ขณะที่รับประทานอาหาร ลั่วชิงยวนก็ใช้ความคิดไปด้วย ลั่วไห่ผิงเชิญนักพรตเต๋ามาเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ด้วยท่าทางที่จริงจัง ราวกับว่าเขาคิดว่านางมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่จริง ๆหากเขามิได้มีความลับอะไร ทำไมเขาถึงคิดว่านางถูกวิญญาณร้ายสิงกัน? วิญญาณร้ายในจวนนี้มาจากที่ใด?“จือเฉา ท่านอ๋องเสด็จกลับไปแล้วหรือยัง?”จือเฉาพยักหน้า "ท่านอ๋องเสด็จกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเจ้าค่ะ ท่านอัครเสนาบดีบอกท่านอ๋องเกี่ยวกับให้นักพรตเต๋ามาทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่เกาะพระชายาอยู่ แล้วจึงจะมอบพระชายาที่เป็นปกติกลับคืนให้แก่ท่านอ๋องเจ้าค่ะ"ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ "เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าไม่ปกติอย่างนั้นรึ?"ผิดปกติตรงไหนกัน เพียงเพราะนางทวงถามสมบัติของแม่อย่างนั้นหรือ?สิ่งนี้ทำให้นางแน่ใจมากยิ่งขึ้น ลั่วไห่ผิงทำอะไรผิดไว้เป็นแน่! เขาถึงได้กลัวเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่ของนาง“บางทีอาจเป็นเพราะพระชายาบอกว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กระมังเจ้าคะ ห้ามพูดคำนี้ออกมาอีกเด็ดขาดนะเจ้าคะ หากท่านไม่มีบ้าน อีกทั้งตำหนักอ๋องก็...” เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะต้องใช้ชีวิตข้างถนนจริง ๆ ก็ได้ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆ "
“พระชายาเจ้าคะ เหตุใดนักพรตเต๋าคนนั้นถึงใจจดใจจ่อกับท่านขนาดนี้ พระชายาจะช่วยเขาแก้ไสยศาสตร์จริง ๆ หรือเจ้าคะ? แต่บ่าวคิดว่าเขาไม่ใช่คนดี” จือเฉาถามอย่างสงสัยลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “สายตาเจ้าช่างเฉียบแหลมนัก ดีกว่าพ่อข้ามาก” “ไสยศาสตร์ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน แม้ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายมาก จะไม่มีผลกรรมที่น่าสลดใจอะไร” “เขาจะโชคร้ายมากยิ่งขึ้น หากเขายังหลอกลวงต่อไป ทุกเรื่องจะไม่ราบรื่น ข้าจะหลอกเขาหน่อย จะทำให้เขากลับไปสู่ทางที่ถูกต้องได้ ถือว่าทำบุญ” “มหาเสนาบดีจะตอบรับคำร้องขอของนักต้มตุ๋นนี้เสมอ เขาคงคิดไม่ถึงแน่ คนโกหกผู้นั้นถูกพระชายาของเราปราบแล้ว" ลั่วชิงยวนได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ตอนกลางคืน รถม้าค่อย ๆ ออกห่างจากเมืองหลวง รอบข้างดูมืดมิดไปหมด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างทางข้างหน้า เดิมทีจือเฉายังไม่รู้สึกกลัว แต่ค่อย ๆ รู้สึก สถานที่ที่รถม้าไปยิ่งเปลี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองด้านล้วนเป็นป่าทึบ บางครั้งก็มีเสียงนกร้อง ช่างน่ากลัวนัก “พระชายา เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?” จือเฉาดึงแขนเสื้อของลั่วชิงยวนด้วยความกลัว “ถึงแล้วเจ้
