“อ๊า…” ยามดึกก็มีเสียงกรีดร้องมาจากจวนมหาเสนาบดีอันเงียบสงัด ปลุกคนที่หลับหลายคนให้ตื่นทันที ลั่วเยวี่ยอิงลืมตาขึ้นทันที เสียงอะไร?! นางตะโกนเรียกทาสใบ้โดยไม่รู้ตัว แต่คืนนี้ทุกคนถูกขอให้อยู่ในห้องของตนและไม่อนุญาตให้ออกมา ทาสใบ้ไม่ได้อยู่ในลานจวน เรียกนางนางก็ไม่ได้ยิน รอบ ๆ มืดมิดสนิทไปหมด นางยืนขึ้นจุดตะเกียงอย่างตกใจหวาดผวา หากไม่มืดบางทีก็อาจจะไม่กลัว แต่ขณะที่นางเดินไปที่แสงเทียน จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็รีบวิ่งไปที่ประตู ทุบอย่างบ้าคลั่ง ปัง ปัง ปัง… พร้อมกับเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องที่เลือนราง ลั่วเยวี่ยอิงหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว กรีดร้องและหมอบลงกับพื้นทันที ขดตัวอยู่ในมุม มองดูร่างที่ชัดเจนตรงประตู เสียงเคาะประตูห้องอย่างบ้าคลั่ง นางขนพองสยองเกล้าทั้งตัว หวาดกลัวมาก"พ่อ..."“โฮก… คืนชีวิตข้ามา คืนชีวิตข้ามา!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นและทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง เสียงคำรามดังกึกก้อง ลั่วเยวี่ยอิงหวาดกลัวมากจนตัวสั่น หลับตาและไม่กล้ามองเลย ลั่วชิงยวนรู้ว่า เวลานี้ลั่วเยวี่ยอิงต้องตกใจตายแน่นอน ก็ไถลลงสู่พื้นทีละนิด ค่อย ๆ หลบหนีไป ไม่มีเสียงแล้ว ลั่วเยวี่ยอิงรวบรวมความ
“นักพรตเต๋า สถานการณ์เป็นเยี่ยงไรบ้าง? ปราบวิญญาณร้ายได้หรือไม่? ” ลั่วไห่ผิงถามอย่างเคร่งขรึม นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงปาดเหงื่อแล้วพูดว่า “วิญญาณร้ายนี้ร้ายกาจนัก ข้าไล่นางออกจากจวนอัครเสนาบดีชั่วคราว ไม่มีอะไรแล้ว” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจหน่อย มองไปทางห้องทันที แล้วพูดว่า “ลูกสาวของข้าล่ะ” “เมื่อคืนนี้ลูกสาวของท่านก็ถูกวิญญาณร้ายทรมานอย่างหนัก ตอนนี้หลับไปแล้ว หลังตื่นน่าจะกลับมาเป็นปกติ” ได้ยินเช่นนี้ ลั่วไห่ผิงก็โล่งใจมากขึ้น “งั้นก็ดี ข้าหวังว่า นักพรตเต๋าจะอยู่ต่ออีกสักสองวัน ให้แน่ใจว่าวิญญาณร้ายนี้จะไม่กลับมา! ข้าจะตอบแทนรางวัลให้ท่านอย่างงามเป็นแน่!” “ขอรับ” นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงสีหน้านิ่งไม่ไหวติง ไม่มีการตอบสนองต่อเงินเลย ลั่วไห่ผิงยิ่งมั่นใจว่า ท่านอาจารย์ผู้นี้ช่างเก่งกาจที่จริงแล้วเป็นเพราะว่า เงินนี้ก็จะมอบให้กับลั่วชิงยวนด้วย ไม่อาจตกไปอยู่ในมือของเขาได้ นักพรตเต๋าจอมหลอกลวงเพียงต้องการให้เรื่องนี้ยุติลง คุณหญิงท่านนั้นสามารถให้ของที่แก้ไสยศาสตร์แก่เขา เงินไม่สำคัญเท่ากับชีวิต …… ลั่วชิงยวนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน ทั้งไปขุดโลงศพที่หลุมศพของบรรพบุรุษ ทั้
ลั่วเยวี่ยอิงตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นนาง มีสีหน้าระแวงและพูดว่า “เจ้า...” ลั่วชิงยวนรีบพูดขัดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ทำไมน้องถึงดูซีดเซียวได้ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ? ถึงทำให้น้องสาวตกใจเยี่ยงนี้ เป็นความผิดของพี่เอง” สายตาของลั่วเยวี่ยอิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทาสใบ้ที่ยืนอยู่ในลานได้ยินเช่นนี้ ก็โล่งใจมาก ดูท่าจะถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงมาก่อนจริงๆ ขับไล่วิญญาณร้ายไปแล้วก็กลับมาเป็นปกติ ลั่วชิงยวนลูบชามยาที่ร้อน ๆ นางตักน้ำแกงยาหนึ่งช้อน ป้อนให้ลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาเถิด” ลั่วเยวี่ยอิงจ้องมองนางอย่างหน้าบูดบึ้ง เอ่ยปากเรียกทาสใบ้ แต่ลั่วชิงยวนยิ้ม และตักน้ำแกงยาร้อน ๆ หนึ่งช้อนยัดเข้าไปในปากของลั่วเยวี่ยอิง “น้องสาว กินยาอย่างเชื่อฟังสิ กินยาแล้วถึงจะดีขึ้นนะ” ในปากของลั่วเยวี่ยอิงพองขึ้นทันทีหลังจากกินยาสมุนไพรร้อน ๆ ไปหนึ่งช้อน นางยันร่างที่อ่อนแอให้ลุกขึ้น อยากจะเรียกทาสใบ้ แต่จู่ ๆ เสียงก็แหบแห้งเมื่อนางอ้าปาก จือเฉาตอบสนองอย่างเร็ว เดินเข้าไปจับลั่วเยวี่ยอิงทันที หญิงสาวผู้นี้เคยทำร้ายพระชายามาสามสี่ครั้งแล้ว คราวนี้ถึงทีแก้แค้น ลั่วชิง
จือเฉาหยิบโอสถทาแผลขึ้นมาทันที ใช้เข็มเจาะตุ่มอย่างระวัง แล้วจึงทาโอสถก่อนพันแผล …… หลังมื้อเย็น ลั่วไห่ผิงก็มาด้วยความโกรธจัด ลั่วชิงยวนลุกขึ้นเข้าไปทักทายว่า “ท่านพ่อ” ลั่วไห่ผิงเดินมาด้วยความโกรธ ยกฝ่ามือขึ้นตบอย่างแรง เพียะ… เสียงตบหน้าดังขึ้น ลั่วชิงยวนถูกตบจนเลือดออกที่มุมปาก ในขณะนั้น นางแผ่เจตนาฆ่าในสายตาที่เย็นชา พลางหลับตาระงับความโกรธไว้ เงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่ชัดเจน เต็มไปด้วยความสับสนและน้อยใจ “ท่านพ่อ…” ลั่วไห่ผิงเต็มไปด้วยความโกรธ “ยังจะเสแสร้ง ข้าถามเจ้าหน่อย แผลพองเต็มปากของน้องสาวเจ้า นางทำตัวเองหรืออย่างไร? รู้ไหมว่าเกือบจะทำลายลำคอของนางแล้ว ข้าคิดว่า ก่อนนี้เจ้าถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ไล่ผีวิญญาณร้ายให้เจ้าก็จะดีขึ้นแล้ว! ใครจะรู้ว่าเจ้ากำลังซ่อนจิตใจที่ชั่วร้าย และต้องการจะฆ่าน้องสาวของเจ้าเอง!” ลั่วไห่ผิงพลันน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อ ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น แต่ทำไมท่านไม่ฟังข้าอธิบายก่อนที่จะตีข้าล่ะ? ท่านพ่อเคยรักข้ามากที่สุดไม่ใช่หรือ?” ดูท่าทางน้อยใจของนางสิ ทำให้ลั่วไห่ผิงเบื่อหน่าย หัวบวมด้วยความโกรธอีกครั
ลั่วไห่ผิงหันกลับมาและมองนางอย่างลังเลเล็กน้อย เห็นท่าทีลังเลของลั่วไห่ผิง ลั่วชิงยวนก็รู้ว่า เขาอ้างให้นางขับไล่วิญญาณร้ายในจวน บอกว่าจะส่งตัวพระชายาที่เหมาะสมคืนให้ตำหนักอ๋อง จริง ๆ แล้วไม่ได้วางแผนที่จะให้นางกลับตำหนักอ๋องอีกเลย! “พ่อรู้ดีว่า เจ้าเองชอบท่านอ๋องมาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก แต่... ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่คู่ควรกับท่านอ๋องเลยจริง ๆ” ลั่วไห่ผิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “การที่เจ้าแต่งงานแทนนั้นเป็นความผิดตั้งแต่แรก พ่ออยากให้เยวี่ยอิงกลับตำหนักอ๋อง” ลั่วชิงยวนคิ้วกระตุก ทำให้ลั่วเยวี่ยอิงเป็นพระชายาอ๋อง โดยอาศัยความรักและอำนาจของท่าอ๋อง ไม่ถามถึงว่า นางจะเอาของของท่านแม่กลับมาได้หรือแม่ ถามว่านางจะมีชีวิตอยู่รอดไปได้หรือไม่ดีกว่า? ลั่วเยวี่ยอิงจะฆ่านางให้ตายอย่างแน่นอน! ลั่วชิงยวนก้มหัวลง “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าสัญญา ข้าจะนำเกียรติมาสู่จวนอัครเสนาบดี” กลั้นความรู้สึกที่อยากร้องไห้ไว้ ยังทำให้ลั่วไห่ผิงใจอ่อนขึ้นหน่อย นอกจากนี้ยังกล่าวหานางอย่างผิด ๆ และตบนาง เสียใจเล็กน้อย ลังเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ตกลงและพูดว่า “ได้ พรุ่งนี้พ่อจะส่งคนมารับเจ้ากลับไป” ตราบใดที่ลั่วชิงยวนเชื
หลังจากที่ลั่วไห่ผิงกลับไปก็ไปดูลั่วเยวี่ยอิงอีกครั้ง อธิบายสาเหตุที่ลั่วชิงยวนทำน้ำร้อนลวกนาง ลั่วเยวี่ยอิงฟังจบสีหน้าก็เปลี่ยนไป จับแขนของลั่วไห่ผิง ส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง อยากจะพูดแต่ไม่มีเสียงออกมา เจ็บคอมาก ลั่วไห่ผิงตบหลังมือของนาง “พ่อรู้ว่าเจ้าน้อยใจ เจ้าต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ชิงยวนก็ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าให้อภัยนางเถอะ” “แต่ก่อนนางทำผิดร้ายแรงบ้างจริง ๆ แต่น่าจะเกิดจากการถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง ตอนนี้นางได้ขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและกลับมาเป็นปกติแล้ว เจ้าอย่าเคียดแค้นนางมากเกินไป อย่างไรแล้วนางก็เป็นพี่สาวของเจ้า” ลั่วไห่ผิงปลอบใจอย่างอดทน ลั่วเยวี่ยอิงร้องไห้อย่างกังวล นางอยากบอกพ่อมากว่า ลั่วชิงยวนไม่ได้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงเลย นางจงใจเอาน้ำร้อนลวกตน! อย่างไรก็ตาม การที่นางไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ก็ทำให้นางอารมณ์เสีย นางถูกลั่วชิงยวนทำร้ายสาหัสถึงเพียงนี้ แต่พ่อของนางกลับไม่ได้ตำหนิลั่วชิงยวนเลยจริง ๆ ยังขอให้นางใจกว้าง และอย่าโกรธเคืองลั่วชิงยวน จะให้นางทนฝืนกลืนความโกรธลงไปได้อย่างไรกัน! “เจ้าอย่าได้กังวลนัก พ่อจะรักษาคอของเจ้าให้หาย เจ้าพักฟื้นที่จวนสักระยะหนึ่ง! เจ้าคงจะโกรธ
รถม้าหยุดอยู่ด้านนอกตำหนักอ๋อง กลุ่มนางรับใช้ที่กำลังรออยู่ เมื่อเห็นรถม้าจากจวนอัครเสนาบดีมาถึง ทุกคนก็ต่างปลื้มดีใจ และอุทานว่า “คุณหนูรองมาแล้ว” “เร็ว เร็ว เร็ว” ทุกคนรีบเดินไปข้างหน้าต้อนรับลั่วเยวี่ยอิง เมื่อลั่วชิงยวนก้าวลงจากรถม้า นางรับใช้ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง สิ่งที่ตามมาทันทีคือ ความผิดหวังและความรังเกียจ “ทำไมถึงเป็นนางล่ะ” นางรับใช้สองคนที่อยู่ไม่ไกลกระซิบกัน รังเกียจอย่างยิ่ง จือเฉาตอบโต้อย่างไม่เกรงใจ “พระชายาก็คือพระชายาจะไม่ใช่นางได้เยี่ยงไร?” นางรับใช้หลายคนจ้องมองไปที่จือเฉา พึมพำต่อว่า “พวกเขาบอกว่านางจะไม่รอดมิใช่รึ? ทุกคนกำลังรอคุณหนูรองกลับมาที่ตำหนัก คุณหนูรองต่างหากที่เป็นพระชายาตัวจริง!” “ถูกต้อง เจ้าอ้วนนี่จะคู่ควรกับท่านอ๋องของเราได้อย่างไร” นางรับใช้ดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก และก็พูดอย่างไม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าเสียงจะเบา แต่ก็เข้าหูของลั่วชิงยวนก็ได้ยินอย่างชัดเจน เพียะ… การตบหน้าที่ดังชัดเจน ทำให้ทั้งตำหนักเงียบสงบลง ทุกคนต่างตกตะลึง นางรับใช้ที่ถูกตบเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ จากนั้นก็สบตาที่ดุดันของลั่วชิงยวน ตกใจจนตัวขด “
คืนก่อนหน้านั้น เขาได้ถามหมอเทวดากู้โดยเฉพาะว่า มีการวินิจฉัยผิดพลาดหรือไม่ หมอเทวดากู้ยืนกรานว่า ลั่วชิงยวนไม่รอด บอกว่าแม้ว่านางจะผ่านไปได้ ผ่านช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด แต่อวัยวะภายในได้รับความเสียหายแล้ว มีชีวิตได้เพียงสองวันเท่านั้น ตอนนี้ ก็เกินสองวันมาแล้วแต่ลั่วชิงยวนยังมีชีวิตอยู่ ลั่วชิงยวนนั่งเก้าอี้ตรงข้ามฟู่เฉินหวน มองดูเขาอย่างลึกซึ้ง “คืนนั้นที่สุสาน ท่านส่งคนมาสะกดรอยตามหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ?” หากผู้นั้นไม่ใช่ลั่วไห่ผิงส่งไป เช่นนั้นก็เป็นฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนี้ มีแววตาประหลาดใจอย่างชัดเจน หรี่ตาลงเล็กน้อย มองลั่วชิงยวนอย่างลึกซึ้ง ตัวของนางอ้วน ไม่มีทักษะอันแข็งแกร่งปราดเปรียว ไม่มีวรยุทธเลย เหตุใดจึงพบว่าเซียวชูสะกดรอยตามอยู่? ต้องรู้ว่าวรยุทธของเซียวชูนั้นถือมือหนึ่งในตำหนักอ๋องแล้ว นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนที่สะกดรอยตามจับได้ ลั่วชิงยวนมีความสามารถเช่นนี้เลยรึ? “หม่อมฉันรู้ว่าท่านทรงเกลียดข้า สุดท้ายแล้วหม่อมฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้ท่านไม่สามารถสมรสกับหญิงที่ท่านรักได้ ท่านจะทรงเกลียดหม่อมฉันก็เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่หม่อมฉันต้องทนทุกข
ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปกลัวหรือก็เคยกลัวอยู่เหมือนกันแต่ยามนี้กลัวไปจะมีประโยชน์อะไรนางส่ายหน้า “เมื่อก่อนกลัว ตอนนี้มิกลัวแล้ว”“เหตุใด?” อวี๋โหรวสงสัย“เพราะเขามิได้บ้าคลั่งถึงเพียงนั้น ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนมีจุดมุ่งหมาย”“ข้ามีประโยชน์ต่อเขา เขาย่อมอดทนต่อข้า”อวี๋โหรวได้ฟังแล้วก็พยักหน้าครุ่นคิด แต่ก็ยังรู้สึกมิเข้าใจอยู่ดี“แต่ว่า... เท่าที่ข้ารู้จักเฉินชี เขาสามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย เหตุใดจึงยอมอ่อนข้อให้เจ้าถึงเพียงนี้”“สำหรับเขาแล้ว เจ้าคงต่างจากคนอื่น”ลั่วชิงยวนยกยิ้มกล่าว “อาจจะใช่”นางคิดว่าความแตกต่างที่ว่านั้นน่าจะเป็นเพราะโอสถจตุรธาตุเพียงแต่อาจเป็นไปได้ว่าโอสถจตุรธาตุออกฤทธิ์ต่อเฉินชีต่างจากออกฤทธิ์ต่อผู้อื่นเล็กน้อยถึงอย่างนั้นสภาพที่ฟู่เฉินหวนต้องเผชิญเมื่อก่อนนั้นก็มิค่อยพบเจอในหมู่คนอื่น ๆขณะพูดคุยกันก็มาถึงตลาดมืดแล้วที่นี่อยู่ในหุบเขาที่รกร้างว่างเปล่านอกเมืองหลวง รถม้ามิสามารถเข้าไปมิ คนที่มาที่นี่ล้วนเดินเท้ามารอบด้านมืดมิดจนมองมิเห็นสิ่งใดบรรยากาศค่อนข้างวังเวงแต่เมื่อเดินผ่านหน้าผาเข้าไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือแสงไฟสว
มินานข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงทว่านายท่านมู่มิได้กล่าวโทษนักบวชระดับสูง เพราะมู่หยวนหยวนทิ้งจดหมายไว้แล้วจากไปเองเนื่องจากวันนี้อวี๋โหรวออกจากวังพอดี ทั้งสองจึงไปกินอาหารด้วยกันที่โรงเตี๊ยมบังเอิญเห็นประกาศตามหาวางอยู่บนโต๊ะ“หนึ่งแสนตำลึง นายท่านมู่ผู้นี้ช่างใจป้ำยิ่งนัก” อวี๋โหรวตกตะลึงกับเนื้อหาในประกาศลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเสียดาย “เขาสามารถเสนอเงินได้ถึงหนึ่งแสนตำลึง เหตุใดยังต้องส่งมู่หยวนหยวนเข้าวัง แม้ว่าเขาจะส่งนางเข้าวังได้ แต่อาจจะมิได้มากถึงหนึ่งแสนตำลึงด้วยซ้ำ”อวี๋โหรวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดว่านายท่านมู่คงต้องการชื่อเสียงเกียรติยศ และต้องการเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ แต่ก็มิพอใจที่จะอยู่ในอันดับสุดท้าย”ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น จู่ ๆ อวี๋โหรวก็เกิดความสับสนขึ้นมา จึงถามว่า “แต่เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่ามู่หยวนหยวนจะนำชื่อเสียงเกียรติยศมาให้เขาได้?”ลั่วชิงยวนก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้บางทีตระกูลมู่อาจจะมีความลับอื่นซ่อนไว้ก็เป็นได้“ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็ไปหาบัวถวายกัน ข้าได้ข่าวมาว่ามีคนครอบครองบัวถวาย”“มิได้นำมาขายอย่างเปิดเผย
คืนต่อมา ลั่วชิงยวนนำรถม้ามาจอดรออยู่มิไกลจากหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลมู่ตามเวลา แล้วกำชับโฉวสือชีให้ดูแลรถม้าจากนั้นก็แอบเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลมู่เพื่อรับมู่หยวนหยวนมู่หยวนหยวนได้ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ ในจดหมายเขียนว่า นางมิต้องการอยู่ในคฤหาสน์อีกต่อไป และแสดงเจตจำนงว่ามิต้องการเข้าวังด้วยจากนั้นก็แอบมารอคอยลั่วชิงยวนอยู่ตรงมุมกำแพงอย่างเงียบเชียบเนื่องจากคำพูดของเวินซินถงที่บอกแก่นายท่านมู่ นายท่านมู่จึงให้ความสำคัญอย่างมาก เขาเพิ่มผู้คุ้มกันมากมายที่ด้านนอกเรือนของมู่หยวนหยวนลั่วชิงยวนใช้เวลาอยู่สักพักจึงสามารถแอบเข้าไปยังมุมด้านนอกเรือนของมู่หยวนหยวนได้“ท่านมาแล้ว” มู่หยวนหยวนตื่นเต้นยิ่งนักลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบ จากนั้นมอบอาภรณ์บุรุษให้นาง “รีบใส่เสีย ข้าจะได้พาเจ้าไป”มู่หยวนหยวนรีบเปลี่ยนชุดทันใดลั่วชิงยวนพานางปีนข้ามกำแพงท่ามกลางความมืด หลบหลีกผู้คุ้มกันที่เดินตรวจตรา แล้วหลบหนีออกจากคฤหาสน์ตระกูลมู่จนกระทั่งมาถึงมุมถนนก็รีบขึ้นรถม้ามู่หยวนหยวนยังคงมองกลับไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวไปยังประตูเมือง ในใจของนางก็บังเกิดความคาดหวัง“พวกเราจะออกไปได้แ
