ขณะที่รับประทานอาหาร ลั่วชิงยวนก็ใช้ความคิดไปด้วย ลั่วไห่ผิงเชิญนักพรตเต๋ามาเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้าย ด้วยท่าทางที่จริงจัง ราวกับว่าเขาคิดว่านางมีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่จริง ๆหากเขามิได้มีความลับอะไร ทำไมเขาถึงคิดว่านางถูกวิญญาณร้ายสิงกัน? วิญญาณร้ายในจวนนี้มาจากที่ใด?“จือเฉา ท่านอ๋องเสด็จกลับไปแล้วหรือยัง?”จือเฉาพยักหน้า "ท่านอ๋องเสด็จกลับไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเจ้าค่ะ ท่านอัครเสนาบดีบอกท่านอ๋องเกี่ยวกับให้นักพรตเต๋ามาทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่เกาะพระชายาอยู่ แล้วจึงจะมอบพระชายาที่เป็นปกติกลับคืนให้แก่ท่านอ๋องเจ้าค่ะ"ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ "เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าไม่ปกติอย่างนั้นรึ?"ผิดปกติตรงไหนกัน เพียงเพราะนางทวงถามสมบัติของแม่อย่างนั้นหรือ?สิ่งนี้ทำให้นางแน่ใจมากยิ่งขึ้น ลั่วไห่ผิงทำอะไรผิดไว้เป็นแน่! เขาถึงได้กลัวเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่ของนาง“บางทีอาจเป็นเพราะพระชายาบอกว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กระมังเจ้าคะ ห้ามพูดคำนี้ออกมาอีกเด็ดขาดนะเจ้าคะ หากท่านไม่มีบ้าน อีกทั้งตำหนักอ๋องก็...” เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะต้องใช้ชีวิตข้างถนนจริง ๆ ก็ได้ลั่วชิงยวนยิ้มเบา ๆ "
“พระชายาเจ้าคะ เหตุใดนักพรตเต๋าคนนั้นถึงใจจดใจจ่อกับท่านขนาดนี้ พระชายาจะช่วยเขาแก้ไสยศาสตร์จริง ๆ หรือเจ้าคะ? แต่บ่าวคิดว่าเขาไม่ใช่คนดี” จือเฉาถามอย่างสงสัยลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ “สายตาเจ้าช่างเฉียบแหลมนัก ดีกว่าพ่อข้ามาก” “ไสยศาสตร์ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแน่นอน แม้ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายมาก จะไม่มีผลกรรมที่น่าสลดใจอะไร” “เขาจะโชคร้ายมากยิ่งขึ้น หากเขายังหลอกลวงต่อไป ทุกเรื่องจะไม่ราบรื่น ข้าจะหลอกเขาหน่อย จะทำให้เขากลับไปสู่ทางที่ถูกต้องได้ ถือว่าทำบุญ” “มหาเสนาบดีจะตอบรับคำร้องขอของนักต้มตุ๋นนี้เสมอ เขาคงคิดไม่ถึงแน่ คนโกหกผู้นั้นถูกพระชายาของเราปราบแล้ว" ลั่วชิงยวนได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ตอนกลางคืน รถม้าค่อย ๆ ออกห่างจากเมืองหลวง รอบข้างดูมืดมิดไปหมด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างทางข้างหน้า เดิมทีจือเฉายังไม่รู้สึกกลัว แต่ค่อย ๆ รู้สึก สถานที่ที่รถม้าไปยิ่งเปลี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองด้านล้วนเป็นป่าทึบ บางครั้งก็มีเสียงนกร้อง ช่างน่ากลัวนัก “พระชายา เราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?” จือเฉาดึงแขนเสื้อของลั่วชิงยวนด้วยความกลัว “ถึงแล้วเจ้
ว่างเปล่า! จือเฉาแอบมองผ่านระหว่างนิ้ว แล้วก็ตกใจทันที “หือ? ว่างเปล่า? ” ลั่วชิงยวนไม่อยากจะเชื่อ ก็กระโดดเข้าไปในโลงศพพร้อมคบเพลิง ก้มลงตรวจดูอย่างละเอียด ลูบภายในโลงศพ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีกับดัก หรือช่องลับอะไรซ่อนอยู่ ค้นหาอย่างละเอียด แท้จริงแล้วเป็นโลงศพที่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย “หรือว่ามีคนเปิดโลงศพก่อนพวกเราเจ้าคะ?” จือเฉาถามอย่างสงสัย ลั่วชิงยวนส่ายหัว “ฝาโลงปิดสนิทมาก ถ้ามีคนเคยเปิดมาก่อน จะต้องมีร่องรอย” “อย่างนั้นก็หมายความว่า... ” จือเฉาขมวดคิ้วและคิด ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว แววตาเย็นชาเล็กน้อย “ตั้งแต่การฝังศพ นี่ก็เป็นโลงศพที่ว่างเปล่า” สมบัติอะไรกันล่ะ? แม้แต่ศพของแม่นางก็ไม่มี จือเฉาตกใจมาก “พระชายา ท่านแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่!” ลั่วชิงยวนก็คิดอย่างนี้เช่นกัน แอบกำหมัดแน่น และพูดว่า “ข้าไม่รู้” ถ้าแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่ แล้วทำไมต้องแกล้งตาย? หากเป็นเพราะต้องแกล้งตายด้วยเหตุผลบางอย่าง งั้นลั่วไห่ผิงต้องห้ามนางไม่ให้ไปค้นหาสมบัติของแม่นางขนาดนั้น ตามเหตุผลแล้วน่าจะช่วยแม่ของนางปิดบังความจริงว่ายังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ลั่วไห่ผิงน่าจะปกป
“อะไรนะ นางขุดหลุมศพแม่ของนางรึ?!” ในห้องหนังสือ มีเสียงตกใจออกมา ชายผู้หนึ่งลุกขึ้นทุบโต๊ะ เซียวชูพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นกับตา แต่ในโลงศพแม่ของนาง ว่างเปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยิน ฟู่เฉินหวนก็ตกใจมากยิ่งขึ้น “ว่างเปล่า?” เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีแสงลึกล้ำในดวงตา “ไม่น่าแปลกใจ ที่ลั่วไห่ผิงหลีกเลี่ยงเรื่องเถ้ากระดูกของแม่นาง แล้วยังต้องเชิญนักพรตเต๋ามาขับไล่ผีให้ลั่วชิงยวน นี่ลั่วไห่ผิงซ่อนความลับลับลมคมในอะไรไว้กันแน่? ” เป็นเพราะจู่ ๆ ลั่วไห่ผิงพูดออกมาว่า ต้องการเชิญคนมาขับไล่วิญญาณร้าย เขาจึงเกิดความสงสัย จึงเซียวชูไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนอัครอัครเสนาบดีตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่าจะพบความลับจริง ๆ ซูโหยวที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึก “คุณหนูลั่วกล้าหาญมากจริง ๆ ยังขุดหลุมศพแม่ของตน หากพ่อของนางรู้ เกรงว่าจะเฆี่ยนนางจนตาย” “ใช่ หากไม่ได้เห็นด้วยตาข้าเอง ข้าคงไม่เชื่อ มันคงนอกรีตเกินไป” เซียวชูก็ถอนหายใจ ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว มีความคิดซับซ้อนซูโหยวอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านอ๋องทรงคิดว่า สิ่งที่เขากำลังหานั้นเกี่ยวข้องกับแม่ของลั่วชิงยวนด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฟู
“อ๊า…” ยามดึกก็มีเสียงกรีดร้องมาจากจวนมหาเสนาบดีอันเงียบสงัด ปลุกคนที่หลับหลายคนให้ตื่นทันที ลั่วเยวี่ยอิงลืมตาขึ้นทันที เสียงอะไร?! นางตะโกนเรียกทาสใบ้โดยไม่รู้ตัว แต่คืนนี้ทุกคนถูกขอให้อยู่ในห้องของตนและไม่อนุญาตให้ออกมา ทาสใบ้ไม่ได้อยู่ในลานจวน เรียกนางนางก็ไม่ได้ยิน รอบ ๆ มืดมิดสนิทไปหมด นางยืนขึ้นจุดตะเกียงอย่างตกใจหวาดผวา หากไม่มืดบางทีก็อาจจะไม่กลัว แต่ขณะที่นางเดินไปที่แสงเทียน จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่ประตู ทุบอย่างบ้าคลั่ง ปัง ปัง ปัง… พร้อมกับเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องที่เลือนราง ลั่วเยวี่ยอิงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว กรีดร้องและหมอบลงกับพื้นทันที ขดตัวอยู่ในมุม มองดูร่างที่ชัดเจนตรงประตู เสียงเคาะประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง นางขนพองสยองเกล้าทั้งตัว หวาดกลัวมาก"พ่อ..."“โฮก… คืนชีวิตข้ามา คืนชีวิตข้ามา!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามดังกึกก้อง ลั่วเยวี่ยอิงหวาดกลัวมากจนตัวสั่น หลับตาและไม่กล้ามองเลย ลั่วชิงยวนรู้ว่า เวลานี้ลั่วเยวี่ยอิงต้องตกใจตายแน่นอน ก็ไถลลงสู่พื้นทีละนิด ค่อย ๆ หลบหนีไป ไม่มีเสียงแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงรวบรวมความ
“นักพรตเต๋า สถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง? ปราบวิญญาณร้ายได้หรือไม่? ” ลั่วไห่ผิงถามอย่างเคร่งขรึม นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงปาดเหงื่อแล้วพูดว่า “วิญญาณร้ายนี้ร้ายกาจนัก ข้าไล่นางออกจากจวนอัครเสนาบดีชั่วคราว ไม่มีอะไรแล้ว” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจหน่อย มองไปทางห้องทันที แล้วพูดว่า “ลูกสาวของข้าล่ะ” “เมื่อคืนนี้ลูกสาวของท่านก็ถูกวิญญาณร้ายทรมานอย่างหนัก ตอนนี้หลับไปแล้ว หลังตื่นน่าจะกลับมาเป็นปกติ” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจมากขึ้น “งั้นก็ดี ข้าหวังว่า นักพรตเต๋าจะอยู่ต่ออีกสักสองวัน ให้แน่ใจว่าวิญญาณร้ายนี้จะไม่กลับมา! ข้าจะตอบแทนรางวัลให้ท่านอย่างงามเป็นแน่!” “ขอรับ” นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงสีหน้านิ่งไม่ไหวติง ไม่มีการตอบสนองต่อเงินเลย ลั่วไห่ผิงยิ่งมั่นใจว่า ท่านอาจารย์ผู้นี้ช่างเก่งกาจที่จริงแล้วเป็นเพราะว่า เงินนี้ก็จะมอบให้กับลั่วชิงยวนด้วย ไม่อาจตกไปอยู่ในมือของเขาได้ นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงเพียงต้องการให้เรื่องนี้ยุติลง คุณหญิงท่านนั้นสามารถให้ของที่แก้ไสยศาสตร์แก่เขา เงินไม่สำคัญเท่ากับชีวิต …… ลั่วชิงยวนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งไปขุดโลงศพที่หลุมศพของบรรพบุรุษ ทั้
ลั่วเยวี่ยอิงตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นนาง มีสีหน้าระแวงและพูดว่า “เจ้า...” ลั่วชิงยวนรีบพูดขัดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ทำไมน้องถึงดูซีดเซียวได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ? ถึงทำให้น้องสาวตกใจเยี่ยงนี้ เป็นความผิดของพี่เอง” สายตาของลั่วเยวี่ยอิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทาสใบ้ที่ยืนอยู่ในลานได้ยินเช่นนี้ ก็โล่งใจมาก ดูท่าจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงมาก่อนจริงๆ ขับไล่วิญญาณร้ายไปแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ลั่วชิงยวนลูบชามยาที่ร้อน ๆ นางตักน้ำแกงยาหนึ่งช้อน ป้อนให้ลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาเถิด” ลั่วเยวี่ยอิงจ้องมองนางอย่างหน้าบูดบึ้ง เอ่ยปากเรียกทาสใบ้ แต่ลั่วชิงยวนยิ้ม และตักน้ำแกงยาร้อน ๆ หนึ่งช้อนยัดเข้าไปในปากของลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาอย่างเชื่อฟังสิ กินยาแล้วถึงจะดีขึ้นนะ” ในปากของลั่วเยวี่ยอิงพองขึ้นทันทีหลังจากกินยาสมุนไพรร้อน ๆ ไปหนึ่งช้อน นางยันร่างที่อ่อนแอให้ลุกขึ้น อยากจะเรียกทาสใบ้ แต่จู่ ๆ เสียงก็แหบแห้งเมื่อนางอ้าปาก จือเฉาตอบสนองอย่างเร็ว เดินเข้าไปจับลั่วเยวี่ยอิงทันที หญิงสาวผู้นี้เคยทำร้ายพระชายามาสามสี่ครั้งแล้ว คราวนี้ถึงทีแก้แค้น ลั่วชิง
จือเฉาหยิบโอสถทาแผลขึ้นมาทันที ใช้เข็มเจาะตุ่มอย่างระวัง แล้วจึงทาโอสถก่อนพันแผล …… หลังมื้อเย็น ลั่วไห่ผิงก็มาด้วยความโกรธจัด ลั่วชิงยวนลุกขึ้นเข้าไปทักทายว่า “ท่านพ่อ” ลั่วไห่ผิงเดินมาด้วยความโกรธ ยกฝ่ามือขึ้นตบอย่างแรง เพียะ… เสียงตบหน้าดังขึ้น ลั่วชิงยวนถูกตบจนเลือดออกที่มุมปาก ในขณะนั้น นางแผ่เจตนาฆ่าในสายตาที่เย็นชา พลางหลับตาระงับความโกรธไว้ เงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่ชัดเจน เต็มไปด้วยความสับสนและน้อยใจ “ท่านพ่อ…” ลั่วไห่ผิงเต็มไปด้วยความโกรธ “ยังจะเสแสร้ง ข้าถามเจ้าหน่อย แผลพองเต็มปากของน้องสาวเจ้า นางทำตัวเองหรืออย่างไร? รู้ไหมว่าเกือบจะทำลายลำคอของนางแล้ว ข้าคิดว่า ก่อนนี้เจ้าถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ไล่ผีวิญญาณร้ายให้เจ้าก็จะดีขึ้นแล้ว! ใครจะรู้ว่าเจ้ากำลังซ่อนจิตใจที่ชั่วร้าย และต้องการจะฆ่าน้องสาวของเจ้าเอง!” ลั่วไห่ผิงพลันน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมท่านไม่ฟังข้าอธิบายก่อนที่จะตีข้าล่ะ? ท่านพ่อเคยรักข้ามากที่สุดไม่ใช่หรือ?” ดูท่าทางน้อยใจของนางสิ ทำให้ลั่วไห่ผิงเบื่อหน่าย หัวบวมด้วยความโกรธอีกครั
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน
ซ่งเชียนฉู่เช็ดมือ ก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา ลั่วชิงยวนฉีกซองอ่านดู เมื่ออ่านจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีซ่งเชียนฉู่สงสัยจึงเอ่ยถาม “มีอะไรหรือ? เป็นจดหมายขอความช่วยเหลือหรือไร?”ลั่วชิงยวนเบิกตาเล็กน้อย “เป็นจดหมายขู่”ในจดหมายเขียนว่า ผู้เขียนรู้ว่านางแอบอ้างเป็นศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี และต้องการให้นางร่วมมือ หากมิยอมร่วมมือ ก็จะให้ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวีตัวจริงมาเปิดโปงความจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของนาง บอกให้ใต้หล้ารู้ว่านางเป็นเพียงสตรีที่ต้มตุ๋นหลอกลวงซ่งเชียนฉู่รับจดหมายมาอ่าน แล้วร้องอุทานด้วยความตกใจ “ใครกัน? ดูเหมือนจะจับตามองท่านมานานแล้ว!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ให้มันมาหาข้าเองเถอะ ส่วนเจ้าก็จงระมัดระวังตัวให้มาก”ซ่งเชียนฉู่พยักหน้ารับ “ข้ามิเป็นอะไรหรอก แต่ท่านต้องระวังตัวให้มาก คนผู้นี้คงจับตามองท่านมานานแล้ว ถึงได้รู้ว่าท่านมิใช่ศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี”นั่นเพราะเมื่อเริ่มทำนายทายทัก ลั่วชิงยวนยังไม่มีชื่อเสียง จึงใช้ชื่อศิษย์สำนักเสวียนซานอวี้ซวี ผู้เขียนจดหมายจึงต้องรู้ว่า
แต่กลับถูกจับแขน แล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอดลั่วชิงยวนจึงรู้สึกตัว เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจมาก “ท่านมาได้อย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนโอบกอดนางแน่นแล้วพูดว่า “ตำหนักนอกเมืองหนาวมาก”ลั่วชิงยวนผลักเขาออกอย่างแรง “ใช่เพคะ มิเพียงแต่หนาว ยังมีงูด้วย”มิใช่ว่านางมิเคยอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองสภาพแวดล้อมในครั้งนั้นยากลำบากกว่าฟู่เฉินหวนในตอนนี้มากฟู่เฉินหวนนึกถึงประสบการณ์ในอดีตของนาง จึงจับมือของนางด้วยความห่วงใย “ชิงหยวน ครั้งนั้นเจ้าลำบากมาก”“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้า”ใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “เรื่องในอดีต ผ่านไปแล้ว มิต้องพูดถึงอีกแล้วเพคะ”“ท่านทนความหนาวเย็นของตำหนักนอกเมืองมิได้หรือเพคะ?”ฟู่เฉินหวนพูดเสียงต่ำ “ทนการจากลาเจ้ามิได้ต่างหาก”ใจของลั่วชิงยวนสั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็ใจอ่อนอีกครั้ง“แต่ถ้าท่านมิไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมือง ในตำหนักอ๋องแห่งนี้คนที่ทุกข์ใจก็จะเป็นเราสองคน”“ข้าจะไป รุ่งเช้าจะกลับ คืนนี้ขอพักอยู่ที่นี่สักคืนได้หรือไม่?”ฟู่เฉินหวนกลับมาที่เมืองหลวงในเวลากลางคืนมิใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบเมื่อไปถึงตำหนักนอกเมือง แล้วเห็นสถานที่ที่นางเค
นางโน้มกายลง ริมฝีปากแสยะยิ้มจางขณะพูดด้วยเสียงเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงบ่าวที่ใช้ทดลองยาในตำหนักอ๋องเท่านั้น”จบประโยค นางก็คว้าข้อมือของลั่วเยวี่ยอิง แล้วกรีดลงไปแม้ว่าลั่วเยวี่ยอิงจะดิ้นรนอย่างไร ลั่วชิงยวนก็มิปล่อยมือ ปล่อยให้โลหิตไหลออกเต็มชาม ลั่วชิงยวนจึงคลายมือออกพร้อมกับพานางรับใช้ไปด้วยลั่วชิงยวนจำต้องเร่งรัดการปรุงยาแก้พิษ ลั่วเยวี่ยอิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งก่อความวุ่นวายให้ตำหนักอ๋องมิสงบสุขระหว่างทางกลับ นางก็สั่งนางรับใช้ว่า “เจ้าไปเอาชุดจากศาลารุ้งเมฆาให้สตรีผู้นั้น บอกว่าเป็นคำสั่งของข้า ศาลารุ้งเมฆาจะให้”“เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนสั่งอีกว่า “จงทำตามใจนางทุกอย่าง จะได้มิเดือดร้อน”“เจ้าค่ะ”ยามเย็นลั่วชิงยวนดักรออยู่มิไกลจากตำหนักอ๋องเมื่อเห็นรถม้าใกล้เข้ามานางก็รีบเข้าไปหาเมื่อฟู่เฉินหวนบนรถม้าเห็นนางมาถึงก็รีบลงจากรถม้า ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดลั่วชิงยวนไว้ในอ้อมแขน “คิดถึงข้าหรือไม่?”ลั่วชิงยวนผลักเขาออก “หม่อมฉันมาบอกท่านว่าอย่ากลับไป ท่านไปอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเถิดเพคะ”เมื่อได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนก็แข็งค้าง “เหตุใด? ข้าทำผิ
เพียงครึ่งเดือนเศษที่มิได้พบกัน มหาราชาจารย์เหยียนกลับเปลี่ยนไปราวกับคนละคนมหาราชาจารย์เหยียนจ้องมองนางอย่างมิพอใจ “พระชายาอ๋องจงดูแลตนเองเถิด!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง ฟังเสียงมหาราชาจารย์เหยียนที่อ่อนแรง ดูเหมือนจะสูญเสียพลังงานมาก ถึงแม้ว่าจะถูกกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ล่าสุด แต่ก็มิควรจะสูญเสียมากถึงเพียงนี้ย่อมมีสาเหตุอื่น “ข้าหวังดี ท่านมหาราชาจารย์เหยียนมิจำเป็นต้องตอบโต้เช่นนี้”“ข้าเห็นท่านมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะสูญเสียกำลังภายในไปมาก และมีอาการเป็นพิษ ท่านมหาราชาจารย์เหยียนควรหาหมอที่มีฝีมือดีมารักษาเถิด”“อย่าปล่อยให้ตัวเองล้มไปทั้ง ๆ ที่ยังมิได้ชนะแล้วกัน” ลั่วชิงยวนยิ้มเยาะมหาราชาจารย์เหยียนหน้าซีด จ้องมองนางอย่างเย็นชา “มิต้องมายุ่งเรื่องของข้า!” กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วจากไปลั่วชิงยวนมองดูเงาของมหาราชาจารย์เหยียนที่รีบจากไป ในใจรู้สึกสับสน อาการป่วยของมหาราชาจารย์เหยียนดูเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันกลับไปแล้วนางก็ใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์คำนวณอีกครั้ง และไปดูที่บริเวณบ้านตระกูลเหยียนอีกครั้งถึงแม้ว่ามหาราชาจารย์เหยียนจะมีอาการป่วยหนัก
