ประมุขซุนเดินตามรองประมุขเฉินไปรอบ ๆ แต่ประมุขซุนค่อนข้างสงบมากกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแสดงออกแบบเดียวกันกับภาพวาดของทุกคนเลยจ้าวเจินเจินสังเกตการแสดงออกของประมุขซุนแล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้นเพื่อความยุติธรรม ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจให้คณะกรรมการตัดสินทุกคนทำการลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินผู้ชนะหลังจากที่ประมุขซุนกับรองประมุขเฉินดูเสร็จ คณะกรรมการตัดสินก็ขึ้นไปตรวจดูทีละคนตอนเซียวหลินเทียนเห็นภาพวาดของจ้าวเจินเจิน หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เขามองมันอย่างว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกผสมปนเปในใจทักษะการวาดภาพกับอักษรศิลป์ของจ้าวเจินเจินนั้นดีกว่าตอนนั้นที่ใกล้ชิดกับตนนักเห็นได้ว่าจ้าวเจินเจินมิได้ขี้เกียจเลย หลายปีที่ผ่านมาพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเขามองที่ภาพวาดของหลิงอวี๋โดยมิหวังแล้ว จากนั้นเซียวหลินเทียนก็ละสายตาไปทางอื่นมิได้แล้วจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เป็นราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ นี่… นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไร!หลิงหว่านสังเกตสายตาของคณะกรรมการตัดสินอยู่ตลอด และคำนวณเวลาที่พวกเขาอยู่หน้าภาพวาดแต่ละภาพนางมั่นใจในภาพวาดของตนมาก และนางก็เป็นห่วงหลิงอวี๋!นางแค่หวังว่าหลิงอวี๋จะมิได้แย่ถึงเ
ประมุขซุนเห็นรองประมุขเฉินดื้อดึงไม่ยอมรับผิด จึงไม่อยากมากความเช่นกัน พลันกล่าวเย็นชา“โปรดแสดงภาพวาดของพระชายาคังและพระชายาอ๋องอี้ให้ทุกท่านชมเสีย!”นางกำนัลสี่คนเดินไปข้างหน้าพลางนำภาพวาดของหลิงอวี๋กับจ้าวเจินเจินมาแสดงอยู่หน้าเวทีคุณหนู คุณชายที่เข้าใจภาพเขียนทั้งหลายพลันออกันที่ข้างหน้าภาพของจ้าวเจินเจินคือภาพทัศนาจรในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ไกล ๆ ดอกท้ออยู่ใกล้ ๆ ลำธารทอดยาวคดเคี้ยวหลั่งไหล และมีปลาว่ายเล่นในน้ำภายในศาลาระหว่างทางขึ้นภูเขา มีภาพสตรีผู้หนึ่งกำลังชมลำธารอยู่ที่ไกล ๆผลงานภาพทั้งภาพช่างล้ำเลิศละเมียดละไมและเหมือนจริงอย่างยิ่งถึงแม้สตรีจะไม่เผยโฉม แต่ภาพอันโดดเดี่ยวนั้นกลับโดนใจทุกคน…เมื่ออันเจ๋อเห็นภาพวาดนี้ก็เหลือบมองเซียวหลินเทียนโดยไม่รู้ตัว และเริ่มลังเลในใจเป็นครั้งแรกตนควรลงคะแนนให้จ้าวเจินเจินเลยหรือไม่?ครั้นเห็นภาพนี้ อันเจ๋อก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงอวี๋ทำลายบุพเพสันนิวาสของเซียวหลินเทียนกับจ้าวเจินเจินหรือว่าสตรีในภาพจะพรรณนาตามจริงที่จ้าวเจินเจินรอคอยเซียวหลินเทียนสี่ปี?ตั้งตาคอยอย่างคาดหวัง ทว่าเรือผ่านไปนับพันลำ(1)ล้ว
แล้วภาพวาดแบบใดคือภาพที่ดีเล่า?มันเป็นภาพวาดที่ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนประสบมากับตัวและยากจะลืมตั้งแต่แวบแรก!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไร้เสียง แต่ก็มีเสียงชวนให้คนรู้สึกถึงเสียงหัวเราะที่อุดมไปด้วยความหลงใหล และเสียงโห่ร้องอันยินดี!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา…ทำให้คนเห็นถึงความซุกซนของลูกแมว ความมาดมั่นในการแข่งขันของจิ้งหรีด และความขัดแย้งของท่านอดีตเสนาบดีกับเหลนชายในเรื่องแพ้ชนะของจิ้งหรีด!หากภาพเช่นนี้ยังเรียกว่าภาพชิ้นเอกมิได้ เช่นนั้นก็ไม่มีภาพชิ้นเอกอยู่บนใต้หล้านี้แล้ว!“เจ้าลูกแมวจอมซนตัวนี้ หากกระโจนไปแบบนั้นจะทำให้เด็กตกใจหรือไม่?”มีสาวน้อยผู้หนึ่งอดทักขึ้นไม่ได้ขณะกำลังเชยชมคุณชายคนหนึ่งชี้ยังจิ้งหรีดตัวนั้นที่เด็กหยอกล้อ พลางร้องทักอย่างตื่นเต้น “ข้าชอบจิ้งหรีดตัวนี้ ช่างดูเก่งการสู้รบนัก หากนำไปต่อสู้ต้องได้เป็นราชาแน่นอน!”“ขาของท่านอดีตเสนาบดีหายหรือยัง?”คุณชายผู้หนึ่งถามอย่างเป็นห่วง “ก่อนหน้าได้ยินว่าท่านอดีตเสนาบดีล้มป่วย ข้ายังนึกว่าฉินตะวันตกจะสูญเสียนักรบมีฝีมือไปอีกคน ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอดีตเสนาบดีจักฟื้นตัวในเร็ววัน!”
เสียงดังบังเกิดทำให้ในสวนดอกไม้เงียบลงฉับพลัน…ทุกคนเงยหน้ามองทางท่านอ๋องเฉิงอย่างตกใจ ถ้วยชาใบนั้นเป็นท่านอ๋องเฉิงทำแตกขณะนี้ทั้งหน้าของท่านอ๋องเฉิงได้หมองหม่นลงแล้ว เขากระแทกถ้วยชาแตกอย่างโหดเหี้ยมพลางกวาดมองคนที่ร้องตะโกนเสียงดังด้วยแววตาเยือกเย็นโดยเฉพาะเหล่าคุณชายสกุลจ้าว!เหล่าคุณชายแห่งสกุลจ้าวถูกเขาจ้องจนขนพองสยองเกล้า พวกเขาพูดกระไรผิดไปหรือ?เหตุใดสีหน้าท่านอ๋องเฉิงถึงดูไม่ดีเช่นนี้เล่า?“ศิลปะพู่กันของพระชายาอ๋องอี้มิอาจทนดูไหวรึ?”“ภาพวาดของเด็กยังเขียนได้ดีกว่า?”“เจ้าใช้เท้าหนีบพู่กันยังเขียนได้ดีกว่านางงั้นรึ?”“อักษรที่ดูมิรู้เรื่องแบบนี้จะบอกว่าเป็นศิลปะพู่กันที่ดีได้อย่างไร?”ท่านอ๋องเฉิงพูดพลาง ใช้มือชี้คนที่พูดประโยคนั้นพลางเมื่อชี้ยังลั่วอวี้จู ขาของลั่วอี้จูก็อ่อนยวบ สีหน้าของท่านอ๋องเฉิงช่างน่ากลัวกระไรเยี่ยงนี้!“เหอะ ๆ ตนมีตาไร้แวว และยังกล้าว่าพูดวาจาเช่นนี้อีก!”เสียงหัวร่อของท่านอ๋องเฉิงทะลวงสู่บางคน แม้แต่องค์ชายคังก็รู้สึกหนาวทั่วร่างเมื่อตนโดนสายตาท่านอ๋องเฉิงจับจ้องเพราะตนเป็นคนแรกที่บอกว่าตัวอักษรของหลิงอวี๋ทนดูมิไหว!ศิลปะพู่กันนี้มี
หลิงอวี๋ในยุคปัจจุบันก็ชอบตัวอักษรหวัด ตอนนางเข้าวังไปถวายยาบำรุงให้ไทเฮา พระองค์เห็นว่านางชอบจดหมายสั้นของจักรพรรดิสูงสุดจึงมอบให้เป็นรางวัลเมื่อครู่หลิงอวี๋ใจคล้อยตามคิดว่าแบบอักษรประเภทนี้เหมาะกับลักษณะของตัวเองยิ่งนักเลยนำมาใช้!มันก็ถือว่าฉวยจังหวะเอารัดเอาเปรียบอยู่หรอก ทว่าหลิงอวี๋ไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องรับมือกับการกลั่นแกล้งของจ้าวเจินเจินและองค์หญิงหก นางจะเผชิญหน้าได้อย่างไร หากนางไม่ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับพวกนาง!“ประมุขซุน ตัวข้ารู้ว่าเจ้ามักพกจดหมายสั้นที่จักรพรรดิสูงสุดมอบให้ติดตัวไว้ จงนำออกมาให้คนตาบอดพวกนี้ได้เปิดหูเปิดตาเสีย!”เมื่อท่านอ๋องเฉิงโมโหเสร็จก็หัวเราะหยันกล่าวคำประมุขซุนคลี่ยิ้มอ่อนพลางสั่งให้เด็กรับใช้ของตัวเองนำจดหมายสั้นมาประมุขซุนเป็นคนสนิทของจักรพรรดิสูงสุดเช่นกัน เขามีจดหมายสั้นของจักรพรรดิสูงสุดสองฉบับขณะที่กางจดหมายสั้นออก ทุกคนที่กำลังคุกเข่าต่างก็มองเห็นชัดเจนรูปแบบอักษรที่พวกเขาเรียกว่า มิอาจทนดูไหวนั้นคล้ายกันกับแบบอักษรที่หลิงอวี๋ใช้ประมุขซุนคลี่ยิ้มอ่อนกล่าวคำ “ลองดูให้ดี เมื่อครู่ข้าก็บอกว่าแบบอักษรของพระชายาอ๋องอี้
“โปรดวางใจ ตัวข้าจะส่งคนไปมอบให้เจ้า!”จ้าวเจินเจินจ้องหลิงอวี๋เขม็ง และไม่คิดปิดบังความแค้นในแววตาของตนแล้วเช่นกันนางโน้มเข้าใกล้หลิงอวี๋พลางกล่าวเหี้ยม “เจ้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชนะข้าได้ นั่นไม่นับว่ามีความสามารถหรอกนะ เจ้าเอาหอริมธาราไปได้อย่างไร วันหน้าเจ้าก็ต้องคืนมันให้ข้าอย่างนั้น!”นี่คือการหักหน้าตนอย่างโจ่งแจ้งงั้นหรือ?หลิงอวี๋ไม่หวั่นการยั่วยุของจ้าวเจินเจินพลางหัวเราะหยันเสียงต่ำ“พระชายาคังนี่วัวลืมตีนจริง ๆ! ทั้งนางกำนัลสาดหมึกและพู่กันหัก หรือว่านั่นมิใช่เล่ห์เหลี่ยมของพวกเจ้ากัน?”“หากเจ้ามิฉวยโอกาสเอาเปรียบด้วยภาพวาดที่ถูกทอดทิ้งแบบนั้น มันความหมายว่าอะไร? นั่นมิใช่ว่าอยากให้เซียวหลินเทียนกับอันเจ๋อสงสารเจ้าและลงคะแนนให้เจ้าหรอกหรือ?”“องค์ชายคังล้วนเห็นซึ้งแต่พระองค์ยังตั้งใจลงคะแนนให้เจ้า นั่นช่างใจกว้างยิ่งนัก!”“หากครั้งนี้เจ้าชนะ องค์ชายคังคงเผยรอยยิ้มแห่งความใจกว้างได้! แต่ตอนนี้เจ้าพ่ายแล้ว…ข้าอยากรู้นัก องค์ชายคังจักคิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าหรือไม่!”หลิงอวี๋เดาเจตนาของจ้าวเจินเจินได้ทันทีตั้งแต่เห็นภาพวาดของนางนางอุตส่าห์ออมมือไม่เปิดโปงจ้าวเจินเจิน ทว
“มันก็แค่ประลองการละเล่นเอง เหตุใดเจ้าต้องบีบคั้นคนเยี่ยงนี้!”“เจ้ารู้แจ้งว่ากระโปรงนั่นน่าอับอาย ไยเจ้าต้องทำร้ายลูกข้าเช่นนี้!”ฮูหยินลั่วตะโกนเสียงสูงบ้างต่ำบ้างเซียวทงขมวดคิ้วพลางช่วยพูดสนับสนุนเช่นกัน “ช่างเถิด ให้นางดื่มสุราลงทัณฑ์ก็พอ!”จ้าวเจินเจินโกรธแค้นหลิงอวี๋ที่แย่งมงกุฎดอกโบตั๋นของตนไปได้ กอปรกับวาจาพวกนั้นของหลิงอวี๋ในเมื่อครู่ นางไม่อยากปล่อยหลิงอวี๋ไปง่าย ๆ แบบนี้ จึงช่วยพูดเช่นกัน“ใช่! น้องสะใภ้สี่ ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปเสีย แค่การละเล่นเท่านั้น เหตุใดต้องสร้างความลำบากใจเพียงนั้น!”“หากเจ้าบังคับลั่วอวี้จูสวมกระโปรงแบบนั้นอยู่ นั่นมิใช่คือเจตนาทำร้ายผู้อื่นหรอกหรือ? ไยเจ้าถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้!”“น่าขันสิ้นดี!” หลิงอวี๋จ้องฮูหยินลั่วกับจ้าวเจินเจินเขม็ง พลันด่าเสียงเฉียบขาดทันที“ไฉนเป็นตัวข้าโหดร้ายเล่า? กระโปรงตัวนี้มิใช่เป็นองค์หญิงหกเตรียมไว้หรือไร? แล้วกฎนี้ก็ไม่ใช่พวกเจ้าตั้งเองหรอกหรือ?”“ไฉนคราวนี้ถึงรู้แล้วว่ากระโปรงตัวนี้มันน่าอับอาย? ก่อนหน้านี้พระชายาผิงหนานก็ตรัสว่ากระโปรงนี้มิเหมาะเป็นบทลงโทษ พวกเจ้ามีผู้ใดว่ากระไรสักคนด้วยหรือ?”“ฮูหยินจู ท
เมื่อนึกถึงก่อนการประลอง องค์หญิงหกกับแม่ลูกลั่วอวี้จูและคนอื่น ๆ ได้ตั้งกฎลงโทษอย่างบีบบังคับ นั่นมิใช่เพราะคิดว่าหลิงอวี๋ไร้วิชาความรู้ และต้องพ่ายในที่สุดหรอกหรือ?หากหลิงอวี๋ได้ที่สุดท้าย องค์หญิงหกกับพวกลั่วอวี้จูจักต้องบีบคั้นให้หลิงอวี๋สวมกระโปรงตัวนั้นเต้นรำแน่นอน!เซียวหลินเทียนเชิดริมฝีปากยิ้มเยาะหยัน พลางกล่าวเสียงเฉียบขาด“กล้าเดิมพันก็ต้องยอมรับผล! ใครก็ได้ ทำให้นางผลัดเป็นกระโปรงตัวนั้นแล้วเต้นรำให้ทุกคนชมซะ!”ลั่วอวี้จูทรุดตัวนั่งกับพื้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พลางมองทางองค์หญิงหกกับจ้าวเจินเจินอย่างวิงวอน“องค์หญิงหกเพคะ พระชายาคัง พวกท่านช่วยหม่อมฉันด้วย…”แต่จ้าวเจินเจินถูกหลิงอวี๋ด่าจนหน้าแดงจรดหูไปแล้ว และมีคนข้างล่างเวทีไม่น้อยกำลังคอยจับผิดนางอยู่ ทั้งต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่นางกับหลิงอวี๋คือคนในราชวงศ์เหมือนกัน ตอนตั้งกฎไม่รักษาความยุติธรรม ตอนนี้กลับพูดว่าหลิงอวี๋โหดร้ายไม่ยกโทษให้ลั่วอวี้จูจ้าวเจินเจินไม่จำต้องฟังคำวิจารณ์ข้างล่างกับหูก็เดาได้ว่าผู้คนกำลังว่าตนเลือกปฏิบัติและจอมปลอม!ไฉนนางจะกล้าขอความเมตตาเพื่อลั่วอวี้จูอีกได้เล่า!องค์หญิงหกก็