จือเฉาเองก็มิเข้าใจ นางมิรู้ว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงมาก่อน“แม่นางซ่ง! เซียนฉู่อยู่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนยังไม่ยอมเลิกพยายาม“เขามิอยู่ เขาไปทำพิธีให้ผู้อื่นที่ชนบท” ซ่งเชียนฉู่อ้างไปมั่ว“พวกเจ้าทุกคนต่างมาขอเครื่องยาสมุนไพร ต้องเป็นอาการสาหัสเช่นไหนกัน!”ตั้งแต่วินาทีที่เห็นจือเฉาปรากฏ ซ่งเชียนฉู่ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากลจือเฉารีบขึ้นหน้าคุกเข่า “ท่านหมอ โปรดช่วยพระชายาด้วย นางกำลังสิ้นชีพจริง ๆ แล้ว!”ได้ยินเช่นนี้ ลมหายใจของซ่งเชียนฉู่กระตุกลั่วชิงยวนหรือ?เมื่อครู่ให้ตายอย่างไรนางก็มิยอมให้เครื่องยาสมุนไพรแก่ฟู่เฉินหวน บัดนี้หากนางเปลี่ยนกะทันหันจะแปลกไปหรือเปล่า?“เครื่องยาสมุนไพรของข้ามีไม่มากจริง ๆ! บางอย่างข้าต้องใช้ด้วย! พวกเจ้าต้องการโอสถใด ข้าขอดูก่อนว่ามีมากน้อยเท่าใด”ได้ยินดังนี้ ซูโหยวรีบนำเทียบยาออกมา “นี่ขอรับ”มองดูเทียบยา ซ่งเชียนฉู่ตะลึง “พวกท่านจักเอาหมดนี่เลยรึ! พวกนี้ต่างเป็นเครื่องยาสมุนไพรหายาก!””เพียงแต่มิขัดกับโอสถที่ข้าต้องการใช้ ก็ได้ ข้าจักไปกับพวกท่าน!”ได้ยินดังนี้ ฟู่เฉินหวนถอนหายใจโล่งอกซูโหยวจัดการสั่งรถม้าซ่งเชียนฉู่รีบห
ลั่วชิงยวนฝืนยันร่างลุกขึ้นนั่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”แม่นมเติ้งเห็นว่านางตื่นมาก็ชะงักเล็กน้อย และอึกอักที่จะเอ่ยปาก“พูดสิ!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนไม่พอใจคิ้วของแม่นมเติ้งขมวดแน่น มีหน้าของนางโศกเศร้า “ท่านมหาราชครูลั่ว ปริดชีพตนเองเจ้าค่ะ!”สีหน้าของลั่วชิงยวนเปลี่ยนไปฉับพลัน ราวกับถูกฟ้าผ่า “ว่ากระไรนะ?”นางเปิดผ้าห่มออกลงจากเตียง สวมรองเท้าหยิบหน้ากากและวิ่งออกไปด้านนอกทันที จือเฉาถืออาภรณ์และผ้าคลุมวิ่งตามออกมา “พระชายาช้าหน่อยเจ้าค่ะ ด้านนอกหิมะตกอยู่!”วินาทีที่พุ่งตัวออกจากในห้อง เกล็ดหิมะร่วงโรยบนหลังคอนางและละลายกลายเป็นน้ำ ลมเหมันต์หนาวเข้ากระดูกราวกับจะพัดนางให้สลาย หิมะทั่วฟ้าดินก็เทียบความเหน็บหนาวในใจนางมิติดแต่นิดวิ่งออกจากประตูใหญ่ นางพบว่าด้านนอกมีรถม้าคันหนึ่งพอดีนางจึงรีบขึ้นรถม้า และเอ่ยสั่งบ่าวควบม้า “ไปจวนมหาราชครู!”เมื่อนั่งลง นางจึงเห็นฟู่เฉินหวนที่อยู่ด้านตรงข้ามสีหน้าของเขาเองก็ค่อนข้างซีดเผือด บนใบหน้าเต็มไปด้วยแววหนักอึ้งที่แท้เขามารออยู่ที่นี่ คิดว่าก็คงเพราะเพิ่งรู้เรื่องมหาราชครูเช่นกันรถม้าควบไปทางจวนมหาราชครูอย่างไว ใจของลั่วชิงยวนบีบร
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจเลยว่าไฉนผ่านไปแค่ไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ถึงเพียงนั้นขึ้นมาได้ พลังปราณของฮวงจุ้ยทั่วทั้งจวนมหาราชครูหาได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดไม่ ทว่ากลับมีปราณมรณะเพิ่มเข้ามาไม่น้อยและพลังก็ลดลงด้วย “ไฉนจึงสารภาพผิดแล้วปลิดชีพตน เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” ลั่วชิงยวนรู้สึกหายใจไม่ออก ลั่วหรงถอนหายใจ “หลังจากพวกเรารู้เรื่องของฟ่านซานเหอ ก็มิอาจสืบสาวราวเรื่องได้อีกต่อไป ฮูหยินใหญ่ฟ่านก็มาขอความช่วยเหลือจากบิดาด้วยตนเอง อย่างไรเสีย ยามนี้ฟ่านซานเหอก็เป็นสามีของหลางหลาง บิดาย่อมมิอาจวางเฉยได้" “เช่นนั้นข้าจะไปขอร้องลั่วไห่ผิง หวังว่าเขาจะยอมเมตตาปล่อยฟ่านซานเหอไป” เมื่อลั่วหรงเอ่ยมาถึงตรงนี้ นางก็โมโหจัด “แต่ลั่วไห่ผิงกลับไร้อำนาจ เขามิอาจไต่สวนและจับกุมตัวผู้บงการที่ชักใยอยู่เบื้องหลังได้! เรื่องนี้คงมิแคล้วถูกจัดฉากให้มีคนต้องสารภาพความผิด!” “วันนี้ตอนที่ข้าเห็นท่านพ่อ ท่านก็... ปลิดชีพตนเองแล้ว!” “ท่านทิ้งจดหมายเลือดสารภาพความผิดซึ่งได้ส่งไปถึงวังหลวงแล้ว” ลั่วหรงกล่าวไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง นางแลดูแก่ชราลงไปนับสิบปีขึ้นมาทันที
“ระวังหน่อยสิ อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีเลยนะ” ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจอยู่บ้างแล้วหันไปมองเขา ในสายตาลึกล้ำคู่นั้น มีแววหวั่นวิตกราวกับว่ากำลังประจันหน้าสิ่งชั่วร้ายอย่างไรอย่างนั้น นางลุกขึ้นยืนตรงแล้วเบนสายตาออกไป ภายในห้อง ฮูหยินใหญ่ฟ่านโทษตนเองด้วยความรู้สึกผิด นางพร่ำรำพันวาจาจากใจจริงอันชวนให้ประทับใจออกมามากมาย จากนั้นนางก็บอกลั่วหรงว่า “หลังจากฝังศพของท่านมหาราชครู ข้าคิดจะพาคนทั้งตระกูลออกจากเมืองหลวงแล้วกลับไปอาศัยอยู่บ้านมารดาของข้าในซีหยาง ท่านคิดเห็นอย่างไร?” ตระกูลเดิมของฮูหยินใหญ่ฟ่านเป็นพ่อค้าวาณิชอยู่ในซีหยาง เนื่องจากมีคนในตระกูลไม่มากนัก พวกเขาจึงต้องการบ้านสักหลังซึ่งเพียงพอให้ตระกูลของพวกเขาดำรงชีวิตและลงหลักปักฐานได้ เมื่อลั่วหรงได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็กุมมือของลั่วหลางหลางด้วยท่าทีฝืนใจ ถึงแม้ว่านางจะไม่เต็มใจ แต่นางก็รู้ว่ามีเพียงแค่การไปจากเมืองหลวงอันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเท่านั้น นางจึงจะรู้สึกปลอดภัย “เอาล่ะ! ไปซีหยางเถอะ อย่างน้อยที่นั่นก็สงบสุขกว่า” ลั่วหลางหลางพลันหลั่งน้ำตาแล้วคุกเข่าลง "ท่านแม่เจ้าคะ!" ลั่วหรงเองก็หลั่
ซูโหยวไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้แล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บขององค์ชายห้าเป็นอย่างไรบ้าง? ดีขึ้นหรือไม่ขอรับ?” หมอกู้ตอบว่า “หลังจากใช้โอสถชั้นเลิศ พระองค์ก็เกือบจะหายดีแล้ว แต่ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่ตลอดและต้องใช้เวลาในการพักฟื้น” “คราที่พระองค์ไม่ได้สติก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องอาการบาดเจ็บของพระชายา มิทราบว่าพระชายาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ซูโหยวตอบว่า "หมอกู้ พระชายาหาได้เป็นอันใดไม่ ได้โปรดทูลองค์ชายห้าว่าขออย่าได้ทรงเป็นกังวล มิฉะนั้นก็รังแต่จะหาเรื่องใส่ตน" หลังจากซูโหยวพูดจบก็หันหลังเดินจากไป ลั่วชิงยวนลดฝีเท้าแล้วรีบจากไป นางซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด รอจนกระทั่งซูโหยวเดินจากไปก่อนจะย้อนกลับมาที่เรือนของตน พลางรู้สึกสะเทือนใจอย่างถึงที่สุด ฟู่อวิ๋นโจวได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นหรือ? มิน่า หลายวันมานี้นางจึงไม่เห็นเขาเลย เขาถูกตัดนิ้วไปข้างหนึ่งใช่หรือไม่ หรือว่าฟู่เฉินหวนจะถูกใส่ความจนต้องโทษประหาร พวกเขาจึงตัดนิ้วของฟู่อวิ๋นโจวเพื่อข่มขู่ไทเฮาให้ปล่อยตัวเขา? หลังจากครุ่นคิดเรื่องนั้นดูแล้ว นี่คือความเป็นไปได้เพียงประการเดียว ภายนอกดูเหมือนฟู่อวิ๋นโจวกำลังพักฟื้นจาก
"ข้าจะไปกับท่านด้วย" ซ่งเชียนฉู่กางร่มแล้วออกจากตำหนักไปพร้อมกับลั่วชิงยวนและจือเฉา ลั่วชิงยวนมาที่หอมหาสมบัติ หอมหาสมบัติยังคงเปิดกิจการตามปกติ เรื่องลูกแก้วหงส์เพลิงถูกขโมยหาได้พัวพันหรือส่งผลต่อกิจการของพวกเขาแต่อย่างใดไม่ เมื่อลั่วชิงยวนมาถึง ผู้ดูแลหอมหาสมบัติมองแวบเดียวก็จำพวกนางได้จึงรีบกุลีกุจอเข้าไปหา “พระชายา ท่านประสงค์สิ่งใดหรือขอรับ?” ลั่วชิงยวนเอ่ยตามตรง “อืม เรื่องเป็นเช่นนี้นะ อีกเดือนก็จะเป็นวันเกิดของบิดาข้าแล้ว ในฐานะที่เป็นบุตรี ข้าอยากจะทำให้ท่านประหลาดใจสักหน่อย ดังนั้นข้าจึงมาเลือกของกำนัลที่หอมหาสมบัติ” ที่แท้ก็มาซื้อของนี่เอง ผู้ดูแลถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วรีบเชื้อเชิญลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องส่วนตัวที่อยู่ชั้นบน จากนั้นก็รีบยกน้ำชามาให้ด้วยท่าทีกระตือรือร้น จากนั้นเขาก็เลื่อนภาพเขียนกองโตให้พลางกล่าวว่า “นี่คือสินค้าในร้านของเรา มีอยู่หลายแบบเลยขอรับ หากท่านชอบชิ้นไหน ข้าน้อยจักได้ไปเอามาให้ท่าน” ลั่วชิงยวนเลือกส่ง ๆ แล้วดึงภาพเขียนออกมาม้วนแล้วม้วนเล่า นางเลือกภาพเขียนออกมาได้กว่าสามสิบม้วน “พระชายา ท่านเลือกออกมาตั้งหลายม้วน ท่านอยากดูทีละม้
”ข้าวของพวกนี้ขายหมดเมื่อไหร่ พระชายาก็มารับเงินได้เลยขอรับ!” ลั่วชิงยวนพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ข้ายังต้องตรวจสอบแล้วทำตำหนิของข้าวของพวกนี้สักหน่อย รบกวนเถ้าแก่เอาหมึกกับพู่กันมาให้ข้าที” ถึงแม้ว่ายังมิได้จ่ายเงิน ทว่าเถ้าแก่ก็ไม่กลัวสักนิด อย่างไรเสียนี่ก็คือพระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการและบุตรีของอัครเสนาบดี ดังนั้นนางย่อมไม่มีทางเบี้ยวจ่ายอยู่แล้ว จากนั้นเถ้าแก่ก็สั่งให้คนเอาหมึกกับพู่กันมาแล้วหันหลังเดินจากไป ลั่วชิงยวนยกแจกันขึ้นมาดูแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า "จือเฉา ไปซื้อของให้ข้าที" จือเฉาเข้ามาหาแล้วลั่วชิงยวนก็กระซิบสั่งการบางอย่าง หลังจากนั้นจือเฉาก็เดินออกไป จากนั้นลั่วชิงยวนก็ใช้พู่กันวาดอักขระเวทลงบนก้นแจกัน ซ่งเชียนฉู่ผู้ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างจึงนั่งกินของว่างพลางถามว่า “ข้าวของที่ท่านซื้อให้ลั่วไห่ผิง จักนำพาโชคร้ายมาให้เขากระนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “มิใช่เพียงโชคร้ายเท่านั้นหรอก” ซ่งเชียนฉู่เข้ามาดูใกล้ ๆ ก็นึกขึ้นได้ “ดูเหมือนอักขระเวทพวกนี้ของเจ้าจะแตกต่างกันไปตามแต่ข้าวของแต่ละชิ้นหนา” ลั่วชิงยวนผงกศีรษะ “แจกันตั้งพื้นวางอยู่มุมห้อ
เขาสวมเสื้อคลุมให้นาง ความใกล้ชิดเช่นนั้นทำเอาลั่วชิงยวนหัวใจเต้นรัว “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ระวังอย่าให้จับไข้เอาได้” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนฟังดูเฉยชาและหาได้มีวี่แววของความห่วงใยสักกระผีก แต่คำพูดกับการกระทำกลับเผยให้เห็นความห่วงใยออกมาอยู่บ้าง สิ่งนี้ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกขึ้นมาทันที นางรู้สึกไม่สบายใจที่ฟู่เฉินหวนเป็นเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนยังคงเดินเข้ามาหาพลางกล่าวว่า “ฟ่านซานเหอถูกปล่อยตัวแล้ว” “คำสารภาพของท่านมหาราชครูถูกส่งมาที่ราชสำนักแล้ว ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้เรื่องยุติลงเพียงเท่านี้ เนื่องจากท่านมหาราชครูกรำงานหนักและสร้างคุณูปการเอาไว้มากมาย ท่านมหาราชครูจึงไม่ต้องโทษและตระกูลของท่านก็มิต้องพลอยต้องโทษไปด้วย" “อนุญาตให้เหล่าข้าราชบริพารไปส่งท่านมหาราชครูได้” น้ำเสียงที่ฟู่เฉินหวนเอ่ยฟังดูหนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง หลังจากลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้า นางก็รู้สึกตื่นตระหนก “ไยท่านจึงไม่ไต่สวนเพิ่มเติมเล่าเพคะ? จะปล่อยให้ผู้ที่บีบคั้นท่านมหาราชครูจนถึงแก่ความตายลอยนวลไปเช่นนั้นหรือ?” น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนออกจะอับจนหนทางอยู่บ้าง “หลังจากผ่านไ
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว
เมื่อเฉินชีได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงักแล้วยกยิ้มมุมปาก เดินมาที่หน้าต่าง พิงกำแพงพลางกอดอก “เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าในฐานะที่เจ้าเป็นใคร?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักบวชระดับสูง”ดวงตาของเฉินชีลุกโชนด้วยประกายร้อนแรง “อาเหลา ในที่สุดเจ้าก็ตัดสินใจจะไปกับข้าแล้วหรือ?”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่ง “กลับแคว้นหลีก็ได้ ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”“แคว้นหลีจะมีนักบวชระดับสูงได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น”เฉินชียกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างนอบน้อม “อย่าว่าแต่เรื่องเดียวเลย สิบเรื่อง ร้อยเรื่อง เฉินชีก็ยินดีทำเพื่อนักบวชระดับสูงทั้งสิ้น!”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองเขาด้วยแววตาที่ลึกล้ำถึงแม้เฉินชีจะบ้าแต่ก็มิใช้คนโง่เขลา เขาทำอะไรตามอำเภอใจแต่ก็คงมิยอมสยบต่อนางง่าย ๆ เช่นนี้การเปลี่ยนท่าทีเช่นนี้ทำให้นางมิค่อยเชื่อถือ“เจ้าฟังเรื่องที่ข้าจะให้เจ้าทำก่อนค่อยตอบรับก็ยังมิสาย”เฉินชีลุกขึ้นมองนางด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านนักบวชต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”“ข้าต้องการให้เจ้ายกทัพไปตีซีหลิง”“แต่ห้ามสู้รบกันจริง ๆ ห้ามทำร้ายราษฎร”เฉ
ใจของลั่วชิงยวนร้อนรุ่มดั่งไฟสุม นางพยายามดิ้นรนสุดแรง “ปล่อยข้านะ!”“ฟู่เฉินหวน ท่านช่างไร้หัวใจอะไรเยี่ยงนี้!”ทว่าฟู่เฉินหวนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย มิสะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อเห็นแม่นมเติ้งใกล้จะทนมิไหวแล้ว น้ำตาลั่วชิงยวนก็เอ่อคลอ“หม่อมฉันจะมิออกจากเรือนแล้ว หม่อมฉันจะมิออกจากห้องแล้ว ได้หรือไม่!”นางมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ พยายามวิงวอนขอร้องในที่สุดนางก็ยอมก้มหน้าลง“ขอท่านไว้ชีวิตนางด้วยเถิดเพคะ!” ลั่วชิงยวนคุกเข่าลงอย่างอ่อนแรงแววตาฟู่เฉินหวนมืดมนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าเมื่อนางขอร้องแล้ว ฟู่เฉินหวนคงจะไว้ชีวิตแม่นมเติ้งแต่ฟู่เฉินหวนกลับมีแววตาเย็นชา “นางเป็นบ่าวของตำหนัก มิใช่บ่าวของเจ้า นางขัดคำสั่งข้า สำหรับข้าแล้ว ไม่มีคำว่ายกโทษ”น้ำเสียงเย็นเยียบของเขาเป็นดั่งหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนตกตะลึงนางโกรธจนตะโกนลั่น “ฟู่เฉินหวน!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววหงุดหงิดขณะกล่าวเสียงเย็น “พาตัวนางไป”องครักษ์จับตัวลั่วชิงยวนแล้วลากออกไปฟู่เฉินหวนมองนางเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเย็นชา “หากเจ้ายังท้าทายข้าอีก จะต้องมีคนตายมา่กกว่านี้แน่”แ