ซูโหยวพยักหน้า “ท่านอ๋องตามใจนางทุกอย่างแล้วขอรับ” “ถึงกระนั้นนางกลับยังขอให้ท่านอ๋องหย่ากับพระชายาและลงทัณฑ์พระชายาอย่างหนัก” “ท่านอ๋องมิได้ยินยอมและพิโรธยิ่งนัก จึงกลับเข้าห้องไป”ลั่วชิงยวนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น “ลั่วเยวี่ยอิงต้องการให้ท่านอ๋องหย่ากับข้าหรือ? จะให้ลงทัณฑ์ข้าด้วยหรือ?” ซูโหยวพยักหน้ารับอีกครั้งลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความผิดปกติ ลั่วเยวี่ยอิงอาจจะรู้แล้วหรือไม่ว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุมจิตใจอยู่? “เจ้าไปเถิด ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาเอง ข้าจะมิเข้าไป” ซูโหยวพยักหน้าแล้วถอยออกไปลั่วชิงยวนเดินไปยังชายคาบ้าน มิได้ผลักประตูเข้าไป นางยืนอยู่ข้างกำแพง ฟังเสียงครวญครางอันแสนเจ็บปวดที่เล็ดลอดออกมาจากห้อง หัวใจของนางแทบจะขาดสะบั้นดวงตาแดงก่ำ ขณะนั่งคุกเข่าลงข้างกำแพง มีเพียงกำแพงกั้นไว้ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงครวญครางอันเจ็บปวดของฟู่เฉินหวนดังก้องเข้ามาในหูอย่างชัดเจนลั่วชิงยวนกำมือแน่น มิกล้าส่งเสียงใด ฟู่เฉินหวนซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง ดิ้นรนทรมาน เลือดไหลออกมาจากปากความทรมานเช่นนั้นกินเวลายาวนานถึงหนึ่งชั่วยามเศษ แต่ฟู่เฉินหวนมิได้ออกมาจากห้อง ล
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ใจของลั่วชิงยวนก็ยังคงเจ็บปวดแต่จะทำอย่างไรได้ ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้น ฟู่เฉินหวนจึงจะมิถูกทรมานจนถึงตายในที่สุดลั่วเยวี่ยอิงที่ถูกอุ้มไปก็มีความสุขมากนางกอดฟู่เฉินหวน ร้องไห้คร่ำครวญน้ำตาไหลพราก “ท่านอ๋อง ในที่สุดหม่อมฉันก็ได้พบท่านแล้ว”“ท่านมิรู้หรอกเพคะว่าหม่อมฉันต้องใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา”“พระชายาเอาเลือดของหม่อมฉันไปทุกวัน หม่อมฉันคิดว่าชาตินี้จะมิได้พบกับท่านแล้ว…”ฟู่เฉินหวนได้ยินเสียงคร่ำครวญก็หงุดหงิด ยิ่งปวดหัวหนักขึ้น“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยหม่อมฉันให้พ้นจากภัยนี้ด้วยเถิดเพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้มิหยุด“ข้าจะให้หมอมาตรวจอาการเจ้า” ฟู่เฉินหวนพยายามควบคุมตนเองมิให้ต่อต้านพลังที่ควบคุมอยู่พยายามตามใจลั่วเยวี่ยอิง“เพคะ” ลั่วเยวี่ยอิงยิ้มอย่างพอใจ ในใจมีความสุขสิ่งที่เหยียนหน่ายซินพูดนั้นเป็นความจริง......ลั่วชิงยวนนั่งอยู่ที่ห้อง จือเฉาใช้ยาบรรเทาอาการบวมช้ำที่ใบหน้าของลั่วชิงยวนพลางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋องกับพระชายาได้คืนดีกันแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจู่ ๆ จึงลงมือหนักเช่นนี้”“เขาก็มีเหตุผลของเขา” ลั่วชิงยวนถ