ลูกแก้วหงส์เพลิงนี้มิใช่ลั่วชิงยวนหากลับได้พร้อมกับเสินหลีหรือ? เกี่ยวอะไรกับลั่วไห่ผิงกัน? เพียงแต่คำพูดของเขากลับตรงข้าม “ท่านอัครมหาเสนาบดีสามารถตามหาลูกแก้วหงส์เพลิงของจริงกลับมาได้ ถือเป็นการพิสูจน์แล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราขการมิใช่ผู้ชั่วร้าย ที่บรรพบุรุษราชวงศ์นั้นมิยอมรับ!” “แต่มีผู้บังอาจมาแตะต้องเสาหงส์เพลิงในหอบรรพบุรุษเพื่อใส่ร้ายอ๋องผู้สำเร็จราชการ บังอาจนัก!” น้ำเสียงของจักรพรรดิกริ้วโกรธ “ผู้ใดลักลูกแก้วหงส์เพลิงไป?” บัดนี้ ลั่วไห่ผิงกลับเอ่ยตอบ “เมื่อกระหม่อมหาลูกแก้วหงส์เพลิงเจอ กระหม่อมพบกับคนสามคนพอดีพ่ะย่ะค่ะ” “แต่ผู้ใดเป็นคนลักลูกแก้วไปนั้น กระหม่อมมิทราบ” สามคนนั้น ก็คือลั่วชิงยวนและสองคนนั้นที่เจรจากันในหอมหาสมบัติ ขุนนางระดับสูงโดยรอบซุบซิบเสียงเบา เรื่องการลักลูกแก้วหงส์เพลิงนั้นจะเกี่ยวกับลั่วชิงยวนอีกหรือไม่? ท่านอัครมหาเสนาบดีช่างเที่ยงตรงเสียจริง กระทั่งลั่วชิงยวนยังจับตัวมาในตำหนัก หรือลูกแก้วหงส์เพลิงนี้ ลั่วชิงยวนจะเป็นผู้ขโมยจริง ๆ? ฟู่จิ่งหานย่อมรู้ดีว่าลั่วชิงยวนบริสุทธิ์ แต่เขากลับมิรู้รายละเอียด จึงเอ่ยถาม“พระชายาอ๋อง เจ้าอ
บุตรชายคนโตของแม่ทัพฟ่านหรือ?จักรพรรดิเองก็ตะลึง “บุตรคนโตของจวนแม่ทัพติ้งหย่วนหรือ?”เสียงกังวลของชายหนุ่มค่อย ๆ ดังขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นบุตรคนเอกของจวนแม่ทัพติ้งหย่วน ฟ่านซานเหอ”สิ้นประโยคนี้ หัวใจลั่วชิงยวนหมดลมหายใจไปพักหนึ่งเหตุใดจึงเป็นเขาได้!สามีของลั่วหลางหลาง!วันแต่งงาน แม้นางจะไปดื่มเหล้ามงคลเช่นกัน แต่คนมากเกิน นางจึงไปเจอเพียงลั่วหลางหลางโดยส่วนตัว และมิเคยเห็นสามีของลั่วหลางหลางมาก่อน!เขาคือฟ่านซานเหองั้นหรือ?ฟ่านซานเหอเข้ามาเกี่ยวโยงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?ลั่วชิงยวนคิดย้อนอย่างละเอียด เหตุใดลั่วไห่ผิงจึงถึงหอมหาสมบัติอย่างทันเวลา เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังตามหาลูกแก้วหงส์เพลิง?และฟ่านซานเหอก็ถือลูกแก้วหงส์เพลิงขายให้กับหอมหาสมบัติอย่างบังเอิญบางทีทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการอยู่แล้วหรือเรื่องที่นางจะตามหาลูกแก้วหงส์เพลิง เล็ดลอดและทำพวกเขาแตกตื่นเสียนานแล้ว?แม้เช้านี้นางจะพบไทเฮา แต่นางก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าลูกแก้วหงส์เพลิงอยู่ที่หอมหาสมบัติก่อนที่จะพบไทเฮาดังนั้นเป็นก่อนหน้านั้นก่อนฟ้าจะสว่าง!สมองของนางราวกับจะระเบิดออก ร่างกายที่อ่อนเพลีย
