ท่านอ๋องเฉิงได้รับจดหมายลับของเซียวหลินเทียน จึงร่วมมือกับเซียวหลินเทียนจับกุมกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ด้วยความรวดเร็วแม้ว่าองค์ชายเว่ยจะรู้เรื่องนี้ในภายหลัง ทว่าก็สายเกินไปแล้วมีคนเกี่ยวพันมากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าเขาจะต้องฆ่าปิดปากทีละคนเล่า?เช่นนั้นจะไม่เป็นการบอกองค์จักรพรรดิตรง ๆ หรือว่าตนเองเป็นฆาตกร?คดีแล้วคดีเล่าล้วนมีความเกี่ยวข้องกับองค์ชายเว่ยทั้งทางตรงและทางอ้อม กอปรกับมีจ้าวฮุยเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟอีกต่อให้จักรพรรดิอู่อันโง่เขลาก็รู้ว่าองค์ชายเว่ยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ขณะที่เขาส่งคนสนิทไปจับหยางซ่างจื้อที่หลบหนีไป ก็สั่งให้คนกักขังองค์ชายเว่ยไว้ในตำหนักองค์ชายเว่ยด้วยแค่รอเซียวหลินเทียนพาหยางต้าหู่และคนอื่น ๆ กลับมายังเมืองหลวง จากนั้นค่อยสืบสวนคดีด้วยกันเมื่อจักรพรรดิอู่อันได้รับสาส์นกราบทูลก็สั่งให้กองทัพหลวงจับตัวครอบครัวของแม่ทัพเซี่ย หยางซ่างจื้อ และรองผู้บัญชาการอู๋เข้าคุกทันทีพ่อแม่ของรองผู้บัญชาการอู๋กลับบ้านเกิดเพื่อดูแลตัวเอง จักรพรรดิอู่อันก็ส่งคนไปจับกุมและยึดทรัพย์สินของพวกเขาด้วยหลังจากตกสวรรค์มาลงนรกในชั่วข้ามคืน ฮูหยินอู๋ก็ยัง
ก่อนหน้านี้หลิงเยี่ยนปิดบังเรื่องนี้กับหลิงเสียงเซิงและหวางซือ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายเว่ยในช่วงสองวันที่ผ่านมา หลิงเยี่ยนจึงเริ่มวิตกกังวล แล้วไปสารภาพกับหวางซือตอนนี้ฮองเฮาเว่ยมิอนุญาตให้หลิงเยี่ยนได้เข้าไปเป็นชายารองแล้ว เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับเด็กในท้องของหลิงเยี่ยนเล่า?มิว่าในเมืองหลวงจะวุ่นวายแค่ไหน เซียวหลินเทียนก็ยังคงรีบไปที่เมืองหลวงตามกำหนดการระหว่างทางเซียวหลินเทียนนั้นพบปัญหามากมาย มือสังหารสามคนที่ถูกจับได้ในหอเหยี่ยวราตรี เดิมทีต้องถูกพาไปยังเมืองหลวงอย่างลับ ๆแต่มิรู้ว่าข่าวหลุดออกไปได้อย่างไร มือสังหารทั้งสามคนจึงถูกสังหารไปพร้อมกับองครักษ์ที่พาพวกเขาไปเมืองหลวงแล้วหมอเฝิงก็กินยาพิษฆ่าตัวตายระหว่างเดินทางกลับอีกเซียวหลินเทียนมิเชื่อว่าคนรักตัวกลัวตายเยี่ยงหมอเฝิงจะกินยาพิษฆ่าตัวตาย แต่หลังจากตรวจอาหารที่เขากินและผู้คุมแล้วก็มิพบอะไรน่าสงสัยเลยสุดท้ายหลิงอวี๋ก็ได้ทำการชันสูตรพลิกศพหมอเฝิง แล้วพบเข็มเงินจุ่มยาพิษร้ายแรงปักอยู่ที่คอของหมอเฝิงหลิงอวี๋จำได้ทันทีว่า ตอนหลิงผิงถูกขังอยู่ในเรือนของเกิ่งเสี่ยวหาว ชิวเหวินซวงก็ใช้เข็มเงินสังหารผู้คุมสองคนที่
เซียวหลินเทียนเรียกหาใครมิทันแล้ว หลิงอวี๋บอกว่าเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ต้องกินยาแก้พิษให้ทันเวลามิฉะนั้นพิษจะซึมเข้าสู่กระแสเลือด แล้วเขาจะหัวใจวายและตายได้ในเวลาอันสั้นเซียวหลินเทียนไม่มีเวลาแม้แต่จะสวมอาภรณ์ เขารีบหยิบยาแก้พิษที่หลิงอวี๋ให้มาแล้วกลืนลงไปทันทีในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น เซียวหลินเทียนรู้สึกว่าตนมิสามารถยกมือขึ้นได้แล้ว ความรู้สึกเฉื่อยชานั้นแล่นไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วหัวใจเต้นเร็วผิดปกติราวกับว่ามันจะกระโดดออกมาจากอกในไม่ช้านี้เขารู้สึกเวียนหัวจึงนั่งลงไปบนเก้าอี้ในตอนที่เซียวหลินเทียนคิดว่าตัวเองจะต้องตายเพราะหัวใจวาย ความรู้สึกเย็น ๆ ที่อธิบายมิได้ก็แพร่กระจายออกมาจากลำคอของเขาเซียวหลินเทียนรู้สึกว่าความถี่การเต้นของหัวใจของตนลดลงอย่างช้า ๆ และเขาก็มองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบได้ชัดเจนขึ้นยาแก้พิษที่หลิงอวี๋ให้มาออกฤทธิ์แล้ว!เซียวหลินเทียนเหงื่อท่วมตัว ประสบการณ์ความเป็นความตายในชั่วพริบตา ประสบการณ์ที่ขึ้นจากนรกสู่สวรรค์เช่นนี้เขามิอยากสัมผัสมันอีกแล้วในชีวิตนี้เซียวหลินเทียนรอจนกลับมาเป็นปกติก่อนถึงตะโกนเรียกด้วยเสียงแหบ “หลู่ชิ่ง!”หลู่ชิ่งได้
จ้าวซวนเหลือบมองหมอเฉินอย่างเย็นชา แล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “หมอเฉิน ทุกคนต้องถูกตรวจสอบทั้งหมด! หากท่านบริสุทธิ์ ไฉนต้องกลัวการตรวจสอบด้วยเล่า!”“อย่ามาพูดจาไร้สาระ ยกมือขึ้นให้ข้าตรวจสอบเดี๋ยวก็รู้!”จ้าวซวนหยิบโคมไฟรังสียูวีออกมา แม้ว่าหมอเฉินจะมิพอใจ แต่พอเห็นหมอหานกับหมอหลี่ยกมือขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ เขาก็มองมือของตนอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงยกมือขึ้นอย่างสบายใจจ้าวซวนส่องโคมไฟไปที่พวกเขา ครั้นเห็นว่ามือของหมอหานกับหมอหลี่ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่บนฝ่ามือทั้งสองของหมอเฉินเรืองแสงไปด้วยสีเขียว ๆ บนเสื้อผ้าของเขาก็ด้วยสีหน้าของจ้าวซวนเปลี่ยนไปทันที เขาชักดาบออกมาพร้อมกับตะโกนออกไป “มือสังหารคือหมอเฉิน จับตัวเขาไว้!”องครักษ์ที่ฉินซานพามานั้นรีบวิ่งขึ้นมาทันทีแล้วชักดาบมาล้อมหมอเฉินไว้หมอเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนด้วยความโกรธ “องครักษ์จ้าว อย่ามาใส่ร้ายข้านะ… ข้านอนอยู่ในห้องตลอด มิได้ออกไปข้างนอกเลย แล้วข้าจะเป็นมือสังหารที่ลอบสังหารท่านอ๋องได้เยี่ยงไร!”“มิได้ออกไปไหนเลยรึ? เช่นนั้นที่มือเรืองแสงเต็มไปหมดนี่เจ้าจะอธิบายเยี่ยงไร?”หลิงอวี๋กับเซียวหลิ
จ้าวซวนรีบวิ่งไปคว้ากรามของหมอเฉินแล้วค้นในปากของเขาทันทีหลังจากนั้นไม่นาน จ้าวซวนก็พบฟันปลอมที่มีถุงพิษอยู่ด้วยเพื่อป้องกันหมอเฉินซ่อนเข็มพิษไว้ในร่างกาย จ้าวซวนกับองครักษ์จึงลากหมอเฉินเข้าไปในห้องแล้วเปลื้องผ้าเขาจนหมด จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเขาใหม่ในเสื้อผ้าของหมอเฉิน