หลิงอวี๋กำลังยุ่งอยู่กับการวาดภาพ ทุกคนเห็นเพียงว่าประเดี๋ยวนางก็ฝนหมึก ประเดี๋ยวนางก็ใช้พู่กันที่หักมาวาดภาพเซียวหลินเทียนมิกล้ามอง เขาเลิกหวังว่าหลิงอวี๋จะเป็นผู้ชนะแล้ว เขาแค่คิดว่าอีกประเดี๋ยวจะช่วยหลิงอวี๋แก้ไขปัญหาเรื่องสวมกระโปรงนั้นได้เยี่ยงไร!ฮูหยินลั่วรู้สึกภูมิใจ แล้วยิ้มให้ฮูหยินที่อยู่รอบ ๆ พลางเอ่ย“พระชายาอ๋องอี้ผู้นี้นี่จริง ๆ เลย แพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ไปเสียสิ เหตุใดจึงต้องทนยื้อต่อไปเล่า!”“น่าสงสารนางกำนัลผู้นั้น นางก็มิได้ตั้งใจ แต่ถูกท่านอ๋องอี้หักมือไปแล้ว… ท่านอ๋องอี้คงจะแพ้ไม่เป็นจึงได้กริ้ว!”มีฮูหยินคนหนึ่งมิกล้าพูดวาจาไม่ดีกับท่านอ๋องอี้ จึงเออออตามไป“พระชายาอ๋องอี้ไม่รู้ตัวเอง มิเกี่ยวอะไรกับท่านอ๋องอี้ คาดว่าท่านอ๋องอี้คงมิอยากให้นางทำให้พระองค์อับอาย!”พระสนมหรงได้ยินคำพูดของทั้งสองคนก็หัวเราะเยาะพลางเอ่ย“เทียนเอ๋อร์ของข้าถูกหลิงอวี๋ทำลายชื่อเสียงไปมากแล้ว พวกเจ้าอย่าเอาพวกเขาไปเหมารวมกันเลย เทียนเอ๋อร์ก็คือเทียนเอ๋อร์ นางก็คือนาง!”ฮูหยินลั่วมองพระสนมหรง แล้วจู่ ๆ ดวงตาก็เป็นประกายประเดี๋ยวหากหลิงอวี๋แพ้ก็ต้องสวมกระโปรงเช่นนั้นเต้นรำแล้วทำใ
ประมุขซุนเดินตามรองประมุขเฉินไปรอบ ๆ แต่ประมุขซุนค่อนข้างสงบมากกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแสดงออกแบบเดียวกันกับภาพวาดของทุกคนเลยจ้าวเจินเจินสังเกตการแสดงออกของประมุขซุนแล้วก็มีความมั่นใจมากขึ้นเพื่อความยุติธรรม ก่อนหน้านี้ได้มีการตัดสินใจให้คณะกรรมการตัดสินทุกคนทำการลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสินผู้ชนะหลังจากที่ประมุขซุนกับรองประมุขเฉินดูเสร็จ คณะกรรมการตัดสินก็ขึ้นไปตรวจดูทีละคนตอนเซียวหลินเทียนเห็นภาพวาดของจ้าวเจินเจิน หัวใจของเขาก็ตึงเครียด เขามองมันอย่างว่างเปล่า ด้วยความรู้สึกผสมปนเปในใจทักษะการวาดภาพกับอักษรศิลป์ของจ้าวเจินเจินนั้นดีกว่าตอนนั้นที่ใกล้ชิดกับตนนักเห็นได้ว่าจ้าวเจินเจินมิได้ขี้เกียจเลย หลายปีที่ผ่านมาพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเขามองที่ภาพวาดของหลิงอวี๋โดยมิหวังแล้ว จากนั้นเซียวหลินเทียนก็ละสายตาไปทางอื่นมิได้แล้วจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เป็นราวกับมีพายุโหมกระหน่ำ นี่… นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไร!หลิงหว่านสังเกตสายตาของคณะกรรมการตัดสินอยู่ตลอด และคำนวณเวลาที่พวกเขาอยู่หน้าภาพวาดแต่ละภาพนางมั่นใจในภาพวาดของตนมาก และนางก็เป็นห่วงหลิงอวี๋!นางแค่หวังว่าหลิงอวี๋จะมิได้แย่ถึงเ
ประมุขซุนเห็นรองประมุขเฉินดื้อดึงไม่ยอมรับผิด จึงไม่อยากมากความเช่นกัน พลันกล่าวเย็นชา“โปรดแสดงภาพวาดของพระชายาคังและพระชายาอ๋องอี้ให้ทุกท่านชมเสีย!”นางกำนัลสี่คนเดินไปข้างหน้าพลางนำภาพวาดของหลิงอวี๋กับจ้าวเจินเจินมาแสดงอยู่หน้าเวทีคุณหนู คุณชายที่เข้าใจภาพเขียนทั้งหลายพลันออกันที่ข้างหน้าภาพของจ้าวเจินเจินคือภาพทัศนาจรในฤดูใบไม้ผลิ โดยมีภูเขาสูงตระหง่านอยู่ไกล ๆ ดอกท้ออยู่ใกล้ ๆ ลำธารทอดยาวคดเคี้ยวหลั่งไหล และมีปลาว่ายเล่นในน้ำภายในศาลาระหว่างทางขึ้นภูเขา มีภาพสตรีผู้หนึ่งกำลังชมลำธารอยู่ที่ไกล ๆผลงานภาพทั้งภาพช่างล้ำเลิศละเมียดละไมและเหมือนจริงอย่างยิ่งถึงแม้สตรีจะไม่เผยโฉม แต่ภาพอันโดดเดี่ยวนั้นกลับโดนใจทุกคน…เมื่ออันเจ๋อเห็นภาพวาดนี้ก็เหลือบมองเซียวหลินเทียนโดยไม่รู้ตัว และเริ่มลังเลในใจเป็นครั้งแรกตนควรลงคะแนนให้จ้าวเจินเจินเลยหรือไม่?ครั้นเห็นภาพนี้ อันเจ๋อก็พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงอวี๋ทำลายบุพเพสันนิวาสของเซียวหลินเทียนกับจ้าวเจินเจินหรือว่าสตรีในภาพจะพรรณนาตามจริงที่จ้าวเจินเจินรอคอยเซียวหลินเทียนสี่ปี?ตั้งตาคอยอย่างคาดหวัง ทว่าเรือผ่านไปนับพันลำ(1)ล้ว
แล้วภาพวาดแบบใดคือภาพที่ดีเล่า?มันเป็นภาพวาดที่ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนประสบมากับตัวและยากจะลืมตั้งแต่แวบแรก!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไร้เสียง แต่ก็มีเสียงชวนให้คนรู้สึกถึงเสียงหัวเราะที่อุดมไปด้วยความหลงใหล และเสียงโห่ร้องอันยินดี!ภาพวาดของหลิงอวี๋ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา…ทำให้คนเห็นถึงความซุกซนของลูกแมว ความมาดมั่นในการแข่งขันของจิ้งหรีด และความขัดแย้งของท่านอดีตเสนาบดีกับเหลนชายในเรื่องแพ้ชนะของจิ้งหรีด!หากภาพเช่นนี้ยังเรียกว่าภาพชิ้นเอกมิได้ เช่นนั้นก็ไม่มีภาพชิ้นเอกอยู่บนใต้หล้านี้แล้ว!“เจ้าลูกแมวจอมซนตัวนี้ หากกระโจนไปแบบนั้นจะทำให้เด็กตกใจหรือไม่?”มีสาวน้อยผู้หนึ่งอดทักขึ้นไม่ได้ขณะกำลังเชยชมคุณชายคนหนึ่งชี้ยังจิ้งหรีดตัวนั้นที่เด็กหยอกล้อ พลางร้องทักอย่างตื่นเต้น “ข้าชอบจิ้งหรีดตัวนี้ ช่างดูเก่งการสู้รบนัก หากนำไปต่อสู้ต้องได้เป็นราชาแน่นอน!”“ขาของท่านอดีตเสนาบดีหายหรือยัง?”คุณชายผู้หนึ่งถามอย่างเป็นห่วง “ก่อนหน้าได้ยินว่าท่านอดีตเสนาบดีล้มป่วย ข้ายังนึกว่าฉินตะวันตกจะสูญเสียนักรบมีฝีมือไปอีกคน ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านอดีตเสนาบดีจักฟื้นตัวในเร็ววัน!”
เสียงดังบังเกิดทำให้ในสวนดอกไม้เงียบลงฉับพลัน…ทุกคนเงยหน้ามองทางท่านอ๋องเฉิงอย่างตกใจ ถ้วยชาใบนั้นเป็นท่านอ๋องเฉิงทำแตกขณะนี้ทั้งหน้าของท่านอ๋องเฉิงได้หมองหม่นลงแล้ว เขากระแทกถ้วยชาแตกอย่างโหดเหี้ยมพลางกวาดมองคนที่ร้องตะโกนเสียงดังด้วยแววตาเยือกเย็นโดยเฉพาะเหล่าคุณชายสกุลจ้าว!เหล่าคุณชายแห่งสกุลจ้าวถูกเขาจ้องจนขนพองสยองเกล้า พวกเขาพูดกระไรผิดไปหรือ?เหตุใดสีหน้าท่านอ๋องเฉิงถึงดูไม่ดีเช่นนี้เล่า?“ศิลปะพู่กันของพระชายาอ๋องอี้มิอาจทนดูไหวรึ?”“ภาพวาดของเด็กยังเขียนได้ดีกว่า?”“เจ้าใช้เท้าหนีบพู่กันยังเขียนได้ดีกว่านางงั้นรึ?”“อักษรที่ดูมิรู้เรื่องแบบนี้จะบอกว่าเป็นศิลปะพู่กันที่ดีได้อย่างไร?”ท่านอ๋องเฉิงพูดพลาง ใช้มือชี้คนที่พูดประโยคนั้นพลางเมื่อชี้ยังลั่วอวี้จู ขาของลั่วอี้จูก็อ่อนยวบ สีหน้าของท่านอ๋องเฉิงช่างน่ากลัวกระไรเยี่ยงนี้!“เหอะ ๆ ตนมีตาไร้แวว และยังกล้าว่าพูดวาจาเช่นนี้อีก!”เสียงหัวร่อของท่านอ๋องเฉิงทะลวงสู่บางคน แม้แต่องค์ชายคังก็รู้สึกหนาวทั่วร่างเมื่อตนโดนสายตาท่านอ๋องเฉิงจับจ้องเพราะตนเป็นคนแรกที่บอกว่าตัวอักษรของหลิงอวี๋ทนดูมิไหว!ศิลปะพู่กันนี้มี
หลิงอวี๋ในยุคปัจจุบันก็ชอบตัวอักษรหวัด ตอนนางเข้าวังไปถวายยาบำรุงให้ไทเฮา พระองค์เห็นว่านางชอบจดหมายสั้นของจักรพรรดิสูงสุดจึงมอบให้เป็นรางวัลเมื่อครู่หลิงอวี๋ใจคล้อยตามคิดว่าแบบอักษรประเภทนี้เหมาะกับลักษณะของตัวเองยิ่งนักเลยนำมาใช้!มันก็ถือว่าฉวยจังหวะเอารัดเอาเปรียบอยู่หรอก ทว่าหลิงอวี๋ไม่รู้สึกละอายเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องรับมือกับการกลั่นแกล้งของจ้าวเจินเจินและองค์หญิงหก นางจะเผชิญหน้าได้อย่างไร หากนางไม่ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับพวกนาง!“ประมุขซุน ตัวข้ารู้ว่าเจ้ามักพกจดหมายสั้นที่จักรพรรดิสูงสุดมอบให้ติดตัวไว้ จงนำออกมาให้คนตาบอดพวกนี้ได้เปิดหูเปิดตาเสีย!”เมื่อท่านอ๋องเฉิงโมโหเสร็จก็หัวเราะหยันกล่าวคำประมุขซุนคลี่ยิ้มอ่อนพลางสั่งให้เด็กรับใช้ของตัวเองนำจดหมายสั้นมาประมุขซุนเป็นคนสนิทของจักรพรรดิสูงสุดเช่นกัน เขามีจดหมายสั้นของจักรพรรดิสูงสุดสองฉบับขณะที่กางจดหมายสั้นออก ทุกคนที่กำลังคุกเข่าต่างก็มองเห็นชัดเจนรูปแบบอักษรที่พวกเขาเรียกว่า มิอาจทนดูไหวนั้นคล้ายกันกับแบบอักษรที่หลิงอวี๋ใช้ประมุขซุนคลี่ยิ้มอ่อนกล่าวคำ “ลองดูให้ดี เมื่อครู่ข้าก็บอกว่าแบบอักษรของพระชายาอ๋องอี้
“โปรดวางใจ ตัวข้าจะส่งคนไปมอบให้เจ้า!”จ้าวเจินเจินจ้องหลิงอวี๋เขม็ง และไม่คิดปิดบังความแค้นในแววตาของตนแล้วเช่นกันนางโน้มเข้าใกล้หลิงอวี๋พลางกล่าวเหี้ยม “เจ้าฉวยโอกาสเอาเปรียบชนะข้าได้ นั่นไม่นับว่ามีความสามารถหรอกนะ เจ้าเอาหอริมธาราไปได้อย่างไร วันหน้าเจ้าก็ต้องคืนมันให้ข้าอย่างนั้น!”นี่คือการหักหน้าตนอย่างโจ่งแจ้งงั้นหรือ?หลิงอวี๋ไม่หวั่นการยั่วยุของจ้าวเจินเจินพลางหัวเราะหยันเสียงต่ำ“พระชายาคังนี่วัวลืมตีนจริง ๆ! ทั้งนางกำนัลสาดหมึกและพู่กันหัก หรือว่านั่นมิใช่เล่ห์เหลี่ยมของพวกเจ้ากัน?”“หากเจ้ามิฉวยโอกาสเอาเปรียบด้วยภาพวาดที่ถูกทอดทิ้งแบบนั้น มันความหมายว่าอะไร? นั่นมิใช่ว่าอยากให้เซียวหลินเทียนกับอันเจ๋อสงสารเจ้าและลงคะแนนให้เจ้าหรอกหรือ?”“องค์ชายคังล้วนเห็นซึ้งแต่พระองค์ยังตั้งใจลงคะแนนให้เจ้า นั่นช่างใจกว้างยิ่งนัก!”“หากครั้งนี้เจ้าชนะ องค์ชายคังคงเผยรอยยิ้มแห่งความใจกว้างได้! แต่ตอนนี้เจ้าพ่ายแล้ว…ข้าอยากรู้นัก องค์ชายคังจักคิดบัญชีย้อนหลังกับเจ้าหรือไม่!”หลิงอวี๋เดาเจตนาของจ้าวเจินเจินได้ทันทีตั้งแต่เห็นภาพวาดของนางนางอุตส่าห์ออมมือไม่เปิดโปงจ้าวเจินเจิน ทว
“มันก็แค่ประลองการละเล่นเอง เหตุใดเจ้าต้องบีบคั้นคนเยี่ยงนี้!”“เจ้ารู้แจ้งว่ากระโปรงนั่นน่าอับอาย ไยเจ้าต้องทำร้ายลูกข้าเช่นนี้!”ฮูหยินลั่วตะโกนเสียงสูงบ้างต่ำบ้างเซียวทงขมวดคิ้วพลางช่วยพูดสนับสนุนเช่นกัน “ช่างเถิด ให้นางดื่มสุราลงทัณฑ์ก็พอ!”จ้าวเจินเจินโกรธแค้นหลิงอวี๋ที่แย่งมงกุฎดอกโบตั๋นของตนไปได้ กอปรกับวาจาพวกนั้นของหลิงอวี๋ในเมื่อครู่ นางไม่อยากปล่อยหลิงอวี๋ไปง่าย ๆ แบบนี้ จึงช่วยพูดเช่นกัน“ใช่! น้องสะใภ้สี่ ให้อภัยได้ก็ให้อภัยไปเสีย แค่การละเล่นเท่านั้น เหตุใดต้องสร้างความลำบากใจเพียงนั้น!”“หากเจ้าบังคับลั่วอวี้จูสวมกระโปรงแบบนั้นอยู่ นั่นมิใช่คือเจตนาทำร้ายผู้อื่นหรอกหรือ? ไยเจ้าถึงโหดร้ายถึงเพียงนี้!”“น่าขันสิ้นดี!” หลิงอวี๋จ้องฮูหยินลั่วกับจ้าวเจินเจินเขม็ง พลันด่าเสียงเฉียบขาดทันที“ไฉนเป็นตัวข้าโหดร้ายเล่า? กระโปรงตัวนี้มิใช่เป็นองค์หญิงหกเตรียมไว้หรือไร? แล้วกฎนี้ก็ไม่ใช่พวกเจ้าตั้งเองหรอกหรือ?”“ไฉนคราวนี้ถึงรู้แล้วว่ากระโปรงตัวนี้มันน่าอับอาย? ก่อนหน้านี้พระชายาผิงหนานก็ตรัสว่ากระโปรงนี้มิเหมาะเป็นบทลงโทษ พวกเจ้ามีผู้ใดว่ากระไรสักคนด้วยหรือ?”“ฮูหยินจู ท
เถ้าแก่เจียงเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้นก็กำลังคิดจะด่า หลิงอวี๋ก็อุ้มเจียงหย่งมาและหันหลังให้ตนแล้วสองมือของนางกอดรัดอยู่ตรงช่วงท้องของเจียงหย่ง มือหนึ่งกำหมัดแล้ววางด้านหัวแม่มือของกำปั้นนั้นอยู่ที่ตรงอกและตรงท้องของเจียงหย่งส่วนมืออีกข้างของหลิงอวี๋ก็จับมือที่กำหมัดไว้แล้วรีบกระทุ้งที่ช่วงท้องของเจียงหย่งอย่างแรงการกระทำนี้ทำเอาเถ้าแก่เจียงโกรธจนกำหมัดไปทุบที่หัวของหลิงอวี๋“ให้ตายสิ นี่เป็นการช่วยเหลือหรือทำร้ายกันแน่ วางลูกชายข้าลงเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”หลิงอวี๋อุ้มเจียงหย่งหลบมา พลางตะคอกใส่เถ้าแก่เจียง “ข้ากำลังช่วยลูกท่านอยู่ ท่านมิเห็นหรือว่าเขากำลังจะตายแล้ว?”“ท่านอย่ามารบกวนข้า หากข้ารักษาเขาตาย ข้าจะชดใช้เขาด้วยชีวิต!”แม้ว่าฮูหยินเจียงจะดูมิเข้าใจวิธีการช่วยเหลือของหลิงอวี๋ แต่ลูกชายใกล้จะตายแล้วจริง ๆ ขอเพียงมีความหวังเพียงเล็กน้อยนางก็จะไม่มีทางยอมแพ้นางดึงเถ้าแก่เจียงไว้หลิงอวี๋ก็ใช้วิธีเดิมกระทุ้งเข้าที่ช่วงท้องของเจียงหย่งต่อไปหลังจากทำเช่นนี้ไปสามครั้ง เจียงหย่งก็ไอแค่ก ๆ แล้วถั่วลิสงเม็ดหนึ่งที่มีเลือดติดอยู่ก็หลุดออกมาจากปากเขาและกระเด็นลงส
เสี่ยวซานเอ๋อร์จึงพาหลิงอวี๋ไปขายกำไลหยก ระหว่างทางเสี่ยวซานเอ๋อร์ก็ยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ในเมื่อนี้ให้หลิงอวี๋ฟังอีกหลิงอวี๋เอ่ยถามไปอย่างอ้อม ๆ “เสี่ยวซานเอ๋อร์ ข้ามากับน้องสาว แต่น้องสาวข้าหายตัวไปแล้ว ได้ยินว่าป้าวเฉิงเจ้าถิ่นที่นี่เก่งเรื่องตามหาคน หากข้าไปขอให้เขาช่วย จะต้องใช้เงินเท่าใดหรือ?”เสี่ยวซานเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “คุณหนูใหญ่ แม้ว่านายใหญ่ป้าวจะเก่งเรื่องตามหาคน แต่ก็มิใช่ว่าจะช่วยใครง่าย ๆ! หากจะไปขอร้องเขาแล้วมีเงินมิถึงหลักพันเขาก็มิสนใจหรอก!”“สองพันพอหรือไม่?”หลิงอวี๋นึกถึงที่หัวหน้าเสิ่นบอกว่ากำไลหยกนี้สามารถขายได้สองพันตำลึงจึงเอ่ยถาม“แล้วแต่คน!”เสี่ยวซานเอ๋อร์คิดว่าหลิงอวี๋ใจกว้างกับตนมากจึงเอ่ยขึ้นมา “ข้ารู้จักกับผู้ดูแลหมู่บ้านตระกูลป้าว ข้าจะไปคุยกับเขาดู เขาน่าจะช่วยได้!”“เช่นนั้นขอร้องเจ้าด้วย! รอให้ขายกำไลหยก จากนั้นเจ้าก็ค่อยพาข้าไปหาเขา ข้าจะมิให้เจ้าขาดทุนอย่างแน่นอน!”หลิงอวี๋ใจชื้นขึ้นมา เงินทองเป็นของนอกกาย ขอเพียงตามหาเสี่ยวอวี้เจอ และพวกนางได้ใช้ชีวิตด้วยกัน เรื่องความจนก็มิกลัวหรอกกระทั่งมาถึงที่บ้านเถ้าแก่เจียงที่รับซื้อกำไลหยก ทั้งสองยังม
“ไปหาสมบัติที่ภูเขาหิมะหรือ? อยากตายนักหรือไรกัน! ภูเขาหิมะนั่นกินคนมิเหลือแม้กระดูก!”แขกคนหนึ่งส่ายหน้าแล้วเอ่ย“คนเหล่านี้แตกต่างไป พวกเขาแต่ละคนมีวรยุทธ์แก่กล้า อีกทั้งยังพาคนเข้าไปตั้งมากมาย มิน่าจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วกระมัง!”“พวกเราเองก็ตามไปหากำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างดีหรือไม่!”แขกอีกคนหนึ่งยิ้มออกมาแล้วเอ่ย “เจ้าน่ะหรือ อย่าไปเลย ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เลย จะกลับกลายเป็นว่าเอาชีวิตไปทิ้งอยู่ข้างในนั้นน่ะสิ!”“เสี่ยวซานเอ๋อร์ หากเจ้าอยากจะร่ำรวยจริง ๆ พี่ชี้ช่องทางให้ดีหรือไม่?”หลิงอวี๋เหลือบมองเสี่ยวซานเอ๋อร์ผู้นั้น เขาเป็นวัยรุ่นอายุประมาณยี่สิบ ดูผอมและอ่อนแอมาก การแต่งกายก็ดูเรียบง่ายธรรมดาเครื่องหน้างดงาม ทว่าดวงตาค่อนข้างแปลก ดูเหมือนมองคนแล้วมิสามารถมองให้ชัดเจนได้สงสัยจะตาเหล่กระมัง!เสี่ยวซานเอ๋อร์ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “พี่หาน ช่องทางอะไรหรือ? รีบบอกมาเร็วเข้า หากข้าร่ำรวยแล้วจะไม่มีทางลืมเจ้าแน่นอน!”“ไปเป็นผู้ค้ามนุษย์อย่างหม่าเฉียงอย่างไรเล่า! เจ้ามิเห็นหรือว่าทาสหญิงหนึ่งเกวียนของเขาขายไปได้สี่แสนหกหมื่น? การค้าขายนี้ง่ายดายกว่าที่เจ
หัวหน้าเสิ่นถูกปู้ติงจ้องมองอยู่ด้วยสายตาดุร้ายก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องเขียนหนังสือยอมรับผิด เขาขอแค่เพียงหลบหนีไปได้ อย่างก็อื่นค่อยว่ากันทีหลัง“หัวหน้าเสิ่น หากจะตามหาคนคนหนึ่งควรเริ่มจากที่ใด?”สุดท้ายหลิงอวี๋ก็ถามหัวหน้าเสิ่นไปหนึ่งคำถามหัวหน้าเสิ่นยิ้มขมขื่น “หากแม่นางจะตามหาคน ป้าวเฉิงคนที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่คือคนที่มีความสามารถเก่งกาจยิ่งนัก เขามีลูกน้องมากมาย อีกทั้งคนในหมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ นี้ก็เชื่อฟังเขาด้วย”“หากเจ้าจะตามหาคน ขอเพียงมีเงินมากพอ เขาก็จะช่วยตามหาคนให้ได้เร็วที่สุด!”หลิงอวี๋อยากจะตามหาเสี่ยวอวี้น้องสาวของตน เมื่อได้ยินดังนั้นก็สนใจขึ้นมาแต่ตนไม่มีเงินติดตัวสักแดง จะไปพูดให้ป้าวเฉิงตามหาคนให้ตนได้อย่างไรกัน!“หัวหน้าเสิ่น เอาของมีค่าที่ท่านน้าหลินให้มาให้ข้าสักชิ้นเถิด!”หลิงอวี๋เอ่ยออกไปตามตรง “ข้าไม่มีเงินติดตัวสักแดง เจ้าก็ถือว่าทำบุญแล้วกัน!”ต่อให้หลิงอวี๋จะต้องการของมีค่าทั้งหมดของหัวหน้าเสิ่น หัวหน้าเสิ่นก็มิกล้าบอกว่าไม่ นับประสาอะไรกับหนึ่งชิ้นเล่า!หัวหน้าเสิ่นรีบเปิดห่อของตนแล้วหันหลังให้หลิงอวี๋หยิบกำไลหยกออกมาหนึ่งชิ้น!“แม่นาง กำไลหยก
“อย่า… อย่าฆ่าข้า!”หัวหน้าเสิ่นกลัวจนร้องออกมาเสียงสั่นเขาเชื่อมั่นในวรยุทธ์ของตนว่าจะสามารถหนีไปได้อย่างราบรื่น ไหนเลยจะคิดว่าจะหนีมิพ้นหมาป่าตัวนี้!“หึ! ข้าบอกไปแล้วว่า นอกเสียจากเจ้าจะเร็วกว่าปู้ติง มิเช่นนั้นก็ให้เชื่อฟังคำของข้า! เจ้าอยากจะทนทุกข์ก่อนจึงจะยอมฟังหรือไร?”หลิงอวี๋ยิ้มเยาะพลางเดินเข้าไป เรี่ยวแรงที่ตัวนางกลับคืนมาแล้วลูกปัดสีเขียวนี้มหัศจรรย์จริง ๆ!แต่หลิงอวี๋มิได้มีความคิดที่จะครอบครองเป็นของตน นี่คือของของแม่หมาป่า ในเมื่อให้ปู้ติงไปแล้วเช่นนั้นก็เป็นของปู้ติง“ปู้ติง! ปล่อยเขาเถิด!”ปู้ติงจึงปล่อยหัวหน้าเสิ่นอย่างเชื่อฟัง หลิงอวี๋ก็ลูบหัวมันอย่างเอ็นดู จากนั้นก็เอาลูกปัดสีเขียวยัดเข้าปากมันไป“เสี่ยวเจียง ปิดประตู!”หลิงอวี๋เอ่ยกับเสี่ยวเจียงที่กลัวจนสั่นมิหยุดเสี่ยวเจียงมองขาที่เลือดไหลของหัวหน้าเสิ่น เมื่อครู่หมาป่าตัวนั้นรวดเร็วมาก เขาหนีมิได้เลยมีหรือเสี่ยวเจียงจะกล้ามิฟังคำพูดของหลิงอวี๋ เขาจึงเดินไปปิดประตูด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น“ข้าถามอะไรเจ้าก็ตอบสิ่งนั้น มิเช่นนั้นครั้งต่อไปที่ปู้ติงกัดจะมิใช่ขาของเจ้า แต่เป็นคอ เข้าใจหรือไม่?”หลิ
หลิงอวี๋กุมใบหน้าตนเองอย่างสิ้นหวัง นางมิเชื่อว่าปู้ติงจะทิ้งตนไปจะต้องเป็นเพราะที่นี่อยู่ไกลจากวังเทพมากเกินไปอย่างแน่นอน ปู้ติงจึงมิได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของตนในขณะที่หลิงอวี๋กำลังคิดที่จะพยายามกลับไปบนเตียงก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากด้านล่าง“นั่นคือหมาป่าหรือ? ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่!”“เจ้าตาฝาดแล้ว ที่นี่จะมีหมาป่ามาจากที่ใดกัน!”“แต่ข้าเห็นหมาป่าที่เป็นสีขาวราวกับหิมะทั้งตัววิ่งไปจากบนหลังคาจริง ๆ นะ...”หมาป่าตัวสีขาวราวหิมะ?หลิงอวี๋กำลังจะวางมือก็เห็นว่ามีสายฟ้าสีขาวพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างอย่างรวดเร็วหลิงอวี๋ยังมิทันได้เห็นชัด สายฟ้านั้นก็พุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของนาง แล้วตัวที่เป็นขนปุกปุยก็ทำให้ทั้งตัวของนางอบอุ่นขึ้นมาหลิงอวี๋ก้มหน้าลงก็เห็นดวงตาสีเขียวของหมาป่าน้อยที่มีขนตาสีขาวข้างหนึ่งดำข้างหนึ่งปู้ติง!ปู้ติงจริง ๆ ด้วย!มิเจอกันหลายวัน ปู้ติงโตขึ้นอีกแล้วและดูแข็งแรงขึ้นด้วย!หลิงอวี๋กอดปู้ติงอย่างดีใจแล้วก็จุ๊บมันไปแล้วหัวใจที่จมลงสู่ก้นบึ้งก็กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นทันที“ปู้ติง ข้าถูกคนวางแผนทำร้าย ตัวข้าไม่มีแรงเลย เจ้าหายาแก้พิษให้ข้าหน่อยได้ห
เด็กหนุ่มผอมบางเช่นนี้น่าจะมิใช่คู่ต่อสู้ของตน!หลิงอวี๋หลับตาลงอีกครั้งพลางครุ่นคิดท่านน้าหลิน เสวี่ยเหมยและอี้เหวินให้หัวหน้าเสิ่นที่เป็นผู้ส่งเสบียงพาตนลงจากเขามา จะต้องเป็นเพราะตนได้รับการยกย่องจากหวงฝู่หมิงจูจึงไปดึงดูดความอิจฉาริษยาของพวกนางเป็นแน่นางมิเชื่อว่าท่านน้าหลินเพียงแค่ต้องการให้ตนออกจากวังเทพอย่างเดียวเท่านั้นเมื่อคิดเชื่อมโยงถึงเรื่องเครื่องประดับเหล่านั้นที่หัวหน้าเสิ่นพูดถึง ทั้งยังมีเรื่องที่อี้เหวินอาศัยว่าจะให้ตนดูแลจัดการงานภายในของวังเทพแล้วพาตนไปดูโกดัง อีกทั้งยังบอกตนเรื่องที่หวงฝู่หมิงจูมีจี้หยกราตรีน้ำเงินอีกหลิงอวี๋จึงได้กล้าคาดเดาอะไรเช่นนี้ท่านน้าหลินจะต้องติดสินบนหัวหน้าเสิ่นให้พาตนลงมาจากภูเขา จากนั้นก็ใส่ร้ายว่าตนขโมยเครื่องประดับแล้วหนีไปอย่างแน่นอนขอเพียงมีหนึ่งในเครื่องประดับหนึ่งชิ้นตกหล่นหายไป หวงฝู่หลินก็จะยิ่งเชื่อว่าตนเป็นคนขโมยจากนั้นหัวหน้าเสิ่นก็จะสังหารตนหัวหน้าเสิ่นออกไปแล้ว เสี่ยวเจียงผู้นี้ก็มิใช่คู่ต่อสู่ของตน หากมิหนีเวลานี้แล้วยังจะรออะไรอีกเล่า!หลิงอวี๋คิดแล้วขยับมือเท้าอย่างเงียบ ๆมือเท้ามิได้ถูกมัดไว้ แต่ขยับเ
“ท่านสี่ เราทำอาหารกันค่อนข้างมาก จึงนำมาให้ท่านสักหน่อย!”เก๋อเฟิ่งฉิงเห็นพวกฉินซานเรียกเซียวหลินเทียนว่าท่านสี่จึงเรียกเซียวหลินเทียนเช่นนั้นตามเซียวหลินเทียนมิแม้แต่จะมองถาดของนางแล้วยกอาหารแห้งในมือขึ้น พร้อมกับเอ่ยเรียบ ๆ “ขอบคุณมาก แต่ข้ากินอิ่มแล้ว!”เขายัดอาหารแห้งที่เหลือใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเก๋อเฟิ่งฉิงเองก็มิได้ท้อ นางวางถาดไว้ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ “กินอิ่มแล้วก็กินน้ำแกงผักสักหน่อยก็ได้! จะแบ่งให้ลูกน้องของท่านก็ได้!”หลังจากพูดจบ เก๋อเฟิ่งฉิงก็หันหลังเดินไปคนที่มีตาก็ล้วนมองออกว่าเก๋อเฟิ่งฉิงกำลังเอาใจเซียวหลินเทียนอยู่สตรีพรหมจรรย์นางหนึ่งเอาใจบุรุษคนหนึ่งเช่นนี้ จะเป็นเพราะเหตุใดไปได้เล่า!“ขันทีโม่ ท่านกินเถิด!”เซียวหลินเทียนดันถาดไปให้ขันทีโม่ขันทีโม่มองอาหารตรงหน้า มีเนื้อมีผัก ดูคุณค่าทางอาหารสมบูรณ์มาก เขาจึงยิ้มแล้วเอ่ย“คุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อคงยังมิยอมถอดใจจากท่านเลยนะ! ท่านสี่ เช่นนั้น ยินดีรับไว้ดีหรือไม่?”ขันทีโม่ก็เหมือนกับคนจำนวนมากที่คิดว่าการที่เซียวหลินเทียนจะมีสนมมากมายนั้นเป็นเรื่องปกติแม้ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเก๋อผู้นี้จะแสร
กลุ่มของเก๋อเฟิ่งฉิงกับเซียวหลินเทียนเข้าไปในเขาด้วยกันแล้วก็เห็นคนของตระกูลเฉียว แต่ทุกคนก็ต่างคนต่างไปการปะทะกันในเวลานี้มิใช่เรื่องที่ฉลาด เพราะว่าการลงมือในถิ่นของหวงฝู่หลินนั้นอาจจะทำให้หวงฝู่หลินโกรธได้แม้ว่าตระกูลหวงฝู่จะอยู่อย่างสันโดษมาหลายชั่วอายุคน แต่ในฐานะของผู้สืบทอดของตระกูลหวงฝู่หลินก็มีความเป็นไปได้ที่พลังจะสูงกว่าพวกเขาทั้งหลายสำหรับหวงฝู่หลิน ผู้นำของทั้งสองตระกูลต่างก็เสนอจุดประสงค์ที่จะดึงมาให้เป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นหากมิถึงคราวจำใจจริง ๆ เก๋อเฟิ่งฉิงกับเฉียวไป๋ไม่มีทางทำเรื่องที่จะทำให้หวงฝู่หลินขุ่นเคืองแน่เมื่อเข้าไปในภูเขาหิมะ เริ่มแรกยังมีเส้นทาง แต่เดินไปได้สิบกว่าลี้ก็ไม่มีเส้นทางแล้วทั่วทุกที่ล้วนเป็นสีขาวโพลน แม้ว่าหานเหมยจะเคยมาที่ภูเขาหิมะ แต่เมื่อเห็นสีขาวโพลนนี้นางก็หลงทางเช่นกัน มิรู้ว่าภูเขาแห่งนั้นคือภูเขาที่มีวังเทพอยู่“มิต้องรีบร้อน ค่อย ๆ หาไป ขอเพียงฮูหยินอยู่ที่วังเทพ พวกเราจะต้องตามหานางพบแน่นอน!”ต่อหน้าเก๋อเฟิ่งฉิง เซียวหลินเทียนจึงเรียกหลิงอวี๋ว่าฮูหยินหานเหมยอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ก่อนหน้านี้นางบอกอย่างมั่นใจว่าตนรู้เส้น