รถม้าสั่นสะเทือน ฟู่เฉินหวนมองคนที่สลบในอ้อมอก ยื่นมือไปถอดหน้ากากของนางอย่างอดมิได้ใบหน้าของนาง บาดเจ็บหนักเพียงไหนกันแต่สัมผัสบนใบหน้า ทำลั่วชิงยวนป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ และจับมือเขาไว้แน่นทันทีฟู่เฉินหวนตะลึงเล็กน้อย มองดูนางที่ดวงตายังหลับพริ้ม ส่วนมือที่จับเขาไว้ ผ้าพันแผลถูกย้อมไปด้วยเลือดสด แต่นางราวกับรับรู้มิถึงความเจ็บปวด จับมือของเขาไว้แน่นต้องเป็นบาดแผลที่หนักเช่นไหน จึงทำให้นางที่สลบอยู่ยังระแวงเช่นนี้ เพราะกลัวคนจะเห็นใบหน้าของนางหน้าอกของฟู่เฉินหวนราวกับถูกหินก้อนยักษ์ทับไว้ จนเขาหายใจไม่ออกหรือที่ผ่านมาเขาเข้าใจนางผิดมาโดยตลอด เข้าใจผิดว่านางเป็นคนที่ตระกูลเหยียนส่งมาสอดแนมหรือจะเป็นอย่างที่ซูโหยวกล่าว ตระกูลเหยียนเพียงกำลังหลอกใช้นางหากเป็นเช่นนั้น คงทำร้ายนางมากเกินไปจริง ๆ เขากำมือไว้แน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความซับซ้อนฟู่เฉินหวนกลับตำหนัก ทันทีที่รถม้ามาถึง ซูโหยวและจือเฉาก็ออกไปต้อนรับทันที“เร็วเข้า! เรียกหมอกู้มา!”ฟู่เฉินหวนอุ้มลั่วชิงยวนลงจากรถม้า มุ่งไปห้องนางก้าวไวไม่นานนัก หมอกู้ก็มาถึงเขาแกะผ้าพันแผลบนมือของลั่วชิงยวนออก มือของนางเลือด
“มีผู้หนึ่งต้องช่วยพระชายาได้แน่!”จือเฉาลนลาน จนลืมซ่งเชียนฉู่ไป!นางลุกขึ้นเช็ดน้ำตา “แม่นมเติ้ง แม่นางซ่งเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ เครื่องยาสมุนไพรก็มากหลาย นางต้องช่วยพระชายาได้แน่ แต่จะให้นางเข้าตำหนักอย่างไร?”“เช่นนี้ เจ้าออกตำหนักไปตามซูโหยว บอกซูโหยวว่าเครื่องยาสมุนไพรอยู่ที่ใด ให้ซูโหยวพาแม่นางซ่งเข้ามา แต่เจ้าต้องฉลาดหน่อย อย่าให้ซูโหยวรู้ตัว”“ห้ามทำตัวตนของพระชายาความแตกเด็ดขาด”ได้ยินดังนี้ จือเฉาพยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจักไปประเดี๋ยวนี้!”หลังเหล่าหมอหลวงทายาให้ท่านอ๋องเสร็จ หมอกู้ก็ส่งเขาออกไปทันทีมองฟู่เฉินหวนบนเตียงทีหนึ่ง หมอกู้ก็หันเดินออกจากไปเช่นกันฟู่เฉินหวนที่นอนอยู่บนเตียงพึมพำบางอย่างด้วยความสะลึมสะลือ จู่ ๆ เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเขาฝืนลุกขึ้นนั่ง ใส่อาภรณ์และหนึ่งมือดันผนังห้องเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าซีดเผือด เซียวซูเดินขึ้นหน้า “ท่านอ๋อง บาดแผลของท่าน…”“มิต้องยุ่ง” น้ำเสียงฟู่เฉินหวนไม่พอใจ และเดินออกจากเรือนไปในทันทีฟู่เฉินหวนกดหน้าอกไว้ ข่มความเจ็บปวดแรงกล้าจากบาดแผล ควบม้า และมุ่งไปทางตรอกฉางเล่อเมื่อฟู่เฉินหวนมาถึงในร้าน ทำซ่งเชียนฉู่ตกใจเป็นอย
จือเฉาเองก็มิเข้าใจ นางมิรู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงมาก่อน“แม่นางซ่ง! เซียนฉู่อยู่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนยังไม่ยอมเลิกพยายาม“เขามิอยู่ เขาไปทำพิธีให้ผู้อื่นที่ชนบท” ซ่งเชียนฉู่อ้างไปมั่ว“พวกเจ้าทุกคนต่างมาขอเครื่องยาสมุนไพร ต้องเป็นอาการสาหัสเช่นไหนกัน!”ตั้งแต่วินาทีที่เห็นจือเฉาปรากฏ ซ่งเชียนฉู่ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลจือเฉารีบขึ้นหน้าคุกเข่า “ท่านหมอ โปรดช่วยพระชายาด้วย นางกำลังสิ้นชีพจริง ๆ แล้ว!”ได้ยินเช่นนี้ ลมหายใจของซ่งเชียนฉู่กระตุกลั่วชิงยวนหรือ?เมื่อครู่ให้ตายอย่างไรนางก็มิยอมให้เครื่องยาสมุนไพรแก่ฟู่เฉินหวน บัดนี้หากนางเปลี่ยนกะทันหันจะแปลกไปหรือเปล่า?“เครื่องยาสมุนไพรของข้ามีไม่มากจริง ๆ! บางอย่างข้าต้องใช้ด้วย! พวกเจ้าต้องการโอสถใด ข้าขอดูก่อนว่ามีมากน้อยเท่าใด”ได้ยินดังนี้ ซูโหยวรีบนำเทียบยาออกมา “นี่ขอรับ”มองดูเทียบยา ซ่งเชียนฉู่ตะลึง “พวกท่านจักเอาหมดนี่เลยรึ! พวกนี้ต่างเป็นเครื่องยาสมุนไพรหายาก!””เพียงแต่มิขัดกับโอสถที่ข้าต้องการใช้ ก็ได้ ข้าจักไปกับพวกท่าน!”ได้ยินดังนี้ ฟู่เฉินหวนถอนหายใจโล่งอกซูโหยวจัดการสั่งรถม้าซ่งเชียนฉู่รีบห
ลั่วชิงยวนฝืนยันร่างลุกขึ้นนั่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”แม่นมเติ้งเห็นว่านางตื่นมาก็ชะงักเล็กน้อย และอึกอักที่จะเอ่ยปาก“พูดสิ!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนไม่พอใจคิ้วของแม่นมเติ้งขมวดแน่น มีหน้าของนางโศกเศร้า “ท่านมหาราชครูลั่ว ปริดชีพตนเองเจ้าค่ะ!”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปฉับพลัน ราวกับถูกฟ้าผ่า “ว่ากระไรนะ?”นางเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียง สวมรองเท้าหยิบหน้ากากและวิ่งออกไปด้านนอกทันที จือเฉาถืออาภรณ์และผ้าคลุมวิ่งตามออกมา “พระชายาช้าหน่อยเจ้าค่ะ ด้านนอกหิมะตกอยู่!”วินาทีที่พุ่งตัวออกจากในห้อง เกล็ดหิมะร่วงโรยบนหลังคอนางและละลายกลายเป็นน้ำ ลมเหมันต์หนาวเข้ากระดูกราวกับจะพัดนางให้สลาย หิมะทั่วฟ้าดินก็เทียบความเหน็บหนาวในใจนางมิติดแต่นิดวิ่งออกจากประตูใหญ่ นางพบว่าด้านนอกมีรถม้าคันหนึ่งพอดีนางจึงรีบขึ้นรถม้า และเอ่ยสั่งบ่าวควบม้า “ไปจวนมหาราชครู!”เมื่อนั่งลง นางจึงเห็นฟู่เฉินหวนที่อยู่ด้านตรงข้ามสีหน้าของเขาเองก็ค่อนข้างซีดเผือด บนใบหน้าเต็มไปด้วยแววหนักอึ้งที่แท้เขามารออยู่ที่นี่ คิดว่าก็คงเพราะเพิ่งรู้เรื่องมหาราชครูเช่นกันรถม้าควบไปทางจวนมหาราชครูอย่างไว ใจของลั่วชิงยวนบีบร
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจเลยว่าไฉนผ่านไปแค่ไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ถึงเพียงนั้นขึ้นมาได้ พลังปราณของฮวงจุ้ยทั่วทั้งจวนมหาราชครูหาได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดไม่ ทว่ากลับมีปราณมรณะเพิ่มเข้ามาไม่น้อยและพลังก็ลดลงด้วย “ไฉนจึงสารภาพผิดแล้วปลิดชีพตน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” ลั่วชิงยวนรู้สึกหายใจไม่ออก ลั่วหรงถอนหายใจ “หลังจากพวกเรารู้เรื่องของฟ่านซานเหอ ก็มิอาจสืบสาวราวเรื่องได้อีกต่อไป ฮูหยินใหญ่ฟ่านก็มาขอความช่วยเหลือจากบิดาด้วยตนเอง อย่างไรเสีย ยามนี้ฟ่านซานเหอก็เป็นสามีของหลางหลาง บิดาย่อมมิอาจวางเฉยได้" “เช่นนั้นข้าจะไปขอร้องลั่วไห่ผิง หวังว่าเขาจะยอมเมตตาปล่อยฟ่านซานเหอไป” เมื่อลั่วหรงเอ่ยมาถึงตรงนี้ นางก็โมโหจัด “แต่ลั่วไห่ผิงกลับไร้อำนาจ เขามิอาจไต่สวนและจับกุมตัวผู้บงการที่ชักใยอยู่เบื้องหลังได้! เรื่องนี้คงมิแคล้วถูกจัดฉากให้มีคนต้องสารภาพความผิด!” “วันนี้ตอนที่ข้าเห็นท่านพ่อ ท่านก็... ปลิดชีพตนเองแล้ว!” “ท่านทิ้งจดหมายเลือดสารภาพความผิดซึ่งได้ส่งไปถึงวังหลวงแล้ว” ลั่วหรงกล่าวไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง นางแลดูแก่ชราลงไปนับสิบปีขึ้นมาทันที
“ระวังหน่อยสิ อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีเลยนะ” ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจอยู่บ้างแล้วหันไปมองเขา ในสายตาลึกล้ำคู่นั้น มีแววหวั่นวิตกราวกับว่ากำลังประจันหน้าสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น นางลุกขึ้นยืนตรงแล้วเบนสายตาออกไป ภายในห้อง ฮูหยินใหญ่ฟ่านโทษตนเองด้วยความรู้สึกผิด นางพร่ำรำพันวาจาจากใจจริงอันชวนให้ประทับใจออกมามากมาย จากนั้นนางก็บอกลั่วหรงว่า “หลังจากฝังศพของท่านมหาราชครู ข้าคิดจะพาคนทั้งตระกูลออกจากเมืองหลวงแล้วกลับไปอาศัยอยู่บ้านมารดาของข้าในซีหยาง ท่านคิดเห็นอย่างไร?” ตระกูลเดิมของฮูหยินใหญ่ฟ่านเป็นพ่อค้าวาณิชอยู่ในซีหยาง เนื่องจากมีคนในตระกูลไม่มากนัก พวกเขาจึงต้องการบ้านสักหลังซึ่งเพียงพอให้ตระกูลของพวกเขาดำรงชีวิตและลงหลักปักฐานได้ เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็กุมมือของลั่วหลางหลางด้วยท่าทีฝืนใจ ถึงแม้ว่านางจะไม่เต็มใจ แต่นางก็รู้ว่ามีเพียงแค่การไปจากเมืองหลวงอันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเท่านั้น นางจึงจะรู้สึกปลอดภัย “เอาล่ะ! ไปซีหยางเถอะ อย่างน้อยที่นั่นก็สงบสุขกว่า” ลั่วหลางหลางพลันหลั่งน้ำตาแล้วคุกเข่าลง "ท่านแม่เจ้าคะ!" ลั่วหรงเองก็หลั่
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา