ขณะที่ยืนรอฟังหมอหลวงอยู่หลังฉากกั้นก็เดินวนไปวนมา หลังฉากกั้นมีเสี่ยวไป๋และซ่านซ่านคอยดูนางอยู่เกือบสองเค่อจึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้น หมอหลวงทำท่าจะคุกเข่ารายงาน แต่เพ่ยซื่อจื่อร้อนใจจนไม่อาจทน
54ทั่วทั้งแคว้นมีเพียงท่านชายรอง “กล่าวว่าก่อกบฎก็ไม่ถูกนัก อย่างไรเสียท่านชายรองก็เป็นบุตรชายของพระชายาเอก มีสิทธิ์สืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อจิ้งอ๋องได้อย่างชอบธรรม” เพ่ยเลี่ยงหลิงยืนนิ่งปล่อยให้ฮุ่ยฉีเลี่ยเป็นผู้ออกหน้าเอ่ยวาจาทั้งหมดเอง ฮุ่ยฉีเลี่ยเดิมทีกังวลว่าจะถูกประหารเพราะจิ้งอ๋องคงตรวจพบความผิดเขาจากบันทึกของเหลียงจินฮ่าว แต่เมื่อเพ่ยเลี่ยงหลิงปรากฎตัวความกลัวก็มลายหายไป เปลี่ยนเป็นขวัญกล้ากล่าวทุกสิ่งออกมา“ท่านชายใหญ่แม้จะเป็นบุตรพระชายาแต่ก็ไม่มีความชอบมากเท่าท่านชายรอง แคว้นนี้ยังคงต้องการท่านอ๋องที่ปรีชาสามารถ ออกรบไม่เกรงกลัว ควบคุมทหารได้ดุจเทพเซียน เช่นนี้ทั่วทั้งแคว้นก็มีเพียงท่านชายรองเท่านั้น แต่ท่านอ๋องไม่ทรงทอดพระเนตรใช้เพียงความชอบของพระองค์แต่งตั้งซื่อจื่อโดยไม่ดูความเหมาะสม อย่าได้กล่าวโทษข้าเลย”“เช่นนั้นผู้ที่วางยาซื่อจื่อก็เป็นเจ้าเองใช่หรือไม่ฮุ่ยฉีเลี่ย หลิงเอ๋อร์เจ้าเองก็ร่วมมือกับฮุ่ยฉีเลี่ยลอบทำร้ายพี่ชายตนเองหรือ” จิ้งอ๋องถามขึ้นอย่างปวดใจ น้ำเสียงแ
53อย่าทรงมีโทสะ บุรุษใกล้วัยชราภาพเต็มทีเดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม มาถึงได้ก็ถวายบังคมจิ้งอ๋องพลางกล่าวเชยชมก่อนยื่นฎีการายงานความผิดของเหลียงซ่างซู“ถวายบังคมท่านอ๋อง ยามนี้ซื่อจื่อถูกพิษจ็บป่วยไม่รู้ชะตา เรื่องนี้สืบไปสืบมาก็มิพ้นตระกูลเหลียง ข้าน้อยในฐานะขุนนางของพระองค์จึงได้เร่งตรวจสอบการทำงานของเหลียงจินฮ่าว พบว่าเหลียงจินฮ่าวผู้นี้ทุจริตเงินและรับสินบนจำนวนมากตลอดการเป็นขุนนางจึงนำรายงานมาถวายให้ท่านอ๋อง” จิ้งอ๋องได้ฟังจนจบก็พยักหน้าให้กงกงรับฎีกาและบันทึกรับสินบนจากอำมาตย์ฮุ่ยมาดู อ่านฎีกาและบันทึกรับสินบนอยู่ครู่หนึ่งก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าเครียดเกร็ง วางกระแทกสิ่งของในมือลงบนโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง“ต่ำช้านัก แม้แต่เสบียงบรรเทาภัยพิบัติก็ไม่เว้น ข้าเลี้ยงขุนนางสวะเช่นนี้ไว้มีประโยชน์อันใดต่อประชา” จิ้งอ๋องผรุสวาทออกมาเสียงดังลั่นห้องทรงอักษร น้ำเสียงมีเพียงเกรี้ยวกราด ฮุ่ยฉีเลี่ยเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มย่องในใจ ใส่ใจอีกเพียงเล็กน้อยไม่แคล้วเหลียงจินฮ่าวถูกสั่งประหาร
52เกลียดนางถึงพียงนี้เลยหรือ เพ่ยเลี่ยงหลิงสั่งการเสร็จจึงหันมามองสองสามีภรรยาที่อยู่ตรงหน้า เพื่อสอบสวนต่อเหลียงจินฮ่าวและถีเยว่สือสบนัยน์ตากันครู่หนึ่ง เพียงเท่านั้นก็ราวกับเข้าใจกันลึกถึงก้นบึ้ง“เหตุใดพี่ชายข้าจึงถูกพิษ”“ต้องเป็นเพราะเหลียงฟางหรูเป็นแน่ นางไม่เต็มใจสมรสจึงต้องการลอบวางยาซื่อจื่อ” ถีเยว่สือร้องขึ้นเสียงแหลม เพ่ยเลี่ยงหลิงสะบัดฝ่ามือหนึ่งครั้งแส้เส้นใหญ่ก็ถูกฟาดลงกลางหลังอีกครา“ข้าไม่ได้ถามเจ้า ผู้ใดอนุญาตให้สอดปาก” ชายหนุ่มกล่าวสียงทุ้มปนแข็งกร้าว เขารู้ดีว่านางจงใจโยนความผิดเหล่านี้ให้บุตรสาวที่ไม่รู้เป็นตายอย่างไรแต่หากนางยืนยันเพียงลำพังข้อกล่าวหานี้ก็เป็นอันจบ ผู้ใดจะเชื่อถือย่อมต้องให้สามีกล่าวเช่นเดียวกันเท่านั้นนางกล่าวขึ้นมาก่อนก็เพื่อให้ผู้เป็นสามีเข้าใจเจตนา และเป็นทางรอดเดียวในยามนี้“ใช่แล้ว เป็นเพราะเหลียงฟางหรูไม่เต็มใจสมรสกับซื่อจื่อ จึงจงใจทำเช่นนี้เพื่อให้พวกข้า
51จะตายก็ได้ แขนขาทั้งสองถูกผูกติดกับขาเก้าอี้กลางห้องเพื่อไม่ให้ผู้ถูกสอบสวนขัดขืนสิ่งใดได้ ดวงตาสองข้างของนางพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำบาง ๆ ตื่นกลัวอย่างที่สุด ไม่รู้เลยว่าตนเองจะถูกทรมานมากเพียงใดจากน้ำมือชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้า“ข้าถาม เจ้าตอบ หากดื้อดึงไม่ตอบดังสตรีคนเมื่อครู่ก็อย่าหาว่าใจร้ายไม่เห็นแก่หน้าซื่อจื่อเลย”“ตอบเจ้าค่ะ ข้าจะตอบทั้งหมด” นางกระวีกระวาดตอบอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะอย่างไรขอเพียงตนเองรอดเหลียงฟางหรูนั่นจะเป็นเช่นไรนางไม่สนใจ“ดี เช่นนั้นตอบข้ามาว่ารู้เรื่องที่ซื่อจื่อถูกพิษหรือไม่” เพ่ยเลี่ยงหลิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเอ่ยถามเสียงเรียบ แต่รอบกายกลับมีไอเย็นแผ่ออกมาพร้อมรังสีอำมหิต ราวกับกำลังนั่งจ้องหน้ากับพญายมราชอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่รู้เลยท่านชายรองโปรดเชื่อ ทุกสิ่งเป็นเพราะนางเหลียงฟางหรูผู้เท่านั้น เดิมทีสามีข้ากับท่านอำมาตย์ฮุ่ยก็อยู่ฝั่งเดียวกัน หากไม่ใช่เพราะนางสามีข้าจะทรยศต่อท่านอำมาตย์ได้อ
50ไม่รู้เป็นตาย เสียงอึกทึกก่อนนี้เงียบลงทันทีเมื่อเพ่ยเลี่ยงหลิงกล่าวจบ จิ้งอ๋องผินมองหน้าบุตรชายคนรองสีหน้าเปลี่ยนไปครู่หนึ่งก็กลับมาราบเรียบเช่นเดิม“ไต่สวนให้ดี” ผู้ครองแคว้นกล่าวจบก็เดินออกไป เพ่ยเลี่ยงหลิงยิ้มรับพลางค้อมตัวน้อมส่งบิดา ฮุ่ยฉีเลี่ยเงยหน้ามองเพ่ยเลี่ยงหลิงหลังเหลือเพียงบรรดาขุนนางและแม่ทัพเพ่ย“ที่เหลือฝากท่านอำมาตย์แล้ว ข้าต้องรีบไปสอบสวนเรื่องราวเสียหน่อยว่าผู้ใดกันที่วางยาพิษท่านพี่ของข้า”“ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้ท่านชายโปรดวางใจ” นัยน์ตาเจ้าเล่ห์จ้องมองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า เขาสวมอาภรณ์สีม่วงเข้มปักลวดลายวิจิตรงดงามท่าทางน่าเกรงขามไม่น้อยเลย เรียกได้ว่าเป็นผู้คู่ควรกับอำนาจยิ่ง กระทั่งเพ่ยเลี่ยงหลิงเดินลับสายตาไปเหล่าขุนนางในท้องพระโรงถกเถียงพูดคุยกันอีกไม่นานก็แยกย้ายกันกลับ ยามนี้มีเรื่องที่พวกเขาควรไตร่ตรองให้แน่ชัด บางคนคิดว่านี่คงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตำแหน่งซื่อจื่อที่มั่นคงมานานเสียทีบางตระกูลย
49โกลาหล งานสมรสวุ่นวายขึ้นทันตา ผู้คนพากันแตกตื่นเมื่อเรื่องเช่นนี้ เพ่ยเลี่ยงหลิงสั่งทหารคุมตัวเเหลียงฟางหรูที่เป็นผู้รินสุรา เหลียงซ่างซู ถีซื่อกลับไปที่วังเพื่อทำการไต่สวน มีเพียงเหลียงฟางหรงที่ไม่ได้ถูกคุมตัวเพราะถือเป็นคนสกุลเฉิงไปแล้ว“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” เหลียงฟางหรงกล่าวกับเฉิงเซี่ยวเหวย นางเพิ่งทำใจที่ต้องแต่งกับชายไร้อำนาจแห่งตระกูลเฉิงได้ไม่นานก็เป็นเช่นนี้เสียแล้ว นางทั้งคับอกคับใจยากจะระบาย ยามนี้ไม่มีมารดาให้ระบายด้วยมีเพียงผู้เป็นสามีที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทีเคร่งขรึม ไม่พูดสิ่งใดออกมาเลย“ทำไมท่านยังเงียบอยู่อีก ท่านแม่ข้าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”“หุบปากเสียที นั่นแม่เจ้าไม่ใช่แม่ข้า แค่นี้บ้านข้าก็วุ่นวายมากอยู่แล้วยังจะมีแก่ใจมาห่วงพะวงผู้ใดได้อีก ไม่รู้ว่าหากซื่อจื่อเป็นอันใดมากตระกูลเฉิงของข้าคงมิต้องโทษไปกับตระกูลเหลียงของเจ้ากระมัง” เหลียงฟางหรงโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ทั้งที่นางเพิ่งยอมรับได้ว่าต้องแต่งกับตระกูลเฉิง แต่เพียงไม่นานก็ได
48ซื่อจื่อถูกปองร้าย ผ่านงานสมรสของซื่อจื่อมาครึ่งเดือน ราชสำนักราวกับน้ำเชี่ยว ขุนนางคนละฝ่ายต่างยื่นฎีกาต่อท่านอ๋องเพื่อกล่าวโทษกันละเลยหน้าที่ปฏิบัติ ยังมีเรื่องลักลอบซ่องสุมกำลังทหาร ทุจริตเสบียงอาหารมากมาย นับว่าเป็นเรื่องราวใหญ่ที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งสถาปนาแคว้นจิ้งเลยเหลียงฟางหรูได้ฟังเรื่องราวมากมายหมาจื่อมาบ้างจึงได้รู้ว่ายามนี้บิดาตนและอำมาตย์ฮุ่ยขัดแย้งกันอย่างหนัก ต่างฝ่ายต่างหาหลักฐานล้มล้างอีกฝ่าย อำมาตย์ฮุ่ยหวังใช้แม่ทัพเพ่ยผู้เป็นน้องชายต่างมารดาของซื่อจื่อเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจซื่อจื่อเพ่ยเลี่ยงหลิงเป็นแม่ทัพ มีความสามารถรบทัพจับศึกทั้งยังคุมกองทหารมากมาย หากเกิดเหตุวุ่นวายไม่ต้องนึกถึงผลลัพธ์เลย นางไม่รู้ว่าผู้เป็นสามีเตรียมแผนการใดไว้กันแน่จึงมีท่าทีสบายใจเช่นนี้“ท่านพี่เหตุใด จึงสบายใจช่นนี้”“แล้วจะร้อนรนไปเพื่ออันใดเล่า ทุกอย่างล้วนถูกวางแผนไว้แล้ว ต่อให้พวกเขามีสิบแม่ทัพเพ่ยก็ไม่เพียงพอให้เป็นใหญ่ได้อีก” ชายหนุ่มกล่าว