พวกเขาพบเข็มพิษหนึ่งห่อกับยาพิษอีกสองห่อ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นอีกท่านจินต้าจัดให้หมอหานกับคนอื่น ๆ ไปอาศัยอยู่ในเรือนอื่น ในเรือนนี้มีเพียงคนของเซียวหลินเทียนอยู่เท่านั้นหลิงอวี๋ตรวจดูยาพิษทั้งสองห่อ ล้วนเป็นพิษที่อันตรายถึงชีวิตทั้งคู่ หากกินเข้าไปจะตายภายในไม่กี่นาทีนางแอบดีใจที่ยาพิษที่หมอเฝิงวางใส่ตนนั้นมิร้ายแรงถึงชีวิตเช่นนี้ มิเช่นนั้นตนคงทนอยู่จนพวกเซียวหลินเทียนหายาแก้พิษมิได้หรอก“หมอเฉิน ตัวตนของเจ้ามิใช่เพียงแค่หมอของโรงหุยชุนใช่หรือไม่?”เซียวหลินเทียนกำลังสอบปากคำหมอเฉินหมอเฉินไม่มีโอกาสฆ่าตัวตายแล้ว เขาอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วมองเซียวหลินเทียนโดยมิพูดอะไรเลยสักคำ“เจ้ากับชิวเหวินอิงเป็นพวกเดียวกันใช่หรือไม่? นางหนีออกจากตำหนักอ๋องอี้มา เป็นเจ้าที่รับนางไปอยู่ด้วยใช่หรือไม่?”หมอเฉินยั
เซียวหลินเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็คิดบางอย่างได้พลางเอ่ย “ท่านจินต้า ท่านคิดว่าเช่นนี้จะเป็นไปได้หรือไม่… ชิวเหวินอิงหนีออกจากตำหนักอ๋องอี้ บางทีนางอาจจะแอบเข้าไปในตำหนักองค์ชายเว่ยก็ได้!”“ตอนนี้องค์ชายเว่ยกำลังลำบาก ชิวเหวินอิงจึงส่งสัญญาณให้หมอเฉินฆ่าหมอเฝิงเพื่อที่จะไม่เปิดเผยที่อยู่ของตนเอง!”“ตราบใดที่องค์ชายเว่ยไม่ล้ม นางก็ยังมีโอกาสคอยปลุกปั่นสร้างปัญหาได้อยู่!”“ส่วนทางด้านองค์ชายคัง จ้าวเจินเจินจัดการเรื่องภายในได้ดีมาก ชิวเหวินอิงไม่มีทางแฝงตัวเข้าไปได้แน่!”ท่านจินต้าตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก้มหน้าลงแล้วเอ่ย “ท่านอ๋อง การคาดเดาของท่านสมเหตุสมผลแล้ว กระหม่อมจะส่งคนไปตรวจสอบรายละเอียดเรื่องคนที่ถูกเพิ่มเข้าตำหนักองค์ชายเว่ยหลังจากที่ชิวเหวินอิงจากไปดูพ่ะย่ะค่ะ!”คืนนั้น “ศพ” ของหมอเฉินถูกจ้าวซวนลากออกไปฝัง นอกจากจ้าวซวนกับคนวงในอีกสองสามคนแล้ว ไม่มีใครเลยรู้ว่าหมอเฉินยังมีชีวิตอยู่สำหรับมือสังหารที่สมควรตาย ไม่มีใครสนใจการมีอยู่ของเขาหรอกการเดินทางที่เหลือเป็นไปอย่างราบรื่น ทุกคนมาถึงเมืองหลวงโดยสวัสดิภาพเมื่อหลิงอวี๋เห็นประตูเมืองหลวง นางก็รู้สึกสบายใจอย่าง
“ท่านแม่… ท่านแม่...”ทันทีที่หลิงอวี๋ลงจากรถม้า หลิงเยวี่ยก็พุ่งเข้ามากอดต้นขาของนางแล้วเรียกอยู่ตลอดเด็กชายเพิ่งมาถึงต้นขาของหลิงอวี๋ ใบหน้าส่วนใหญ่ของเขาจมอยู่ในกระโปรงของหลิงอวี๋แล้ว แม้ว่าหลิงอวี๋จะดึงเขา เขาก็มิยอมออกมา“ท่านแม่!”เสียงของหลิงเยวี่ยขึ้นจมูกเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังร้องไห้อยู่เลยหลิงอวี๋คุกเข่าลงกอดเขาแล้วเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล “เยวี่ยเยวี่ยได้รับความคับข้องใจอะไรหรือไม่? มีใครรังแกเยวี่ยเยวี่ยหรือ? บอกแม่มา แม่จะไปตีเขาจนเลือดออกเลย!”หลิงเยวี่ยส่ายหัวอย่างแรง แต่ยังคงก้มหน้าอยู่หลิงอวี๋ยิ้มพลางเอ่ย “เยวี่ยเยวี่ยร้องไห้หรือ?”