ว่างเปล่า! จือเฉาแอบมองผ่านระหว่างนิ้ว แล้วก็ตกใจทันที “หือ? ว่างเปล่า? ” ลั่วชิงยวนไม่อยากจะเชื่อ ก็กระโดดเข้าไปในโลงศพพร้อมคบเพลิง ก้มลงตรวจดูอย่างละเอียด ลูบภายในโลงศพ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีกับดัก หรือช่องลับอะไรซ่อนอยู่ ค้นหาอย่างละเอียด แท้จริงแล้วเป็นโลงศพที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย “หรือว่ามีคนเปิดโลงศพก่อนพวกเราเจ้าคะ?” จือเฉาถามอย่างสงสัย ลั่วชิงยวนส่ายหัว “ฝาโลงปิดสนิทมาก ถ้ามีคนเคยเปิดมาก่อน จะต้องมีร่องรอย” “อย่างนั้นก็หมายความว่า... ” จือเฉาขมวดคิ้วและคิด ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว แววตาเย็นชาเล็กน้อย “ตั้งแต่การฝังศพ นี่ก็เป็นโลงศพที่ว่างเปล่า” สมบัติอะไรกันล่ะ? แม้แต่ศพของแม่นางก็ไม่มี จือเฉาตกใจมาก “พระชายา ท่านแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่!” ลั่วชิงยวนก็คิดอย่างนี้เช่นกัน แอบกำหมัดแน่น และพูดว่า “ข้าไม่รู้” ถ้าแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมต้องแกล้งตาย? หากเป็นเพราะต้องแกล้งตายด้วยเหตุผลบางอย่าง งั้นลั่วไห่ผิงต้องห้ามนางไม่ให้ไปค้นหาสมบัติของแม่นางขนาดนั้น ตามเหตุผลแล้วน่าจะช่วยแม่ของนางปิดบังความจริงว่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ลั่วไห่ผิงน่าจะปกป
“อะไรนะ นางขุดหลุมศพแม่ของนางรึ?!” ในห้องหนังสือ มีเสียงตกใจออกมา ชายผู้หนึ่งลุกขึ้นทุบโต๊ะ เซียวชูพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นกับตา แต่ในโลงศพแม่ของนาง ว่างเปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยิน ฟู่เฉินหวนก็ตกใจมากยิ่งขึ้น “ว่างเปล่า?” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีแสงลึกล้ำในดวงตา “ไม่น่าแปลกใจ ที่ลั่วไห่ผิงหลีกเลี่ยงเรื่องเถ้ากระดูกของแม่นาง แล้วยังต้องเชิญนักพรตเต๋ามาขับไล่ผีให้ลั่วชิงยวน นี่ลั่วไห่ผิงซ่อนความลับลับลมคมในอะไรไว้กันแน่? ” เป็นเพราะจู่ ๆ ลั่วไห่ผิงพูดออกมาว่า ต้องการเชิญคนมาขับไล่วิญญาณร้าย เขาจึงเกิดความสงสัย จึงเซียวชูไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนอัครอัครเสนาบดีตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่าจะพบความลับจริง ๆ ซูโหยวที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึก “คุณหนูลั่วกล้าหาญมากจริง ๆ ยังขุดหลุมศพแม่ของตน หากพ่อของนางรู้ เกรงว่าจะเฆี่ยนนางจนตาย” “ใช่ หากไม่ได้เห็นด้วยตาข้าเอง ข้าคงไม่เชื่อ มันคงนอกรีตเกินไป” เซียวชูก็ถอนหายใจ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว มีความคิดซับซ้อนซูโหยวอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านอ๋องทรงคิดว่า สิ่งที่เขากำลังหานั้นเกี่ยวข้องกับแม่ของลั่วชิงยวนด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฟู
“อ๊า…” ยามดึกก็มีเสียงกรีดร้องมาจากจวนมหาเสนาบดีอันเงียบสงัด ปลุกคนที่หลับหลายคนให้ตื่นทันที ลั่วเยวี่ยอิงลืมตาขึ้นทันที เสียงอะไร?! นางตะโกนเรียกทาสใบ้โดยไม่รู้ตัว แต่คืนนี้ทุกคนถูกขอให้อยู่ในห้องของตนและไม่อนุญาตให้ออกมา ทาสใบ้ไม่ได้อยู่ในลานจวน เรียกนางนางก็ไม่ได้ยิน รอบ ๆ มืดมิดสนิทไปหมด นางยืนขึ้นจุดตะเกียงอย่างตกใจหวาดผวา หากไม่มืดบางทีก็อาจจะไม่กลัว แต่ขณะที่นางเดินไปที่แสงเทียน จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่ประตู ทุบอย่างบ้าคลั่ง ปัง ปัง ปัง… พร้อมกับเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องที่เลือนราง ลั่วเยวี่ยอิงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว กรีดร้องและหมอบลงกับพื้นทันที ขดตัวอยู่ในมุม มองดูร่างที่ชัดเจนตรงประตู เสียงเคาะประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง นางขนพองสยองเกล้าทั้งตัว หวาดกลัวมาก"พ่อ..."“โฮก… คืนชีวิตข้ามา คืนชีวิตข้ามา!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามดังกึกก้อง ลั่วเยวี่ยอิงหวาดกลัวมากจนตัวสั่น หลับตาและไม่กล้ามองเลย ลั่วชิงยวนรู้ว่า เวลานี้ลั่วเยวี่ยอิงต้องตกใจตายแน่นอน ก็ไถลลงสู่พื้นทีละนิด ค่อย ๆ หลบหนีไป ไม่มีเสียงแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงรวบรวมความ
“นักพรตเต๋า สถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง? ปราบวิญญาณร้ายได้หรือไม่? ” ลั่วไห่ผิงถามอย่างเคร่งขรึม นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงปาดเหงื่อแล้วพูดว่า “วิญญาณร้ายนี้ร้ายกาจนัก ข้าไล่นางออกจากจวนอัครเสนาบดีชั่วคราว ไม่มีอะไรแล้ว” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจหน่อย มองไปทางห้องทันที แล้วพูดว่า “ลูกสาวของข้าล่ะ” “เมื่อคืนนี้ลูกสาวของท่านก็ถูกวิญญาณร้ายทรมานอย่างหนัก ตอนนี้หลับไปแล้ว หลังตื่นน่าจะกลับมาเป็นปกติ” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจมากขึ้น “งั้นก็ดี ข้าหวังว่า นักพรตเต๋าจะอยู่ต่ออีกสักสองวัน ให้แน่ใจว่าวิญญาณร้ายนี้จะไม่กลับมา! ข้าจะตอบแทนรางวัลให้ท่านอย่างงามเป็นแน่!” “ขอรับ” นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงสีหน้านิ่งไม่ไหวติง ไม่มีการตอบสนองต่อเงินเลย ลั่วไห่ผิงยิ่งมั่นใจว่า ท่านอาจารย์ผู้นี้ช่างเก่งกาจที่จริงแล้วเป็นเพราะว่า เงินนี้ก็จะมอบให้กับลั่วชิงยวนด้วย ไม่อาจตกไปอยู่ในมือของเขาได้ นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงเพียงต้องการให้เรื่องนี้ยุติลง คุณหญิงท่านนั้นสามารถให้ของที่แก้ไสยศาสตร์แก่เขา เงินไม่สำคัญเท่ากับชีวิต …… ลั่วชิงยวนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งไปขุดโลงศพที่หลุมศพของบรรพบุรุษ ทั้
ลั่วเยวี่ยอิงตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นนาง มีสีหน้าระแวงและพูดว่า “เจ้า...” ลั่วชิงยวนรีบพูดขัดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ทำไมน้องถึงดูซีดเซียวได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ? ถึงทำให้น้องสาวตกใจเยี่ยงนี้ เป็นความผิดของพี่เอง” สายตาของลั่วเยวี่ยอิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทาสใบ้ที่ยืนอยู่ในลานได้ยินเช่นนี้ ก็โล่งใจมาก ดูท่าจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงมาก่อนจริงๆ ขับไล่วิญญาณร้ายไปแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ลั่วชิงยวนลูบชามยาที่ร้อน ๆ นางตักน้ำแกงยาหนึ่งช้อน ป้อนให้ลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาเถิด” ลั่วเยวี่ยอิงจ้องมองนางอย่างหน้าบูดบึ้ง เอ่ยปากเรียกทาสใบ้ แต่ลั่วชิงยวนยิ้ม และตักน้ำแกงยาร้อน ๆ หนึ่งช้อนยัดเข้าไปในปากของลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาอย่างเชื่อฟังสิ กินยาแล้วถึงจะดีขึ้นนะ” ในปากของลั่วเยวี่ยอิงพองขึ้นทันทีหลังจากกินยาสมุนไพรร้อน ๆ ไปหนึ่งช้อน นางยันร่างที่อ่อนแอให้ลุกขึ้น อยากจะเรียกทาสใบ้ แต่จู่ ๆ เสียงก็แหบแห้งเมื่อนางอ้าปาก จือเฉาตอบสนองอย่างเร็ว เดินเข้าไปจับลั่วเยวี่ยอิงทันที หญิงสาวผู้นี้เคยทำร้ายพระชายามาสามสี่ครั้งแล้ว คราวนี้ถึงทีแก้แค้น ลั่วชิง
จือเฉาหยิบโอสถทาแผลขึ้นมาทันที ใช้เข็มเจาะตุ่มอย่างระวัง แล้วจึงทาโอสถก่อนพันแผล …… หลังมื้อเย็น ลั่วไห่ผิงก็มาด้วยความโกรธจัด ลั่วชิงยวนลุกขึ้นเข้าไปทักทายว่า “ท่านพ่อ” ลั่วไห่ผิงเดินมาด้วยความโกรธ ยกฝ่ามือขึ้นตบอย่างแรง เพียะ… เสียงตบหน้าดังขึ้น ลั่วชิงยวนถูกตบจนเลือดออกที่มุมปาก ในขณะนั้น นางแผ่เจตนาฆ่าในสายตาที่เย็นชา พลางหลับตาระงับความโกรธไว้ เงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่ชัดเจน เต็มไปด้วยความสับสนและน้อยใจ “ท่านพ่อ…” ลั่วไห่ผิงเต็มไปด้วยความโกรธ “ยังจะเสแสร้ง ข้าถามเจ้าหน่อย แผลพองเต็มปากของน้องสาวเจ้า นางทำตัวเองหรืออย่างไร? รู้ไหมว่าเกือบจะทำลายลำคอของนางแล้ว ข้าคิดว่า ก่อนนี้เจ้าถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ไล่ผีวิญญาณร้ายให้เจ้าก็จะดีขึ้นแล้ว! ใครจะรู้ว่าเจ้ากำลังซ่อนจิตใจที่ชั่วร้าย และต้องการจะฆ่าน้องสาวของเจ้าเอง!” ลั่วไห่ผิงพลันน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมท่านไม่ฟังข้าอธิบายก่อนที่จะตีข้าล่ะ? ท่านพ่อเคยรักข้ามากที่สุดไม่ใช่หรือ?” ดูท่าทางน้อยใจของนางสิ ทำให้ลั่วไห่ผิงเบื่อหน่าย หัวบวมด้วยความโกรธอีกครั
เมื่อเดินเข้าไปในประตูหิน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือห้องโถงขนาดใหญ่ มิได้โอ่อ่าสง่างามดังท้องพระโรงก่อนหน้านี้เครื่องเรือนภายในที่แห่งนี้คล้ายกับห้องโถงสำหรับต้อนรับแขกของบ้านทั่วไป การตกแต่งจัดวางทุกอย่างล้วนแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นบนผนังมีภาพเขียนและตัวอักษะแขวนไว้ บนโต๊ะมีแจกันและกระถางต้นไม้หลังฉากกั้นลายดอกไม้และนกมีโต๊ะเตี้ยและกระถางธูปวางหันหน้าไปทางหน้าต่าง ด้านนอกเป็นทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้และพืชพรรณส่งกลิ่นหอมอยู่ภายนอกปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง จิบสุราอุ่นพลางชมหิมะความงดงามในใต้หล้ามนุษย์คงไม่มีสิ่งใดเกินกว่านี้แล้วอีกด้านหนึ่งยังมีพิณโบราณวางพิงกำแพงไว้ มีอาวุธตั้งเรียงรายทั้งดาบ หอก กระบี่ ง้าว สตรีบรรเลงพิณ บุรุษฝึกกระบี่ ซึ่งเป็นดั่งภาพเทพเซียนคู่หนึ่งน่าเสียดายที่สายพิณของพิณโบราณนั้นขาดสะบั้นลั่วชิงยวนค่อย ๆ ลูบพิณโบราณ ในใจกลับเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา“ด้านในนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตมาก ไปเดินหากันเถิดว่ามีอะไรให้กินหรือไม่”หงไห่กล่าวพลางเดินไปยังด้านหลังคนอื่นก็เดินตามเขาเข้าไปยังด้านหลังเมื่อออกไปแล้ว ทิวท
สะพานเหล็กหนักอึ้งร่วงลงหายลับไปจากสายตาลั่วชิงยวนท่ามกลางลมพายุ ร่างผอมบางนั้นก็หายวับไปจากสายตาเช่นกัน“คนใบ้!” ลั่วชิงยวนตกตะลึง หายใจมิออกรีบวิ่งไปที่ริมหน้าผาทันทีโฉวสือชีดึงนางไว้ได้ทันท่วงที “ระวัง!”สายลมยังคงหวีดหวิวอยู่ระหว่างหน้าผา วิญญาณอาฆาตนับมิถ้วนออกมารอบด้าน ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนแหลมสูงบาดแก้วหูลั่วชิงยวนมองไปยังหน้าผาที่ลึกสุดหยั่งถึง หัวใจของนางร่วงลงสู่ก้นเหวไปแล้วอีกนิดเดียว!อีกนิดเดียวเท่านั้น!ทั้งสามมีสีหน้าสิ้นหวังทันใดนั้นเอง หงไห่ก็ตะโกน “เชือกตึงแล้ว เขายังมิตาย!”เมื่อมองอย่างละเอียด ปรากฏว่าเชือกที่โยนออกไปเมื่อครู่นั้นกลับตึงขึ้นมาโฉวสือชีรีบช่วยดึงเชือกลั่วชิงยวนที่หมอบอยู่ริมหน้าผามองลงไป จึงเห็นร่างที่ส่ายไปมาอยู่ในหุบเหวเล็กจิ๋วราวกับผงธุลีเม็ดหนึ่งที่อาจถูกลมพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อลั่วชิงยวนกังวลใจอย่างยิ่ง รีบเข้าไปช่วยดึงเชือกในที่สุดมือข้างหนึ่งก็ปีนขึ้นมาถึงขอบหน้าผาทั้งสามออกแรงช่วยกันดึงคนใบ้ขึ้นมาได้เมื่อขึ้นมาถึง คนใบ้ก็ล้มลงหมดแรงอยู่บนพื้น หอบหายใจอย่างหนักหัวใจของลั่วชิงยวนจึงค่อยสงบลง แล้วนั่งลงพักผ่อนอยู่บ
“ไป!”ลั่วชิงยวนมิลืมที่จะปิดประตูบานนั้นก่อนออกไป แล้วรีบดึงร่างคนใบ้ข้ามสะพานไปอย่างรวดเร็ว“เร็วเข้า!”พวกนางรีบขึ้นไปบนสะพานเหล็ก เมื่อมองลงไปก็เห็นความมืดมิดและหุบเหวลึกไร้ที่สิ้นสุด ความรู้สึกโคลงเคลงนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนอาจจะพลัดตกลงไปได้ทุกเมื่อหัวใจทุกคนแทบจะกระโจนออกมาจากอกแต่ในเวลานี้พวกเขากลับมิได้มีเวลาสนใจสิ่งใดมากนัก จำต้องอดทนต่อความหวาดกลัวแล้ววิ่งข้ามไปยังอีกฝั่งของสะพานโดยที่มือกำโซ่เหล็กไว้แน่นเมื่อวิ่งไปได้ครึ่งทาง คนที่อยู่ด้านหลังก็...ไล่ตามมาแล้ว!