ซูโหยวไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้แล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บขององค์ชายห้าเป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นหรือไม่ขอรับ?” หมอกู้ตอบว่า “หลังจากใช้โอสถชั้นเลิศ พระองค์ก็เกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่ตลอดและต้องใช้เวลาในการพักฟื้น” “คราที่พระองค์ไม่ได้สติก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอาการบาดเจ็บของพระชายา มิทราบว่าพระชายาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ซูโหยวตอบว่า "หมอกู้ พระชายาหาได้เป็นอันใดไม่ ได้โปรดทูลองค์ชายห้าว่าขออย่าได้ทรงเป็นกังวล มิฉะนั้นก็รังแต่จะหาเรื่องใส่ตน" หลังจากซูโหยวพูดจบก็หันหลังเดินจากไป ลั่วชิงยวนลดฝีเท้าแล้วรีบจากไป นางซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด รอจนกระทั่งซูโหยวเดินจากไปก่อนจะย้อนกลับมาที่เรือนของตน พลางรู้สึกสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด ฟู่อวิ๋นโจวได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ? มิน่า หลายวันมานี้นางจึงไม่เห็นเขาเลย เขาถูกตัดนิ้วไปข้างหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าฟู่เฉินหวนจะถูกใส่ความจนต้องโทษประหาร พวกเขาจึงตัดนิ้วของฟู่อวิ๋นโจวเพื่อข่มขู่ไทเฮาให้ปล่อยตัวเขา? หลังจากครุ่นคิดเรื่องนั้นดูแล้ว นี่คือความเป็นไปได้เพียงประการเดียว ภายนอกดูเหมือนฟู่อวิ๋นโจวกำลังพักฟื้นจาก
"ข้าจะไปกับท่านด้วย" ซ่งเชียนฉู่กางร่มแล้วออกจากตำหนักไปพร้อมกับลั่วชิงยวนและจือเฉา ลั่วชิงยวนมาที่หอมหาสมบัติ หอมหาสมบัติยังคงเปิดกิจการตามปกติ เรื่องลูกแก้วหงส์เพลิงถูกขโมยหาได้พัวพันหรือส่งผลต่อกิจการของพวกเขาแต่อย่างใดไม่ เมื่อลั่วชิงยวนมาถึง ผู้ดูแลหอมหาสมบัติมองแวบเดียวก็จำพวกนางได้จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปหา “พระชายา ท่านประสงค์สิ่งใดหรือขอรับ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยตามตรง “อืม เรื่องเป็นเช่นนี้นะ อีกเดือนก็จะเป็นวันเกิดของบิดาข้าแล้ว ในฐานะที่เป็นบุตรี ข้าอยากจะทำให้ท่านประหลาดใจสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงมาเลือกของกำนัลที่หอมหาสมบัติ” ที่แท้ก็มาซื้อของนี่เอง ผู้ดูแลถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเชื้อเชิญลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน จากนั้นก็รีบยกน้ำชามาให้ด้วยท่าทีกระตือรือร้น จากนั้นเขาก็เลื่อนภาพเขียนกองโตให้พลางกล่าวว่า “นี่คือสินค้าในร้านของเรา มีอยู่หลายแบบเลยขอรับ หากท่านชอบชิ้นไหน ข้าน้อยจักได้ไปเอามาให้ท่าน” ลั่วชิงยวนเลือกส่ง ๆ แล้วดึงภาพเขียนออกมาม้วนแล้วม้วนเล่า นางเลือกภาพเขียนออกมาได้กว่าสามสิบม้วน “พระชายา ท่านเลือกออกมาตั้งหลายม้วน ท่านอยากดูทีละม้
”ข้าวของพวกนี้ขายหมดเมื่อไหร่ พระชายาก็มารับเงินได้เลยขอรับ!” ลั่วชิงยวนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ข้ายังต้องตรวจสอบแล้วทำตำหนิของข้าวของพวกนี้สักหน่อย รบกวนเถ้าแก่เอาหมึกกับพู่กันมาให้ข้าที” ถึงแม้ว่ายังมิได้จ่ายเงิน ทว่าเถ้าแก่ก็ไม่กลัวสักนิด อย่างไรเสียนี่ก็คือพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการและบุตรีของอัครเสนาบดี ดังนั้นนางย่อมไม่มีทางเบี้ยวจ่ายอยู่แล้ว จากนั้นเถ้าแก่ก็สั่งให้คนเอาหมึกกับพู่กันมาแล้วหันหลังเดินจากไป ลั่วชิงยวนยกแจกันขึ้นมาดูแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "จือเฉา ไปซื้อของให้ข้าที" จือเฉาเข้ามาหาแล้วลั่วชิงยวนก็กระซิบสั่งการบางอย่าง หลังจากนั้นจือเฉาก็เดินออกไป จากนั้นลั่วชิงยวนก็ใช้พู่กันวาดอักขระเวทลงบนก้นแจกัน ซ่งเชียนฉู่ผู้ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจึงนั่งกินของว่างพลางถามว่า “ข้าวของที่ท่านซื้อให้ลั่วไห่ผิง จักนำพาโชคร้ายมาให้เขากระนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “มิใช่เพียงโชคร้ายเท่านั้นหรอก” ซ่งเชียนฉู่เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็นึกขึ้นได้ “ดูเหมือนอักขระเวทพวกนี้ของเจ้าจะแตกต่างกันไปตามแต่ข้าวของแต่ละชิ้นหนา” ลั่วชิงยวนผงกศีรษะ “แจกันตั้งพื้นวางอยู่มุมห้อ
เขาสวมเสื้อคลุมให้นาง ความใกล้ชิดเช่นนั้นทำเอาลั่วชิงยวนหัวใจเต้นรัว “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ระวังอย่าให้จับไข้เอาได้” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนฟังดูเฉยชาและหาได้มีวี่แววของความห่วงใยสักกระผีก แต่คำพูดกับการกระทำกลับเผยให้เห็นความห่วงใยออกมาอยู่บ้าง สิ่งนี้ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมาทันที นางรู้สึกไม่สบายใจที่ฟู่เฉินหวนเป็นเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนยังคงเดินเข้ามาหาพลางกล่าวว่า “ฟ่านซานเหอถูกปล่อยตัวแล้ว” “คำสารภาพของท่านมหาราชครูถูกส่งมาที่ราชสำนักแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้เรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากท่านมหาราชครูกรำงานหนักและสร้างคุณูปการเอาไว้มากมาย ท่านมหาราชครูจึงไม่ต้องโทษและตระกูลของท่านก็มิต้องพลอยต้องโทษไปด้วย" “อนุญาตให้เหล่าข้าราชบริพารไปส่งท่านมหาราชครูได้” น้ำเสียงที่ฟู่เฉินหวนเอ่ยฟังดูหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง หลังจากลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็รู้สึกตื่นตระหนก “ไยท่านจึงไม่ไต่สวนเพิ่มเติมเล่าเพคะ? จะปล่อยให้ผู้ที่บีบคั้นท่านมหาราชครูจนถึงแก่ความตายลอยนวลไปเช่นนั้นหรือ?” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนออกจะอับจนหนทางอยู่บ้าง “หลังจากผ่านไ
ไฉนลั่วไห่ผิงจึงไม่เข้ามาน่ะหรือ? ก็เพราะเขาถูกขวางเอาไว้นอกประตูจวนมหาราชครูและมิได้รับอนุญาตให้เข้ามา ดังนั้นลั่วเยวี่ยอิงจึงต้องเข้ามาจุดธูปแสดงความเคารพ ลั่วชิงยวนหยิบธูปขึ้นมาเตรียมจุดไฟ ทันใดนั้นก็มีมือยื่นออกมาแย่งธูปไปจากมือของนาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นลั่วอวิ๋นสี่ที่ดวงตาบวมแดงจากการร้องไห้ กำลังจ้องมองนางด้วยความโกรธจัด “เจ้าฆ่าท่านตาของข้า ยังกล้ามาอีกรึ?! ข้ามิยอมให้เจ้าจุดธูปแสดงความเคารพท่านตาของข้าหรอก! ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!” ลั่วอวิ๋นสี่โกรธจัด ลั่วเยวี่ยอิงที่อยู่อีกทางหนึ่งจุดธูปในเตาแล้วเหลือบมองทางหางตา จากนั้นก็ค่อย ๆ ยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ ลั่วชิงยวนมองมาที่นางก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกรงว่าลั่วเยวี่ยอิงคงจะพูดเรื่องเหลวไหลกับลั่วอวิ๋นสี่อีกแล้ว ทว่าลั่วอวิ๋นสี่ก็โง่งมมากพอที่จะหลงเชื่อถ้อยคำของลั่วเยวี่ยอิง "ลั่วอวิ๋นสี่ เจ้าคิดว่าการที่เจ้าก่อเรื่องขึ้นในวันนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วรึ?" ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาคมกริบ ลั่วอวิ๋นสี่จ้องนางตาเขม็ง “แล้วเจ้าที่เอาแต่ปิดบังตัวตนที่แท้จริงเล่า ทำเรื่องเหมาะสมแล้วกระนั้นรึ? ไสหัวออกไปจากที่น
ลั่วชิงยวนตั้งอกตั้งใจฟัง ลั่วหรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า “ตระกูลลั่วของพวกเราล่วงเกินผู้ใดสักคนเข้าแล้ว!” “เรื่องทั้งหมดนี้มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์เมื่อครั้งนั้น!” เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนนี้เข้า นางก็ถึงกับตัวสั่นสะท้าน "พวกเราไปล่วงเกินผู้ใดเข้าหรือเจ้าคะ?" ลั่วหรงส่ายหน้าแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ความนึกคิดของนางย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อสามปีก่อน มีคนพานักพรตเต๋ารูปหนึ่งมาเยือนถึงหน้าประตูแล้วบอกว่าหลุมฝังศพของมารดาข้าตั้งอยู่ในจุดบอดของฮวงจุ้ย เรียกได้ว่าอาจจะส่งผลต่อชะตาของตระกูลลั่วของพวกเราทั้งตระกูลก็ว่าได้” “พวกเขาเกลี้ยให้พวกเราย้ายหลุมฝังศพแล้วขายที่ดินให้” “บิดากับข้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ยอมตอบตกลง ต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าและมีคนคิดจะซื้อที่ดินของพวกเรา” “พวกเขาถึงขั้นบอกว่าจะช่วยพวกเราย้ายหลุมศพไปยังสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดี ๆ อีกด้วย” “ข้ารู้สึกว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้เป็นคนเดียวกัน ข้ามิรู้ว่าพวกเขามีเจตนาอันใดกันถึงอยากได้ที่ดินจนถึงขั้นยอมขุดหลุมฝังศพมารดาของข้า”
ดูเหมือนว่านางจะคาดเดาถูกเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น การที่ลั่วไห่ผิงไม่ยอมช่วย มิใช่เพราะเขาไม่แจ้งชัดในข้อกล่าวหาของฟ่านซานเหอ แต่เป็นเพราะเขาเกรงว่าตำแหน่งหน้าที่การงานของตนจะติดร่างแหไปกับผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง “อีกไม่กี่วัน เมื่อพวกเราย้ายหลุมฝังศพ เจ้าก็มากับข้าสิ” ยามนี้ลั่วหรงเพียงคิดจะปกป้องบุตรีทั้งสองคนให้มากที่สุดเท่าที่พอจะเป็นไปได้ ส่วนเรื่องที่เหลือย่อมสามารถรอมชอมกันได้ ลั่วชิงยวนพยักหน้าพลางลอบกำหมัดแน่น ตระกูลเหยียน! นี่หาใช่ครั้งแรกไม่ที่นางลงมือจัดการกับตระกูลเหยียน เรื่องทุกอย่างที่นางประสบพบเจอล้วนเกี่ยวพันกับตระกูลเหยียนเป็นเงาตามตัว นางคิดว่าคงไม่อาจปิดบังได้อีกแล้ว นางจะใช้ตัวตนของลั่วชิงยวนและคงสถานะพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการต่อไป! นางเคยคิดว่าขอเพียงอยู่ให้ห่างจากฟู่เฉินหวนก็น่าจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ แต่นางกลับหารู้ไม่ว่า ได้เข้ามาพัวพันในวังวนเช่นนี้จนยากจะไถ่ถอน! นางเขียนเทียบโอสถแล้วให้คำแนะนำแก่ท่านอาลั่วหรงสักสองสามคำ จากนั้นก็ออกจากจวนมหาราชครู อารมณ์หนักหน่วงไปตลอดทาง นางสัมผัสได้ถึงอำนาจอันเล้นพ้นของตระกูลเหยียน ถึงแม้ว่านางจะยัง
ฟู่เฉินหวนมิตอบคำ ทว่ากลับกระตุ้นม้าขึ้นเขา ตลอดทางยังหลงเหลือเศษกระดาษเงินกระดาษทองที่เผาไหม้แล้วอยู่มากมาย ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นี่คือทางไปหลุมฝังศพท่านมหาราชครูในวันนี้ เขากำลังจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพของท่านมหาราชครูกระนั้นหรือ? ฟู่เฉินหวนควบม้าห่างออกไปไม่ไกลจากหลุมฝังศพของท่านมหาราชครูตามทีคาดคิดเอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนออกมาโอบรอบเอวของลั่วชิลงยวน นางรีบขืนตัวพลางกล่าวว่า "หม่อมฉันลงเองได้!" ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง จากนั้นก็พลิกตัวลงจากหลังม้าก่อน ลั่วชิงยวนคิดจะกระโดดลงอย่างสง่างาม แต่เมื่อคำนึงถึงรูปร่างของตนเองก็ตัดสินใจที่จะไม่เปิดเผยตัวตนออกมา นางจึงคว้าอานม้าแล้วค่อย ๆ ลงจากหลังม้า ระหว่างที่นางย่ำลงบนหิมะก็ซวนเซไปบ้าง ฟู่เฉินหวนเอื้อมมือออกไปช่วยประคองนางเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ลั่วชิงยวนกลับไม่ยอมให้เขาแตะต้องแล้วรีบหลบหลีกไป เกรงว่าเขาคงเห็นเข้าแล้ว นางจึงแสร้งต้องลมเย็นจนเริ่มไอขึ้นมา ฟู่เฉินหวนมองนางด้วยสายตาล้ำลึกแล้วจูงม้าไปข้างหน้า ลั่วชิงยวนตามเขามาที่หลุมฝังศพของท่านมหาราชครู ม้าค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้หลุมฝังศพของท่านมหาราชครู จากนั
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา