ทุกคนตกตะลึง เมื่อเงยหน้ามองไป พวกเขาเห็นชายผู้หนึ่งในชุดผ้าทอก้าวเข้ามาอย่างมั่นคงช้า ๆ ด้วยลักษณะท่าทางที่ดุดันฟู่เฉินหวนชำเลืองมองไปที่ลั่วชิงยวนที่เปื้อนเลือดอยู่บนพื้นพลางขมวดคิ้วแน่น เขาตกใจมากเมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นของนางเรื่องการตัดความสัมพันธ์ ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่กล้าตัดความสัมพันธ์กับครอบครัวของตนเช่นนี้?หลายวันมานี้เขาสังเกตเห็นว่า ลั่วชิงยวนนั้นเปลี่ยนไป แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่านางจะกล้าพูดเช่นนี้ น้ำเสียงที่หนักแน่น และจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ทำให้เขารู้สึกประทับใจเล็กน้อยหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินเข้ามาในประตู“กระหม่อมมิทราบว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาที่นี่” ลั่วไห่ผิงรีบกำปั้นกำไว้ที่หน้าอกทักทาย “วันนี้กระหม่อมใช้กฎครอบครัวเพื่อสั่งสอนบุตรสาวของกระหม่อม ช่างน่าขายหน้าต่อท่านอ๋องยิ่งนัก”ลั่วไห่ผิงรู้สึกผิดที่บุตรสาวของเขาทำสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นการแต่งงานแทน จึงได้ลดท่าทีลงใบหน้าของฟู่เฉินหวนนั้นยังคงเย็นชา เขาเหลือบมองลั่วชิงยวนที่อยู่บนพื้น "ครั้งนี้นางกระทำอันใดผิดกัน เหตุใดท่านถึงได้ใช้กฎครอบครัวเฆี่ยนตีนางเช่นนี้"ลั่วไห่ผิงหน้าเสี
เสียงของนางอ่อนแรงมาก แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงเจตจำนง และความดื้อรั้นที่ไม่ยอมแพ้ของนางเขาขมวดคิ้วมุ่น สมบัติอย่างนั้นหรือ? อะไรคือสมบัติที่ลั่วชิงยวนต้องการถึงเพียงนี้กัน?ลั่วเยวี่ยอิงก้าวไปข้างหน้า หวังจะแยกมือของลั่วชิงยวนออก แต่ลั่วชิงยวนมิได้สติ นางกำเสื้อผ้าของฟู่เฉินหวนแน่น โดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย และยังพึมพำไม่หยุด "เอาสมบัติของแม่ข้าคืนมา! เอาคืนมาให้ข้า!"“ท่านพี่ตื่นเถิด อย่าทำให้เสื้อผ้าของท่านอ๋องเปื้อนสิเจ้าคะ!” ลั่วเยวี่ยอิงพูดขึ้นอย่างร้อนรนอย่างไรก็ตาม ลั่วชิงยวนยังคงจับมันไว้และไม่ยอมปล่อย นางรั้งมันไว้เหมือนฟางเส้นสุดท้ายดวงตาของฟู่เฉินหวนเคร่งขรึม เขาจ้องมองด้วยความขยะแขยง แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมประนีประนอม "ช่างเถอะ ข้าผู้เป็นอ๋องจะส่งนางกลับเรือนเอง!"เขาก้มลงอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นมา แต่ด้วยร่างกายที่หนักอึ้งนี้ แม้แต่ท่านอ๋องที่ฝึกฝนวรยุทธมาตลอดทั้งปี ก็เกือบจะเซทันทีที่ลุกขึ้นเขาอุ้มลั่วชิงยวนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเดินตามทางที่นางรับใช้บอกไปยังเรือนสายธารเขาวางลั่วชิงยวนลงบนเตียง ใบหน้าของนางซีดเซียวไร้สีเลือด ข้อนิ้วที่จับเสื้อของฟู่
ฟู่เฉินหวนตัวแข็งทื่อลั่วไห่ผิงโกรธมากเมื่อได้ยิน คนในครอบครัวท่านอ๋องอย่างนั้นหรือ? นั่นก็คือจักรพรรดิ คือราชวงศ์เชียวนะ!เขาตะคอก "ลั่วชิงยวน เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอะไร! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการสาปแช่งจักรพรรดิ และไม่เคารพราชวงศ์เป็นความผิดบาปใหญ่แรงแค่ไหน? เจ้าตั้งใจจะฆ่าคนในจวนอัครเสนาบดีงั้นรึ!"ลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะ น้ำตาและเลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุดนางกำลังจะตายอยู่แล้ว จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับจวนอัครเสนาบดีด้วยหรือ? จวนอัครเสนาบดีจะเป็นเยี่ยงไรนั้นมิเกี่ยวกับนาง หากมิใช่ท่านพ่อซึ่งเป็นท่านอัครเสนาบดีใช้กฎครอบครัวกับนาง นางจะหมดสติไปถึงขั้นโดนคนวางยาเช่นนี้หรือ!หมอกู้พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม "ท่านอ๋อง กระหม่อมได้จ่ายยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว แต่อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเกินไปสำหรับพระชายา และนางก็ป่วยกะทันหัน กระหม่อมเกรงว่าจะเหลือเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้ว มองไปที่ลั่วชิงยวนที่โชกไปด้วยเลือด เขารู้สึกสงสารนางอยู่ครู่หนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตจากอาการป่วยกะทันหันอย่างนั้นหรือ? ลั่วชิงยวนอยากจะอ้าปากแย้ง แต่อาการปวดท้อ
หลังจากที่ทุกคนจากไป ในเรือนมีเพียงแม่นมกู้ที่กำลังสวดมนต์ภาวนาอยู่ที่เรือน นางค้ำกำแพงพลางเดินเข้ามาในห้องอย่างช้า ๆ นางเช็ดน้ำตาขณะเดินเข้ามา มันช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนักเมื่อได้ยินลั่วชิงยวนจับมือของจือเฉา นางพยายามเปิดปาก แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก "กล้วย… กล้วยไม้มังกรขนด..."“กล้วยไม้มังกรขนด? พระชายา ท่านพูดว่า กล้วยไม้มังกรขนดใช่หรือไม่? คืออะไรหรือเจ้าคะ?” จือเฉาได้ยินเสียงพระชายาอย่างชัดเจน นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีลั่วชิงยวนพยายามอ้าปาก "ลาน… สัตว์ในตำนาน… หลังตะเกียงหิน..."จือเฉาเป็นคนฉลาด นางสงบลงทันที "หลังตะเกียงหินสัตว์ในตำนานในลานใช่ไหมเจ้าคะ?""ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้!"จือเฉาไม่รู้ว่าพระชายากำลังพูดถึงอะไร แต่นางจำตะเกียงหินรูปร่างประหลาดได้ นางวิ่งไปที่ลานด้านหลังตะเกียงหินทันที และดึงดอกไม้รวมถึงพืชหลากสีออกมาทีละกำ ก่อนจะหอบพืชกองใหญ่วิ่งกลับไปที่เรือนสายธารนางถือมันไว้ข้างหน้าลั่วชิงยวน "พระชายา ในนี้มีกล้วยไม้มังกรขนดที่ท่านต้องการหรือไม่เจ้าคะ ถ้าไม่มี ข้าจะไปหามันอีกครั้ง!"นางรู้ว่านี่จะต้องเป็นสิ่งที่สามารถช่วย
ยามนี้ ใบหน้าของลั่วเยวี่ยอิงก็ซีดลงด้วยความตกใจ นางซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวน"ท่าน... ท่านเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่?""แล้วเจ้าคิดว่าข้าเหมือนคนหรือผีกันเล่า?" ลั่วชิงยวนยิ้มอย่างเย็นชาลั่วไห่ผิงรู้สึกตกใจ ลั่วชิงยวนนั้นมิเป็นไรจริง ๆ อย่านั้นหรือ? ท่านหมอบอกว่าสิ้นหวังไปแล้วมิใช่หรือ? เห็นนางอาเจียนเป็นเลือดเยี่ยงนั้น คิดว่าอย่างไรนางก็คงมิรอดแน่! แต่ตอนนี้กลับวิ่งมาอยู่ตรงหน้าของเขาเสียได้"ท่านพี่ ท่านพี่อย่าได้ทำให้คนอื่นตกใจกลัวเยี่ยงนี้เลยเจ้าค่ะ" ลั่วเยวี่ยอิงแสร้งทำเป็นกลัว และซ่อนตัวในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวนฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวนด้วยสายตาที่ซับซ้อน ท่านหมอกู้ถึงกับบอกว่าสิ้นหวัง แล้วเหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่ได้?เมื่อเห็นว่าลั่วเยวี่ยอิงตกใจกลัว ลั่วไห่ผิงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ และมองไปที่ลั่วชิงยวนด้วยสายตาที่เฉียบคม "เจ้ายังอยู่รอดได้ก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้า เหตุใดถึงไม่พักผ่อน แต่กลับวิ่งมาที่นี่เพื่อทำให้น้องสาวเจ้าตกใจกลัว! เจ้าเป็นพี่ประสาอะไรกัน!"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนที่ถูกต่อว่าก็คือลั่วชิงยวนเสมอนางยิ้มอย่างเย็นชา "พวกเจ้าอยากให้ข้าตายไม่ใช่รึ? ข้าม
ลั่วชิงยวนโกรธมาก นางเตะประตูอย่างแรง ลั่วไห่ผิงหลีกเลี่ยงเรื่องของแม่นางอย่างเห็นได้ชัด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ลั่วไห่ผิงมีความลับอะไรกัน? "พระชายา เหตุใดพวกเขาถึงขังท่านไว้เช่นนี้เล่าเจ้าคะ?" จือเฉาไปหาอาหารและนำกลับมา แต่ประตูกลับถูกล็อกไว้"ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล" ลั่วชิงยวนนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง คิดหาวิธีการตรวจสอบต่อไปในความเงียบ ท้องก็ร้องโครกครากด้วยความหิว แต่ประตูและหน้าต่างต่างก็ถูกล็อก จือเฉามิสามารถนำอาหารเข้ามาได้ ลั่วชิงยวนทำได้เพียงอดทนกับความหิว และนอนลงบนเตียงเพื่อหลับหนีความหิว……รุ่งสางของวันถัดมา ก่อนที่ลั่วชิงยวนจะตื่นขึ้นมา นางได้ยินเสียงปลดล็อกกุญแจ นางลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ และเห็นนักพรตเต๋าในชุดสีเหลือง ถือดาบไม้ท้อ สั่นกระดิ่ง และเดินเข้ามาพลางพึมพำอะไรอยู่ในปากลั่วชิงยวนพยุงร่างกายของตัวเองขึ้นมา พลางขมวดคิ้ว นักพรตเต๋า?“มีวิญญาณชั่วร้ายล้อมรอบสถานที่แห่งนี้” นักพรตเต๋าสังเกตห้องอย่างเคร่งขรึม จากนั้นดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่ร่างของลั่วชิงยวน "วิญญาณชั่วร้ายรวมตัวกันอยู่ที่นางผู้นี้นี่เอง"จากนั้นลั่วไห่ผิงก็เดินเข้ามาในห้อง พร
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ลั่วชิงยวนที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้ในห้อง อาบแดดที่ส่องเข้ามาจากประตู และผล็อยหลับไปหลายครั้งจนกระทั่งนักพรตเต๋าเดินมาถึงด้านหน้า และบังแสงแดดตรงหน้านางลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมา นางเงยหน้าขึ้นและมองดูนักพรตเต๋าที่เทโอสถเม็ดออกมาจากขวด“แม่นางกินโอสถนี้ซะ วิญญาณร้ายจะไม่สามารถเข้าใกล้ท่านได้อีก” นักพรตเต๋ากล่าวอย่างเคร่งขรึม และกรอกโอสถไปที่ปากของนางลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางเย็นยะเยือก "ท่านแน่ใจหรือว่าโอสถนี้สามารถขับไล่วิญญาณชั่วร้ายได้"“แม่นาง อาตมาพบเจอมามากมาย โอสถนี้สามารถรักษาท่านจากสิ่งชั่วร้ายได่เป็นแน่! มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากจวนอัครเสนาบดีได้อย่างสมบูรณ์! อาตมาหวังว่าแม่นางจะให้ความร่วมมือ!” นักพรตเต๋าอธิบายเกลี้ยกล่อมให้นางกินโอสถแต่ในระยะอันใกล้เช่นนี้ ลั่วชิงยวนได้กลิ่นของเม็ดโอสถอย่างชัดเจนนางมองไปที่นักพรตเต๋าด้วยรอยยิ้มเย็น ๆ บนริมฝีปาก "ขับไล่สิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นรึ? เมื่อกินโอสถนี้เข้าไปจะทำให้ข้าสับสนเป็นบ้า และถึงขั้นสูญเสียความทรงจำต่างหาก!"ขณะนั้นเอง นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า นักพรตเต๋าตัวแ
ลั่วชิงยวนขยับแขนและมองเขานักพรตเต๋าจอมหลอกลวงรีบแก้เชือกที่รัดตัวนางออกทันที "แม่นาง? โอ้ไม่สิ ปรมาจารย์! ช่วงนี้ข้าโชคร้ายยิ่งนัก ท่านช่วยข้าแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?"เมื่อเห็นใบหน้าที่ตื่นตระหนกและเหงื่อออกมา ลั่วชิงยวนก็รู้ว่าเขานั้นกลัวมากจริง ๆนางขยับแขนยืนขึ้นและยืดกล้ามเนื้อ ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ ว่า "มันแก้ไขมิได้"เมื่อได้ยินเช่นนั้น หน้าของเขาก็เปลี่ยนสี เขารีบพุ่งเข้าไปหาลั่วชิงยวนและคุกเข่าลง พลางพูดอย่างลนลาน "ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว ข้ามิกล้าโกหกท่านแล้ว หากท่านมีความสามารถจริง ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด"ขณะที่เขาพูด เขาควักเงินออกมาจากกระเป๋าทีละใบ "นี่คือเงินที่ข้าหลอกมาได้ ข้าไม่เอาแล้ว ปรมาจารย์ได้โปรดช่วยข้าด้วย!"เมื่อเห็นธนบัตรเหล่านั้น ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วนางเคยมองเงินเหมือนมูล แต่ตอนนี้นางมีแผนที่จะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลลั่ว และเงินจากตำหนักอ๋องก็ไม่ตกเข้ามาในกระเป๋าของนางแน่ ดังนั้นนางจึงต้องประหยัดเงินไว้บ้าง มิเช่นนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้นจะลำบากนางหยิบธนบัตรนั้น คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า "หายนะบนร่างกายของเจ้านั้นยากจะแก้ไข ในเมื่อได้ทำสิ่งเลวร้ายเอาไว้มา
นางมิอาจปล่อยให้คนใบ้ตายได้!คนใบ้กอดนางไว้แน่น ลั่วชิงยวนขยับเขยื้อนมิได้แม้แต่น้อย นางรีบตะโกน “ปล่อยข้า! ปล่อย!”“ข้าจะหยิบของ มิเช่นนั้นพวกเราจะต้องตายที่นี่”คนใบ้จึงคลายอ้อมกอดลั่วชิงยวนรีบหยิบเข็มทิศออกมา จากนั้นกัดนิ้ววาดอักขระบนกระบี่ห้วงสวรรค์ในเมื่อกินโอสถศพเข้าไป ในยามนี้ฝูเหมิ่งจึงเป็นเพียงซากศพ! มีพลังอื่นควบคุมเขาอยู่ภายในคนใบ้พยุงร่างมาได้นานเต็มทีจึงทนมิไหวอีกต่อไปแล้ว แผ่นหลังแทบทั้งหมดของเขาฉีกขาดจนเลือดโชกไปหมดลั่วชิงยวนมองเขาอย่างแน่วแน่ “ข้าจะนับหนึ่งสองสาม เจ้าจงหลีกไป!”คนใบ้ลังเลเล็กน้อย“เชื่อมั่นในตัวข้า!” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นคนใบ้พยักหน้าแขนของเขาอ่อนแรง เป็นสัญญาณว่ามิอาจต้านทานได้อีกต่อไปลั่วชิงยวนนับ “หนึ่ง! สอง! สาม!”ทันใดนั้นคนใบ้ก็กลิ้งหลบไปด้านข้างฝูเหมิ่งพุ่งกระแทกลั่วชิงยวนพอดีดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา กระบี่ห้วงสวรรค์ในมือที่วาดอักขระไว้แทงทะลุร่างของฝูเหมิ่งอย่างแรงฝูเหมิ่งร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาบาดแผลส่งเสียงซู่ซ่าเหมือนถูกเผาไหม้ขณะเดียวกัน ลั่วชิงยวนก็ยกเข็มทิศในมือขึ้นส่อง แสงสีทองเปล่งปร
เสียงนั้นดังชัดเจนในยามราตรีที่เงียบสงัดลั่วชิงยวนก็มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องใช้กลอุบายเช่นนั้นเพื่อพึ่งพาชายเหล่านั้นด้วยไม่มีผู้ใดชื่นชอบนางอย่างแท้จริง คนเหล่านั้นมองนางเป็นเพียงของเล่นบนเขาลูกนี้มีอันตรายมากมาย หากถึงยามคับขันจะมีผู้ใดเต็มใจช่วยชีวิตนางบ้างกันนางยังคงหลับตาพักผ่อนต่อไปแต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกคราวนี้คนที่เข้าไปเป็นถูหมิงลั่วชิงยวนปิดหูด้วยความรำคาญรอจนอาภรณ์ชั้นในแห้งนางก็รีบสวมใส่ทันทีแต่ในขณะนั้นเอง ลมยามค่ำคืนก็พัดแรงขึ้นดูเหมือนจะมีสิ่งใดเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วในความมืดมิด คนใบ้กำกระบี่แน่นด้วยความตึงเครียดลั่วชิงยวนก็ระแวดระวังรอบข้างอย่างกังวลทันใดนั้นเงาดำก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า พุ่งเข้ากระแทกลั่วชิงยวนกลิ่นคาวเลือดโชยมาในทันทีลั่วชิงยวนดิ้นรนอย่างสุดกำลัง แต่มิอาจสลัดหลุด อีกฝ่ายมีพละกำลังมหาศาลเพียงแค่อ้อมแขนที่โอบกอดนางไว้ นางก็จำได้แล้วฝูเหมิ่ง!เป็นฝูเหมิ่งจริง ๆ!ทันใดนั้นเอง คนใบ้ก็พุ่งเข้าไปเตะเขาอย่างแรง และช่วยลั่วชิงยวนออกมาเขาฉีกเสื้อคลุมมาห่มร่างนางในความมืดมิด ฝูเหมิ่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าท
เมื่อจัดวางทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับมายังลานโล่งมองหาบริเวณที่มีหินใหญ่สองสามก้อน ซึ่งพอดีกับที่ใช้แบ่งชายหญิงให้แยกกันได้จากนั้นสร้างโครงจากท่อนไม้ แล้วถอดเสื้อคลุมนอกออกมาคลุมเพื่อบังสายตาจากนั้นก็ก่อไฟผึ่งอาภรณ์ให้แห้งลั่วชิงยวนช่วยประคองซูเซียงให้นอนลง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าถอดอาภรณ์ออกก่อน ผึ่งให้แห้งแล้วค่อยใส่เถิด”ซูเซียงถอดอาภรณ์ออกอย่างยากลำบาก ลั่วชิงยวนส่งยาให้นางพลางกล่าวว่า “โอสถนี้ช่วยขับไล่ความหนาวเย็นได้”“ที่นี่ไม่มีสมุนไพรอื่น เจ้าจะทนได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนมองซูเซียงด้วยความเป็นห่วงซูเซียงพยักหน้า“ข้าทนได้”ใบหน้าของซูเซียงซีดเผือด เห็นได้ชัดว่านางใกล้จะหมดแรงแล้ว ความอดทนของนางช่างน่าชื่นชม“สภาพแวดล้อมบนเขาลูกนี้ยากลำบาก มีอันตรายมากเกินไป ลูกในครรภ์ของเจ้าอาจมิรอด” ลั่วชิงยวนจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้รู้ล่วงหน้าเนื่องจากเมื่อครู่ต้องหลบหนีอยู่นาน ทั้งยังลงไปในแม่น้ำ เป็นการใช้กำลังมาก แม้แต่คนทั่วไปก็ยังเหนื่อยล้า นับประสาอะไรกับซูเซียงแต่ซูเซียงกลับหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา “ข้ารู้”“แต่ว่า… หากลูกคนนี้มิอยู่แล้วก็มิเป็นอะไรหรอก”ลั่วช
เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่ทางเข้าบ่อน้ำพุร้อนแล้วในยามนี้ถูหมิงกลับเกรงว่าพวกเขาจะหนีไป“แล้วจะมัวพูดอะไรกันอีก ข้ามแม่น้ำเสียสิ”ลั่วชิงยวนหันไปสบตากับคนใบ้ “ข้าจะไปทดสอบความลึกของน้ำก่อน”แต่คนใบ้กลับดึงนางไว้จากนั้นก็หยิบโซ่เหล็กยาวออกมาจากกระเป๋าด้านหลังลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยนี่คือโซ่เหล็กที่ใช้สังหารฝูเหมิ่งในคราวนั้น มิคาดคิดว่าเขาจะพกติดตัวมาด้วยคนใบ้ขว้างโซ่เหล็กไปที่ฝั่งตรงข้าม โซ่เหล็กพันเข้ากับต้นไม้ เขาออกแรงดึงเพื่อตรวจสอบความแข็งแรงเขาผูกปลายอีกด้านหนึ่งไว้กับลำต้นไม้แล้วส่งให้ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนลงน้ำคนแรก ขณะดึงโซ่เหล็กว่ายไปยังฝั่งตรงข้ามลั่วชิงยวนดำลงไปดู พบว่าน้ำลึกมาก ต้องว่ายน้ำข้ามไปเท่านั้นนางขึ้นฝั่งได้อย่างราบรื่นจากนั้นคนใบ้ก็ข้ามตามไปถัดมาคือถูหมิงและคนอื่น ๆแต่เมื่อถึงคราวฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงก็มีงูฝูงใหญ่ปรากฏตัวบนกองหญ้าด้านหลังพวกนางแล้วพวกมันกำลังไล่ตามมา“งูมาแล้ว! รีบข้ามแม่น้ำเร็วเข้า พวกเจ้าสองคนข้ามไปด้วยกัน!” ถูหมิงร้องฉีเสวี่ยเวยและซูเซียงลงน้ำอย่างกระวนกระวายแต่ฉี
ลั่วชิงยวนหยิบผงไล่งูขวดหนึ่งออกมาทาตัวนางและคนใบ้จากนั้นก็ออกเดินทางต่อเส้นทางขึ้นเขาลำบากมาก พวกเขาจึงมิได้รีบร้อนขึ้นไป หากมีอันตรายใดก็ให้คนของถูหมิงไปสำรวจเสียก่อนหลังจากเดินมาไกลพอสมควร เมื่อเดินผ่านดงหญ้าหนาทึบในป่า ทันใดนั้นก็มีมือซีดขาวยื่นออกมาจากดงหญ้าลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย แต่ก็เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบในดงหญ้ามีชายผู้หนึ่งที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด บาดแผลทั้งหมดเกิดจากการถูกงูกัด แทบไม่มีส่วนใดดีเหลืออยู่เลยเมื่อเห็นว่ายังมีลมหายใจแผ่วเบา ทั้งสองก็ช่วยกันลากชายคนนั้นออกมาจากดงหญ้าแต่เมื่อพลิกร่างมาด้านหน้าเมื่อเห็นใบหน้าของชายคนนั้น ลั่วชิงยวนก็ใจหายวาบ“จวี้ซาน!”แต่ชายคนนั้นหมดสติไปแล้ว ลมหายใจรวยรินเต็มที ริมฝีปากดำคล้ำ มีเลือดไหลซึมออกมาจากปากจมูกและหูประสาทสัมผัสทั้งห้าแตกดับหมดแล้วลั่วชิงยวนร้อนใจ รีบหยิบขวดยาออกมา “เจ้าอดทนไว้ก่อน!”ในขณะที่นางยัดยาถอนพิษเข้าไปในปากของจวี้ซานในชั่วขณะนั้น จวี้ซานก็หยุดหายใจลั่วชิงยวนชะงักนี่คือหนึ่งในสิบวายร้าย จวี้ซานเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ดูเหมือนว่าจะมาถึงสถานที่ที่มีแต่งูเร็วกว่าพวกนางนั่
ฉีเสวี่ยเวยกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าเองก็มิรู้ว่านางกล่าวเช่นนั้นหมายถึงอะไรกันแน่”ถูหมิงขมวดคิ้ว คิดว่าคนที่เข้าไปข้างในต้องตายเป็นแน่จากนั้นก็มองไปยังฉีเสวี่ยเวยด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อถึงยามโพล้เพล้ เจ้าต้องเข้าไปเป็นคนแรก!”ฉีเสวี่ยเวยตกใจจนเบิกตากว้างในป่าที่อยู่มิไกล ลั่วชิงยวนมองดูอย่างเงียบเชียบ ฉีเสวี่ยเวยคงมิคาดคิดว่าตนจะกลายเป็นผู้ที่ต้องเข้าไปสำรวจเส้นทางเป็นรายต่อไปเหตุผลที่นางปล่อยให้ฉีเสวี่ยเวยบอกเรื่องนี้แก่ถูหมิง เพราะเมื่อถึงยามโพล้เพล้ เส้นทางนี้ก็มิใช่ว่าจะเดินได้ง่ายด้านหลังดงหนามอาจยังมีอันตรายรออยู่อีกก็เป็นได้ให้ฉีเสวี่ยเวยและคนอื่น ๆ ไปสำรวจเส้นทางเสียก็ดีกลุ่มคนเฝ้ารออยู่ที่เดิม รอคอยให้ยามโพล้เพล้มาเยือนส่วนลั่วชิงยวนและคนใบ้ที่อยู่ในดงหนามก็ค่อนข้างลำบาก พวกเขาเองก็มิสามารถเคลื่อนไหวได้และรู้สึกมิสบายตัวมากในที่สุด ตะวันก็ตกดินริ้วแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้วาดเป็นเส้นโค้งอีกครั้งดังที่คาดไว้“บัดนี้ถึงเวลาหรือยัง?” ถูหมิงถามฉีเสวี่ยเวยพยักหน้า “น่าจะถึงแล้ว”“เช่นนั้นเจ้าเดินไปข้างหน้า หากปลอดภัยก็ส่งเสียงออกมา!” ถูหมิงคว้าตัวฉีเสวี่ยเวย แล้วผล
เมื่อฟังจากเสียงฝีเท้าแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสตรีแต่ก็มิใช่ซูเซียงซูเซียงกำลังตั้งครรภ์ ส่วนคนผู้นี้มีฝีเท้าเบากว่าลั่วชิงยวนใจเต้นระรัวฉีเสวี่ยเวย!ในขณะที่คิดอยู่นั้น กลิ่นอายสังหารพลันแผ่ซ่านเข้ามาลั่วชิงยวนลืมตาโพลงก็เห็นกริชพุ่งตรงมาที่คอนางแต่ในขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะลงมือ กลับมีมือหนึ่งจับมือนางไว้เสียก่อนฉีเสวี่ยเวยตกตะลึงเพราะพวกเขาอีกครั้ง“พวกเจ้าเสแสร้งอีกแล้ว!”มิได้สลบ!ทั้งยังมิได้ถูกมัดด้วยฉีเสวี่ยเวยตระหนักได้ว่าต้องเป็นฝีมือของซูเซียง ในใจนางแอบด่าซูเซียงว่าเป็นคนสารเลวที่ทำลายแผนการของนางฉีเสวี่ยเวยมิกล้าลงมือต่อ รีบทิ้งกริชแล้ววิ่งตรงไปยังนอกห้องคนใบ้พลิกตัวลุกขึ้น รีบไล่ตามไปลั่วชิงยวนก็รีบตามไปเช่นกันแต่คาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะมีวรยุทธ์มิเลว นางหลบหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอยทันทีเมื่อลั่วชิงยวนตามไปก็มิเห็นแม้แต่เงาของฉีเสวี่ยเวยแล้วแม้แต่คนใบ้ก็หยุดฝีเท้าลงลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากนางไปฟ้องถูหมิง ซูเซียงอาจเป็นอันตราย”“ไปเถิด พวกเราก็ไปที่นั่นด้วย”จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำพุร้อนเมื่อไปถึง ฉีเสวี่ยเวย
ด้วยเชื่อมั่นในการตัดสินใจของนาง คนใบ้จึงมิได้ถามอะไรอีกเมื่อพักผ่อนเพียงพอแล้วทั้งสองก็ออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านจนยามดึกสงัดจึงได้กลับมาถึงหมู่บ้านชาวบ้านยังคงระแวดระวังเช่นเดียวกับเมื่อวาน เมื่อรู้ว่าเป็นพวกนางจึงคลายความระมัดระวังลงถูหมิงมองทั้งสองด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนหันหลังเดินกลับห้องไปสายตาของทุกคนที่มองพวกเขาเริ่มแปลกประหลาดในคืนนี้ลั่วชิงยวนยังคงให้คนใบ้นอนพักที่ห้องของนางยามดึกสงัด ซูเซียงนำอาหารมาให้“วันนี้พวกเจ้ากลับมาช้า คงจะหิวแล้วกระมัง”“ข้าอุ่นอาหารให้แล้ว พวกเจ้ารีบกินเถิด”กล่าวจบ ซูเซียงก็นำอาหารวางบนโต๊ะทีละจานแต่เมื่อลั่วชิงยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร ซูเซียงกลับห้ามไว้มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “กินอาหารเสร็จแล้ว พวกเจ้าต้องช่วยข้าสักเรื่อง”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้สิ”นางตอบรับโดยมิได้ถามว่าเป็นเรื่องอะไรซูเซียงลังเลแต่ตัดสินใจรอให้พวกเขากินอาหารให้อิ่มเสียก่อนเมื่อกินอาหารเสร็จ ลั่วชิงยวนก็เช็ดปาก แล้วถามว่า “เรื่องอะไร กล่าวมาเถิด”ซูเซียงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าใส่ยาลงในอาหาร”เมื่อนางกล่าวจบ คนใบ้ก็ชะงักทั้งสองนิ่งค้างไป
“มิใช่ว่าข้าจงใจดับฝันเจ้า แต่เพราะบนเขาลูกนี้ นอกเหนือจากหมู่บ้านนี้แล้วล้วนอันตรายทั้งสิ้น”“เจ้าคงนึกมิถึงว่า เมื่อคนกลุ่มนี้ขึ้นภูเขาครั้งแรกรวมกันแล้วมีถึงร้อยกว่าคน”“แต่ในยามนี้เหลือรอดเพียงสิบกว่าคน”“บางทีบนภูเขาอาจยังมีผู้คนรอดชีวิตอยู่บ้าง แต่ก็คงมีน้อยนิด”“แทนที่เจ้าจะไปเสี่ยงภัย อยู่ที่หมู่บ้านนี้จะดีเสียกว่า”เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจได้แต่หวังว่าโฉวสือชีและคนอื่น ๆ จะยังมีชีวิตอยู่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งต้องออกตามหาพวกเขา“ข้าตัดสินใจแล้ว คนใบ้จะไปกับข้า จะต้องไม่มีกระไรเกิดขึ้น”ซูเซียงตกใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็มิอาจขวางได้ พวกเจ้าต้องระวังตัวด้วย”เมื่อกินอาหารเสร็จ ลั่วชิงยวนและคนใบ้ก็ออกเดินทางเนื่องจากมิรู้ว่าถูหมิงและคนอื่น ๆ ไปที่ใด ลั่วชิงยวนจึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ยังมิเคยไปเมื่อวานบนเขาลูกนี้มีอันตรายมากมาย มีกลลวงมากหลาย หากประมาทอาจติดกับดักและออกไปมิได้ตลอดทาง ลั่วชิงยวนพบเห็นศพมากมายมีทั้งศพที่ตายมาได้มิกี่วันและศพที่เหลือเพียงกระดูกยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งพบศพมากขึ้นส่วนใหญ่ถูกสั