“เรื่องอันใด?”ลั่วชิงยวนเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ “บอกภายนอกไปว่าเจ้าแก้ไขปัญหาของตระกูลมู่ครั้งนี้ได้ และยังแก้ปัญหาเรื่องสำนักเทียนฉยงได้ด้วย ข้าจะมิแย่งความดีความชอบกับเจ้า”“และจะมิเปิดเผยความจริงให้คนอื่นรู้”เมื่อได้ยินดังนั้น เวินซินถงก็ตกตะลึง พลันมองนางด้วยความมิอยากจะเชื่อลั่วชิงยวนกล่าวต่อ “แต่ข้าต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ”“ข้าต้องการส่งมู่หยวนหยวนออกจากเมืองหลวง ออกไปจากตระกูลมู่”“นี่เป็นสิ่งที่ข้ารับปากนางไว้”“เลยต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”เมื่อเวินซินถงได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งตกตะลึง จากนั้นก็ถามว่า “นี่คือวิธีที่ท่านแก้ปัญหาเรื่องสำนักเทียนฉยงหรือ? ท่านทราบความจริงแล้วหรือ?”นี่แหละคือวิถีของศิษย์พี่น่าเสียดายที่นางไม่มีความสามารถแข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ จึงทำให้นางมีไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้“ใช่” ลั่วชิงยวนมิได้ปิดบัง“บางครั้งการใช้กำลังก็มิสามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าตนเองจะชนะหรือพ่ายแพ้”“โดยเฉพาะกับสิ่งที่ร้ายกาจอย่างสำนักเทียนฉยง หากถูกพวกมันตามรังควานก็ต้องเจอไปชั่วชีวิต และการรับมือกับพวกมันจะยิ่งยากขึ้น”ลั่วชิงยวนกำชั
เวินซินถงมองคนตรงหน้าด้วยความตกใจร่างทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด“เจ้ารู้ได้อย่างไร...”ดวงตาลั่วชิงยวนฉายแววเย็นชา “เข้าไปคุยกัน”เวินซินถงตะลึงงัน มือที่กำลังบีบคอลั่วชิงยวนค่อย ๆ คลายออกจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนลั่วชิงยวนก็พลิกตัวลุกขึ้นตามเซี่ยหลิงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้ว มองไปยังเวินซินถง “ท่านนักบวชระดับสูง!”เขาต้องการเตือนท่านนักบวชระดับสูงว่าอย่าใจอ่อนเวินซินถงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ามีเรื่องจะถามนาง”“พวกเจ้ามิต้องตามมา”กล่าวจบ นางก็พาลั่วชิงยวนเข้าไปในห้องเพียงลำพังหลังจากปิดประตูแล้วเวินซินถงก็มองนางด้วยสายตาหวาดระแวง “เจ้าได้ยินชื่ออาถังมาจากที่ใด”นี่เป็นชื่อที่ศิษย์พี่ตั้งให้นาง มีเพียงศิษย์พี่และท่านอาจารย์เท่านั้นที่เคยเรียกนางด้วยชื่อนี้แล้วลั่วชิงยวนได้ยินมาจากที่ใด?ลั่วชิงยวนตัดสินใจตั้งแต่วินาทีที่เอ่ยชื่อนี้ออกมานางมิอาจควบคุมเวินซินถงได้จริง ๆ แต่ลั่วเหลาทำได้!วันนี้เวินซินถงตั้งใจจะสังหารนาง จนถึงกับสังหารคนไปก่อนแล้วสองชีวิตแต่นางมิเพียงแต่จะตายมิได้เท่านั้น ยังต้องทำตามที่รับปากฉีหงและมู่หยวนหยวนไว้ให้สำเร็จด้วยมีเพียงต้