ลั่วชิงยวนใจหายวูบ เผลอชะงักฝีเท้าแต่คนใบ้กลับคว้าแขนของนางไว้ มิอนุญาตให้นางหันหลังกลับไปลั่วชิงยวนมองเขา แล้วกล่าวว่า “หากพวกเขาฟันโซ่เหล็กขาด พวกเราทั้งหมดจะมิรอด”มิรู้ว่าสะพานเหล็กบนหน้าผาแห่งนี้มีมานานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีผู้ใดซ่อมแซมในเวลานี้เอง ร่างของเตี่ยฉุยก็พุ่งออกมา “ท่านแม่ ข้าจะไปขวางพวกเขาเอง!”ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมา แล้วมองไปยังคนใบ้ “เจ้าจับข้าไว้ให้แน่น!”คนใบ้พยักหน้าจากนั้นนางก็กรีดนิ้ววาดวงเวทอัญเชิญวิญญาณอีกครั้งระหว่างหน้าผาเกิดลมพายุโหมกระหน่ำ กระแสลมรา
หลังจากที่ลั่วชิงยวนเดินเข้าไปสำรวจก็รีบลงมือไขกลไกเสียงจากด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทำเอาโฉวสือชีและหงไห่ต่างหวาดหวั่น ทั้งสองกำอาวุธในมือแน่น เตรียมพร้อมต่อสู้ทุกเมื่อในขณะที่พวกโฉวสือชีเห็นเงาโผล่มาจากมุมหัวใจก็แทบหลุดออกจากอกมีเสียงดังแก๊ก!กลไกเปิดออกแล้ว!ลั่วชิงยวนรีบผลักประตูหิน “รีบเข้ามาเร็วเข้า!”ในเวลานั้นนางเห็นซูเซียงกระโจนเข้ามาด้วยจิตสังหารขณะพาชายชุดดำอีกหกคนวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วพวกนางรีบเข้าไปในประตูหิน แล้วช่วยกันปิดประตูหินลั่วชิงยวนเห็นกลไกอยู่ที่กำแพงจึงรีบกดกลไก ทำให้เกิดเสียงดังแก๊ก แล้วประตูหินก็ปิดลงอีกครั้งคนที่อยู่ด้านนอกทุบประตูหินอย่างแรง แต่ประตูมิขยับเขยื้อนทุกคนจึงค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ“ไปกันเถอะ”ลั่วชิงยวนหันหลังกลับไป ด้านหลังเป็นสถานที่คล้ายท้องพระโรงขนาดใหญ่ตำแหน่งที่พวกเขาอยู่นั้นอยู่บริเวณด้านข้างของท้องพระโรง มีบันไดหินสูงตระหง่าน“บนภูเขาลูกนี้มีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือนี่” หงไห่กล่าวด้วยความตกตะลึงลั่วชิงยวนมองไปยังธงด้านหลังตำแหน่งที่ประทับสูงส่งของท้องพระโรง และการจัดวางตกแต่งสถานที่แห่งนี้ ดูโอ่อ่าสง่างามยิ่
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น โฉวสือชีและหงไห่ต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง“ที่แท้ก็เป็นนางนั่นเอง”“แต่สตรีตั้งครรภ์คนหนึ่งจะสามารถจัดการเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”ลั่วชิงยวนก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด “นั่นสิ นางดูเหมือนจะรู้จักที่นี่ดีกว่าพวกเราทุกคน แต่ท้องแก่ถึงเพียงนั้นแล้ว นางทำได้อย่างไร?”ที่นี่ก็อยู่เกือบครึ่งทางขึ้นภูเขาแล้วแม้กระทั่งถูหมิงและพรรคพวกก็ต้องสูญเสียชีวิตไปมากมายเมื่อพวกเขามาถึงจุดนี้ หากซูเซียงมาถึงที่นี่ก่อนและยังรู้เรื่องราวมากมายถึงเพียงนี้ แล้วนางมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรเป็นไปมิได้เลยที่จะทำสิ่งมากมายขนาดนี้ด้วยการใช้ผงไล่งูเพียงอย่างเดียว“สตรีผู้นี้ต้องมีคนช่วยแน่นอน หากนางทำเพียงลำพัง ก็เป็นไปมิได้ที่จะเคลื่อนย้ายพวกข้าทั้งแปดคนไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ในชั่วข้ามคืน”“จงระมัดระวังให้มาก”โฉวสือชีมิได้รู้จักโหยวเซียง และมิรู้ภูมิหลังของโหยวเซียงเช่นกันลั่วชิงยวนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาวาดบนพื้นนางวาดเส้นทางที่เคยเดินผ่านกันมา แล้วกำหนดเส้นทางที่จะเดินในวันพรุ่ง“ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นถ้ำงูที่สร้างขึ้นมาเพื่อเลี้ยงงูโดยเฉพาะ ในเมื่อเป็นสิ่งที่มนุษ
โชคดีที่หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็พบกระท่อมหลังหนึ่งเป็นกระท่อมที่ฝังตัวอยู่บนผนังหิน มองดูคล้ายถ้ำมากกว่าที่นี่ค่อนข้างทรุดโทรม มีฝุ่นจับหนาเตอะ ดูเหมือนจะไม่มีใครอาศัยอยู่มานานแล้วแต่ในกระท่อมมีฟางปูไว้หนามากและค่อนข้างแห้ง ทุกคนจึงตัดสินใจพักที่นี่ก่อนลั่วชิงยวนตรวจสอบ แล้วกล่าวว่า “ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นที่ที่คนเลี้ยงงูเคยอาศัยอยู่”ที่มุมห้องมีตะกร้าใส่งูจำนวนมากวางอยู่ ทว่ายามนี้ด้านในนัน้ว่างเปล่าลั่วชิงยวนล้างทำความสะอาดหม้อและชาม ก่อนจะนำมาต้มยาระหว่างที่รอก็พันแผลให้คนใบ้อีกครั้งคนใบ้คงจะเจ็บปวดแผลมาก จึงได้ตื่นขึ้นมาพอดีกับที่ลั่วชิงยวนกำลังนำยามาให้เขา “เจ้าดวงแข็งถึงเพียงนี้ คงมิตายง่าย ๆ หรอก”คนใบ้รับชามยาไป ลังเลเล็กน้อยก่อนเขียนบนพื้นว่าซูเซียงมีพิรุธลั่วชิงยวนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว แต่ถ้ามิใช่เพราะซูเซียง ข้าก็หาเจ้ามิพบ”ดูเหมือนว่าในยามนั้นซูเซียงจะสู้กับคนใบ้ด้วยอากาศโดยรอบเย็นลงเรื่อย ๆ โฉวสือชีจึงก่อไฟให้แรงขึ้น แล้วกล่าวว่า “ยามนี้น่าจะกลางคืนแล้ว”“พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าจะเฝ้ายามให้”ลั่วชิงยวนพิงกำแพง แต่กลับนอนมิหลับนาง
ล้วนเป็นงูทั้งนั้น!ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด!ด้านบนเป็นตาข่ายที่สานจากเถาวัลย์และด้านบนนั้นก็มีงูขดอยู่เต็มไปหมดบางครั้งก็มีงูตกลงมาในน้ำด้วยโฉวสือชีกล่าวด้วยความหวาดหวั่น “คนมากมายในป่าแห่งนี้ล้วนถูกลากตัวไป แล้วตกลงมาจากหลุมบนสุด ถูกงูพวกนั้นกัดกินจนหมดสิ้น”“ข้ากับพวกเขาก็พบกันที่นี่เช่นกัน แต่ช่วยไว้ได้แค่หงไห่เท่านั้น”เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็ดิ่งวูบคนใบ้ก็ถูกลากไปเช่นกัน เขาจะตกมาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยหรือไม่?นางมองไปยังสุดปลายสะพานโซ่ ที่นั่นเป็นพื้นที่ราบ แต่ก็มืดสนิทจนมองอะไรมิเห็น“ข้าจะไปที่นั่น” ลั่วชิงยวนหยิบกระบี่ห้วงสวรรค์ขึ้นมา แล้วมุ่งหน้าไปยังสะพานเหล็กลอยน้ำโฉวสือชีห้ามมิได้ ทำได้เพียงวางหงไห่ลง แล้วจับจ้องร่างของลั่วชิงยวนอย่างระมัดระวังหากมีอันตรายใด ๆ จะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงทีลั่วชิงยวนรีบเดินข้ามสะพานลอย พยายามมิให้เปียกน้ำ เพราะน้ำจะชะล้างผงไล่งูที่เท้าเมื่อวิ่งไปถึงจึงเห็นคนใบ้นอนอยู่บนพื้นจริง ๆนางรีบแบกคนใบ้ขึ้นมา โชคดีที่บริเวณใกล้เคียงไม่มีงู เขาจึงมิได้ถูกงูกัดลั่วชิงยวนแบกร่างเขาขึ้นบนหลังอย่างยากลำบากแล้วกัดฟันประค
นี่มันเสียงหงไห่มิใช่หรือ!“หงไห่?” ลั่วชิงยวนเอ่ยถามลองเชิงอีกฝ่ายผงะไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวทันที “เจ้าก็มาถึงที่นี่ด้วยหรือ!”ลั่วชิงยวนตกใจ นี่คือโฉวสือชี!ทั้งสองหยุดต่อสู้กันในทันทีลั่วชิงยวนจุดไฟอีกครั้งเพื่อให้แสงส่องสว่างโดยรอบจึงได้เห็นโฉวสือชีที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือดส่วนหงไห่นั่งพิงผนังหิน กำลังไอออกมาเป็นเลือด“เขาเป็นอะไร?” ลั่วชิงยวนรีบเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าหงไห่ถูกงูกัดที่หลังมือจึงได้รับพิษนางก็รีบนำยาถอนพิษมาให้หงไห่กิน จากนั้นฝังเข็มเพื่อเอาพิษออกหงไห่จึงรอดชีวิตมาได้โฉวสือชีนั่งยอง ๆ บนพื้น ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “โชคดีที่เจอเจ้า มิเช่นนั้นคราวนี้หงไห่คงมิรอด”ลั่วชิงยวนมองดูสภาพของทั้งสอง เกรงว่าคงต้องเผชิญกับพายุโลหิตมา“พวกเจ้าอยู่ด้วยกันกี่คน? ข้าเจอจวี้ซานในป่า เขาตายแล้ว”ลั่วชิงยวนถามด้วยความเป็นห่วงโฉวสือชีผู้สีหน้าเคร่งขรึมส่ายหน้า “ข้ามิรู้ ในบรรดาคนที่ข้าพบ มีคนตายไปแล้วสามคน ข้าหาเจอแค่หงไห่”“อีกสองคน เกรงว่าจะประสบเคราะห์ร้ายเช่นกัน”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ใจหายวูบ“อยู่ที่ใด พาข้าไปหน่อย”จากนั้นโฉวสือชีก็พยุงหง
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ลั่วชิงยวนก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างว่ากระไรนะ?นางรู้สึกมิอยากจะเชื่อเลยแต่ซูเซียงก็มิได้กล่าวต่อ พลันหายตัวไปที่ปากถ้ำเมื่อลั่วชิงยวนหันกลับไปมองด้านบนศีรษะ ก็มีวัตถุขนาดใหญ่ค่อย ๆ บดบังแสงทั้งหมดเมื่อแสงสว่างน้อยนิดแสงสุดท้ายถูกบดบังลง เสียงของซูเซียงก็ดังขึ้น “ไม่มีใครมาช่วยเจ้าได้หรอก จงรอความตายอยู่ในนั้นเช่นเดียวกับผู้อื่นเสียเถอะ!”“อีกสิบวันข้าจะมาเก็บศพเจ้า!”ซูเซียงกัดฟันขณะพูดประโยคสุดท้ายลั่วชิงยวนเชื่อว่าหากซูเซียงมิได้แพ้นาง ซูเซียงคงจะฉีกร่างนางให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ไปนานแล้วสู้มิได้จึงเลือกที่จะขังนางให้ตายอยู่ในที่แห่งนี้แผ่นหินด้านบนนั้นดูท่าทางแล้วหนักยิ่งนัก ลั่วชิงยวนเป็นกังวลว่าแผ่นหินจะร่วงลงมาทับซูเซียงหาของเช่นนี้พบ แสดงว่านางคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี กระทั่งอาจจะเคยฆ่าคนในที่แห่งนี้มาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยนางอาจจะมาถึงเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้นานกว่าทุกคนก็เป็นได้แต่สิ่งที่นางมิเข้าใจคือ เหตุใดปีศาจราคะอย่างตู้เฟิงเฉินจึงกลายเป็นรักเดียวในชีวิตของซูเซียงไปได้?จากความทรงจำที่นางเห็นมา ภรรยาของตู้เฟิงเฉินถูกกระทำอย่างท