หลิงเยวี่ยยังคงส่ายหัว พลางเอ่ยด้วยเสียงคับข้องใจ “เยวี่ยเยวี่ยมิได้ร้องไห้ขอรับ!”“ไม่ร้องไห้ แล้วนี่มันอะไรกัน?”หลิงอวี๋สัมผัสใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำตา“มิได้ร้องไห้… ก็มิได้ร้องไห้สิขอรับ!”หลิงเยวี่ยโผตัวไปบนไหล่ของหลิงอวี๋ ซ่อนใบหน้าเล็ก ๆ ของตนไว้ในอาภรณ์ของหลิงอวี๋“เอาเถิด ๆ… มิได้ร้องไห้ก็มิได้ร้องไห้ เยวี่ยเยวี่ยของเราคงฝุ่นเข้าตากระมัง!”หลิงอวี๋หัวเราะ เด็กผู้นี้ต้องอายแน่ ๆ!แม้ว่าปกติแล้วหลิงเยวี่ยจะมี
เมื่อหลิงเยวี่ยได้พูดขึ้นมาก็พูดไม่รู้จบ พูดจนกระทั่งแม่นมลี่มาเรียกพวกเขาไปกินอาหารเย็น“คุณหนูเจ้าคะ ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องทรงให้คนกลับมาส่งข้อความว่าเย็นนี้จะกินข้าวด้วยกัน หมิ่นกูได้เตรียมงานเลี้ยงที่โถงดอกไม้ไว้แล้ว คืนนี้ไปกินข้าวที่นั่นเถิดเจ้าค่ะ!”แม่นมลี่พูดอย่างร่าเริง “เหรินจื้อกับหมิ่นกูดูแลตำหนักอ๋องอี้อย่างดีในช่วงที่พวกท่านมิอยู่เจ้าค่ะ!”“เหรินจื้อยังไปที่ไร่นาของท่านอ๋องในหมู่บ้านตระกูลเฉินด้วยตนเอง สั่งให้พวกเขาปลูกผักให้มาก ฤดูหนาวนี้ผักในไร่นาเพียงพอที่จะเลี้ยงคนในตำหนักอ๋องอี้แล้วเจ้าค่ะ!”หลิงอวี๋พาหลิงเยวี่ยไปที่โถงดอกไม้พร้อมกับแม่นมลี่ ระหว่างทางก็เห็นว่าทุกอย่างในตำหนักได้รับการจัดระเบียบอย่างเรียบร้อยดีดูท่าทางหมิ่นกูจะปฏิบัติตามคำสั่งของตนอย่างดีจริง ๆ จัดการตำหนักอ๋องอี้ได้เป็นอย่างดีมากที่โถงดอกไม้มีโต๊ะจัดไว้สิบกว่าโต๊ะ ฉากกั้นหนึ่งแยกโต๊ะหนึ่งออกจากโต๊ะอื่น นี่คือโต๊ะแยกต่างหากสำหรับหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนหลิงอวี๋ให้แม่นมลี่หาคนมายกฉากกั้นออก คราวนี้ทุกคนออกไปร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา นางเชื่อว่าเซียวหลินเทียนจะไม่มีทางรังเกียจที่จะกินข้าวกับทุก
เมื่อเฉียวไป๋ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าท่านอาเฉียวพูดออกมาอย่างสมเหตุสมผล ความรู้ในเรื่องค่ายกลของเขามิได้ลึกซึ้งเท่ากับที่ท่านอาเฉียวมี“ได้ เช่นนั้นข้าจะเข้าไปเอง!”เฉียวไป๋จะเข้าไปในทันทีแต่ท่านอาเฉียวก็คว้าตัวเขาเอาไว้ก่อน “ฉีกผ้ามาอุดหูเจ้าเอาไว้ แล้วจำไว้ว่า ทุกสิ่งที่เห็นล้วนเป็นภาพลวงตา แค่เดินตรงไปทางขวาตลอดก็พอแล้ว!”เฉียวไป๋พยักหน้า แล้วฉีกเศษผ้ามาอุดหูทั้งสองข้างเอาไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปท่านอาเฉียวมองเฉียวไป๋ที่เดินเข้าไปแล้วเคลื่อนไหวอยู่ในยอดน้ำแข็งนั้นอย่างกังวล แต่ทั้งที่เห็น ๆ อยู่ว่าเฉียวไป๋อยู่ห่างจากนายใหญ่เฉียวแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะมองมิเห็นอีกฝ่ายเฉียวไป๋หันไปหันมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชักกระบี่ออกมาฟันมั่ว ๆ ไปที่ยอดน้ำแข็ง ท่าทางที่บ้าคลั่งเช่นนั้นเหมือนกับนายใหญ่เฉียวไม่มีผิดหัวใจของท่านอาเฉียวเต้นรัวขึ้นมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าวิธีการของตนนั้นใช้การมิได้หากปล่อยให้เฉียวไป๋กับนายใหญ่เฉียวฟันมั่ว ๆ เช่นนี้ต่อไป มิช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องพบกันและฟันกันและกันจนตายในที่สุดในเวลานี้ท่านอาเฉียวเข้าใจแล้วว่า ตนม
หวงฝู่หลินพาปี้ซงออกจากวังเทพไป เมื่อลงไปได้ถึงครึ่งภูเขา ก็พบกับกลุ่มคนจากตระกูลเฉียวที่กำลังขึ้นเขามาอย่างช้า ๆยิ่งเข้าไปใกล้วังเทพมากขึ้นเท่าไร กับดักและค่ายกลที่หวงฝู่หลินวางเอาไว้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นตระกูลเฉียวสามารถฝ่ากับดักเหล่านั้นขึ้นมาจนถึงครึ่งภูเขาได้ก็น่ายกย่องแล้วแต่หวงฝู่หลินมิคิดว่า พวกเขาจะสามารถมาเยือนเขตของวังเทพได้อย่างราบรื่นสวรรค์มีเส้นทางให้ไปเจ้ามิไป แต่นรกไม่มีประตูเจ้ากลับฝ่าเข้ามาหวงฝู่หลินยิ้มอย่างเย็นชา สำหรับคนที่มาทำลายถิ่นฐานของตนเหล่านี้ เขาจะมิปล่อยไปแม้แต่คนเดียวรอรับการโจมตีได้เลย!กลุ่มของเฉียวไป๋กำลังเดินตามนายใหญ่เฉียวขึ้นไปบนเขา การที่สามารถมาได้ถึงครึ่งภูเขาเช่นนี้ ทั้งยังกำจัดคุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อกับเซียวหลินเทียนไปได้ ทำให้คนของตระกูลเฉียวตื่นเต้นกันยิ่งนักกอปรกับที่สามารถมองเห็นตำหนักของวังเทพได้ราง ๆ แล้วด้วย จึงทำให้พวกของเฉียวไป๋รู้สึกนับถือนายใหญ่เฉียวมากทางด้านนายใหญ่เฉียว เมื่อได้รับสายตาที่เคารพนับถือเหล่านั้นก็ยิ่งรู้สึกปลาบปลื้ม และนำทุกคนเข้าสู่ค่ายกลที่หวงฝู่หลินวางไว้ด้วยความมุ่งมั่นก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทลายค่ายกล
ขันทีโม่เหลือบมองเซียวหลินเทียนด้วยความสงสัย เซียวหลินเทียนนั้นเชื่อขันทีโม่ที่ช่วยเหลือพวกเขามาโดยตลอดอย่างไร้เงื่อนไขอยู่แล้ว เขาจึงขยิบตาให้กับขันทีโม่ไปขันทีโม่เข้าใจในทันทีว่า มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นั้นตกอยู่ในมือของเซียวหลินเทียนแล้วแม้ว่าขันทีโม่เองก็คิดมิตกเช่นกันว่า เซียวหลินเทียนทำให้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เชื่อฟังเขาในเวลาเพียงมินานได้อย่างไร แต่ก็ยังคงช่วยเขาพูดอยู่ดี“หากว่าไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ต่อให้มอบมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหลงให้ข้าก็เปล่าประโยชน์! คลื่นพลังวิญญาณนั้นอาจจะเป็นคลื่นที่เกิดจากการที่ภูเขาน้ำแข็งถล่มก็ได้!”เซียวหลินเทียนก็เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “น่าจะใช่กระมัง ก็เหมือนกับที่ป่าแห่งนั้นในเมืองซานต้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เมื่อถูกเผาทำลายไปก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณขึ้นมา!”เก๋อเฟิ่งฉิงขาหักจึงมิสะดวกที่จะค้นหา เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคนนั้น นางครุ่นคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น จึงมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่ให้ทั้งสองค้นหามหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีก“ท่านสี่ ข้าคาดว่าพวกเราน่าจะตกลงมาหลายสิบเมตรทีเดียว เมื่อครู่ข้าค้นหามาตลอดทางแต่ก็มิพบเส้นท
หัวใจของเซียวหลินเทียนนั้นตื่นเต้นเสียจนแทบจะกระโดดออกมาแล้วในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่ากระบี่คุนอู๋เล่มนี้จะดูดเลือดของตนไปอีกเท่าไร เขาก็ได้ยินเสียงคนพูดมาจากไกล ๆ “ขันทีโม่ เจ้ารู้สึกได้หรือไม่? ที่นี่มีคลื่นพลังวิญญาณ หรือว่าท่านสี่จะอยู่ข้างหน้านี้?”นั่นเสียงของเก๋อเฟิ่งฉิง!เซียวหลินเทียนมองที่กระบี่คนอู๋ ของวิเศษเช่นนี้จะให้เก๋อเฟิ่งฉิงรู้เรื่องมิได้เซียวหลินเทียนจับด้ามกระบี่คุนอู๋เอาไว้แน่น จากนั้นก็ออกแรงทั้งหมดชักกระบี่ออกมา...วินาทีต่อมา เซียวหลินเทียนก็หงายหลังลงไปที่พื้นเนื่องด้วยออกแรงมากไปส่วนกระบี่คุนอู๋ก็ถูกเขาชักออกมาได้อย่างสบาย ๆดวงตาที่ตื่นเต้นของเซียวหลินเทียนนิ่งค้างไป กระบี่คุนอู๋ยอมรับเขาแล้ว!มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์นับพันปีชิ้นนี้ยอมรับเขาเป็นเจ้านายแล้ว!“ท่านสี่? ใช่ท่านหรือไม่?”เสียงของเก๋อเฟิ่งฉิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วเซียวหลินเทียนรีบลุกขึ้นยืนแล้วเก็บกระบี่คุนอู๋ไว้ในแหวนพระสุเมรุ ขณะที่เขากำลังคิดจะไปหาพวกเก๋อเฟิ่งฉิง สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นว่า ก้อนน้ำแข็งที่ฝั่งกระบี่คุนอู๋เอาไว้เมื่อครู่นั้นแตกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วส่วนก้อนน้ำแข
กระบี่คุนอู๋?หรือว่านี่จะเป็นกระบี่เทพในตำนาน?เซียวหลินเทียนเป็นคนที่รักกระบี่ เมื่อก่อนตอนที่เป็นอ๋องอี้ก็สะสมกระบี่ที่มีชื่อเสียงไว้มิน้อยแต่กระบี่ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น หากมาเทียบกับกระบี่คุนอู๋เล่มนี้ก็ล้วนเป็นขยะไปทั้งหมดนี่คือกระบี่คุนอู๋จริงหรือ?เซียวหลินเทียนมิอยากจะเชื่อว่านี่คือกระบี่โบราณอายุกว่าพันปี ซึ่งคนในใต้หล้ามิเคยได้เห็นมาก่อน ดังนั้นแม้ว่าเซียวหลินเทียนจะรู้จักกระบี่คุนอู๋ แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงเทพนิยายที่คนในใต้หล้าแต่งขึ้นมาเอง!ตำนานกล่าวไว้ว่า กระบี่คุนอู๋เกิดจากกระดูกสันหลัง การบำเพ็ญตนเป็นเวลาร้อยปีและพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของผานกู่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกที่ผสานรวมกับพลังชีวิตของฟ้าดินตามตำนานกล่าวไว้ว่า หลังจากที่ผานกู่หลอมกระบี่คุนอู๋สำเร็จแล้ว เขาก็มิสามารถควบคุมมันได้ เนื่องด้วยพลังวิญญาณของกระบี่เล่มนี้แข็งแกร่งมาก สุดท้ายจึงทำได้เพียงเก็บรวบรวมพลังชีวิตและพลังวิญญาณทั้งหมดไว้ในกระบี่คุนอู๋นี้กระบี่คุนอู๋เป็นบรรพบุรุษของกระบี่ ความคมของกระบี่นั้นสามารถทำลายฟ้าดินได้เลยทีเดียวหากว่านี่คือกระบี่คุนอู๋ในตำนานจริง ๆ เช่นนั้นก็ต้องอยู่ในสามอันดับแร
ก้อนน้ำแข็งแตกจำนวนนับมิถ้วนพากันกระแทกเข้ามา แม้ว่าเซียวหลินเทียนจะมีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน แต่ก็มิอาจหนีพ้นการแก้แค้นที่รุนแรงของธรรมชาติเช่นนี้ไปได้เขาเบี่ยงหลบไปทางซ้ายทีขวาที แต่เพราะว่าหล่นลงมารวดเร็วจนเกินไป จึงมิอาจหลบพ้นก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นที่พากันกระแทกเข้ามาได้ก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งกระแทกเข้ามาที่หัวของเซียวหลินเทียน เซียวหลินเทียนรู้สึกว่าหัวของตนมีเลือดไหลออกมา แต่ยังมิทันจะได้ยื่นมือไปสัมผัส ก็มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มากก้อนหนึ่งกระแทกเข้ามาอีก เซียวหลินเทียนรู้สึกว่าตรงหน้ามืดลงไปทันที และมองก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่นั้นพุ่งเข้ามาใส่ตนอย่างสิ้นหวังคราวนี้จะต้องตายอยู่ในภูเขาหิมะแห่งนี้จริง ๆ หรือ?อาอวี๋ ข้าจะยังได้พบเจ้าหรือไม่?เซียวหลินเทียนยังมิทันได้ย้อนรำลึกถึงช่วงชีวิตนี้ เขาก็ได้ยินเสียงดังลั่น จากนั้นก็รู้สึกได้ว่าร่างกายตนกระเทือนแล้วตกลงไปในความมืดมิรู้ว่าเซียวหลินเทียนสลบไปนานเท่าไรก่อนที่จะได้สติขึ้นมา ยังมิทันที่เขาจะลืมตา ก็รู้สึกได้ว่าเจ็บปวดไปทั้งตัวราวกับว่าตัวจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆในเมื่อรู้สึกเจ็บปวดได้ก็แสดงว่าตนยังคงมีชีวิตอยู่ เซียวหลินเทียนลืมตาขึ้นอ
ฉินซานเห็นว่าเซียวหลินเทียน ขันทีโม่และเก๋อเฟิ่งฉิงร่วงลงไปกันอย่างรวดเร็วปานนั้น ต่อให้ตนกระโดดลงไปก็มิสามารถช่วยเซียนหลินเทียนขึ้นมาได้แล้ว เขาจึงกระโดดตามหานเหมยออกมาจากหุบเขาส่วนซูจู๋นางรับใช้ของเก๋อเฟิ่งฉิง เมื่อเห็นว่าสถานการณ์มิดีก็หนีออกไปพร้อมกับคนรับใช้คนอื่น ๆ นานแล้วทุกคนหนีออกมาค่อนข้างไกลแล้วและมายืนอยู่ข้างนอกหุบเขา แต่ก็ยังได้ยินเสียงของก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นดังสนั่นอยู่“พวกเขา… คุณหนูยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”ซูจู๋ตกใจเสียจนตาค้างไปหมด ผ่านเวลาไปสักพักจึงเรียกสติกลับคืนมาได้ นางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทาทั้งหานเหมยและฉินซานเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะตอบคำถามของนาง พวกเขามองภาพที่ภูเขาหิมะถล่มลงมาอย่างตื่นตระหนก มิเข้าใจเลยว่าคนของตระกูลเฉียวทำลงได้อย่างไร!พวกเฉียวไป๋ยืนอยู่บนยอดเขาตรงกันข้าม แล้วจ้องมองภาพหิมะถล่มนั้นอย่างเย็นชาหลังจากที่ได้รู้ว่าเซียวหลินเทียนคือสามีของหลิงอวี๋ พ่อของเฉียวไป๋ ผู้ซึ่งเป็นนายใหญ่ตระกูลเฉียวผู้นำตระกูลคนปัจจุบันก็วางแผนที่จะแก้แค้นแทนบุตรชายของตนนี่เป็นเพียงแค่ขั้นแรกในการแก้แค้นของนายใหญ่เฉียวเท่านั้นสังหารคนหนุนหลังของหลิงอวี๋ไป
เซียวหลินเทียนมองมิเห็นคนของตระกูลเฉียว เพราะถูกยอดภูเขาน้ำแข็งเหล่านี้บดบังสายตาอยู่“ทุกคนระวังด้วย! ดูแลกันเข้าไว้!”เซียวหลินเทียนกำชับพวกฉินซานให้ใส่ใจในเรื่องความปลอดภัย ส่วนตนกับขันทีโม่ก็อาศัยว่ามีวรยุทธ์ที่สูงกว่าพวกเขา จึงไปค้นหาเส้นทางอยู่ทางด้านหน้าเก๋อเฟิ่งฉิงมิปล่อยให้โอกาสในการได้ใกล้ชิดกับเซียวหลินเทียนหลุดลอยไป นางจึงตามไปเช่นกันก่อนหน้านี้เก๋อเฟิ่งเจียวทำให้เก๋อเฟิ่งฉิงเสียเรื่อง ดังนั้นในการเข้ามาที่ภูเขาหิมะครั้งนี้ เก๋อเฟิ่งฉิงจึงมิได้พาเก๋อเฟิ่งเจียวมาด้วยทางด้านหานอวี้ตั้งใจจะสร้างโอกาสให้ฉินซานกับพี่สาวของตน จึงลากเถาจื่อไปพลางเอ่ยออกมา “เราสองคนไปด้วยกัน จะได้ดูแลกันและกัน!”ดังนั้นคนที่เหลือก็มีเพียงแค่ฉินซานกับหานเหมยแล้ว ฉินซานจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างใจดี “เช่นนั้นข้าก็อยู่กลุ่มเดียวกับหานเหมย!”เขาจึงคว้าแขนของหานเหมยไว้ จากนั้นก็ตามไปพร้อมกันหานเหมยหน้าแดงขึ้นมา แต่ก็มิได้สะบัดมือฉินซานออกไปหานอวี้บอกกับนางว่า การที่นางหายตัวไปครั้งนี้นั้นฉินซานกระวนกระวายมาก และตั้งใจที่จะมาตามหานาง“พี่หญิง การที่เจ้ามีความทะเยอทะยานก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องแต
ทางด้านเถ้าแก่เจียง ท่านป้าวบอกว่าจะช่วยหลิงอวี๋ตามหาน้องสาว จึงจะให้หลิงอวี๋อยู่ที่นี่สักสองสามวัน เขาเห็นว่าหลิงอวี๋ก็ดูท่าทางเห็นด้วยเช่นกัน จึงมิได้ใส่ใจ ให้หลิงอวี๋อยู่ที่นี่ส่วนตนก็พาเสี่ยวซานเอ๋อร์กลับในตอนที่ยังมิรู้ถึงบทบาทของหลิงอวี๋ที่มีต่อหวงฝู่หลินอย่างแน่ชัดนี้ ท่านป้าวจึงจัดให้หลิงอวี๋ไปอยู่ที่เรือนทางสวนด้านหลังที่อยู่ห่างออกไป แต่แม้ว่าจะห่างไกลก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มิได้เพิกเฉยหลิงอวี๋ไปท่านป้าวมิได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะช่วยหลิงอวี๋ตามหาน้องสาว หลิงอวี๋ก็มิอยากจะพูดเช่นกัน นางรู้สึกว่าตนตกอยู่ในเงื้อมมือของหวงฝู่หลินเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้วหากตามหาน้องสาวเจอ ก็จะเป็นการเพิ่มคนที่หวงฝู่หลินจะนำมาข่มขู่ตนมากขึ้นอีกคนหลังจากนี้เมื่อตนสามารถหลุดพ้นออกมาได้ ก็ค่อยไปตามหาน้องสาวแล้วกันหลิงซินเห็นว่าหลิงอวี๋จัดการเพียงชั่วครู่ ก็ทำให้ท่านป้าวที่เป็นดั่งหอคอยเหล็กผู้นั้นเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อนางไปได้แล้ว ความหวาดกลัวในใจก็ลดลงไปมากนางรู้สึกว่า ความสามารถของคุณหนูผู้นี้มีมากกว่าเถ้าแก่เจียงอีก การติดตามนางดูน่าจะไม่มีอันตรายใด ๆกระทั่งเถ้าแก่เจียงกลับไปแล้ว หล