“ลั่วชิงยวน!” เวินซินถงเดือดดาลยิ่งนักนางยกมือขึ้นตบลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนถอยหลังในทันที แล้วยกมือขึ้นป้องกัน ต่อสู้กับเวินซินถงหลายกระบวนท่าทันใดนั้นเซี่ยหลิงก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าผู้คุ้มกันที่เข้ามาล้อมไว้ลั่วชิงยวนต่อต้านอย่างสุดกำลัง ต่อสู้กันอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ถูกเวินซินถงกดไหล่จับตัวไว้ได้อย่างแน่นหนา“วันนี้มิว่าอย่างไรข้าก็จะมิปล่อยเจ้าไป! ต่อให้เฉินชีมาก็ไร้ประโยชน์!”“เซี่ยหลิง ลงมือ!”เวินซินถงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาลั่วชิงยวนหัวเราะเยาะ “ปากท่านนักบวชระดับสูงบอกว่ามิกลัวเฉินชี เหตุใดจึงให้เซี่ยหลิงลงมือ หากข้าตาย เฉินชีจะได้มาแก้แค้นเซี่ยหลิง มิแก้แค้นท่านใช่หรือไม่?”คำพูดนี้ทำให้สีหน้าของเวินซินถงและเซี่ยหลิงแปรเปลี่ยนไปเวินซินถงเหมือนถูกเปิดโปง คว้าคอนางอย่างแรงด้วยความเดือดดาล “ดี หากเจ้าอยากตายด้วยน้ำมือข้า ข้าก็จะสนองให้!”เวินซินถงบีบคอลั่วชิงยวนอย่างแรงเส้นเลือดที่หน้าผากลั่วชิงยวนปูดโปน ความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางตาแดงก่ำนางจับมือของเวินซินถงไว้แน่น แล้วกัดฟันออกแรงเหวี่ยงเวินซินถงลงกับพื้นลั่วชิงยวนมิลังเล กระโจนเข้าไปคร่อมเวิ
ลั่วชิงยวนไปหาโฉวสือชี ให้เขาจัดเตรียมรถม้าและสิ่งของจำเป็นสำหรับการเดินทางอีกทั้งยังวางแผนเส้นทาง หลังจากออกจากเมืองหลวงแล้วควรไปที่ใด จึงจะสามารถหลบหนีการติดตามของคนตระกูลมู่ได้ดีที่สุดหลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับไปยังบ้านตระกูลมู่และตอนนี้ผู้ที่รอคอยอยู่ในเรือนก็คือเวินซินถงและเซี่ยหลิงอีกทั้งยังมีผู้คุ้มกันอีกหลายสิบคนเวินซินถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอ่ยปากอย่างเย็นชาด้วยท่าทางทรงอำนาจ “ถึงเวลาที่จะต้องทำตามสัญญาแล้ว”ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย มิเข้าใจความหมายของเวินซินถงนางกล่าวอย่างเย็นชา “ในเมื่อท่านนักบวชระดับสูงมาถึงที่นี่แล้ว ก็น่าจะเห็นว่าปัญหาของตระกูลมู่ได้รับการแก้ไขแล้ว”“ไม่มีคนของสำนักเทียนฉยงแล้ว”“หากจะต้องทำตามสัญญา ก็ควรเป็นท่านนักบวชระดับสูงที่ต้องทำตาม”“เหตุใดจึงทำราวกับจะลงโทษข้า?”เวินซินถงลุกขึ้นจากเก้าอี้ หัวเราะเบา ๆ “ใช่ สำนักเทียนฉยงไม่มีแล้ว”“แต่ข้าเป็นคนทำ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไร?”เวินซินถงยกยิ้มอย่างเย็นชา สายตาเย็นเยียบมองลั่วชิงยวน ในดวงตายังมีรอยยิ้มเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงนางคาดมิถึงว่าเวินซินถงจะ
“อีกอย่างคือสำนักเทียนฉยงก็ไม่ใช่พวกดีอะไร หากมู่หยวนหยวนข้องแวะกับสำนักเทียนฉยงจะมีจุดจบเช่นไร เจ้าต้องคิดให้ดี”ลั่วชิงยวนอยากช่วยเหลือพวกเขาแต่สำหรับสถานการณ์ของฉีหง นางก็ไร้ความสามารถเขาใช้ตัวเขาเองเป็นเครื่องสังเวย หลอมรวมเข้ากับวงแหวนแห่งเวท เมื่อออกจากสภาพแวดล้อมนี้ พลังก็จะอ่อนแอลงมากมู่หยวนหยวนกลับยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าสามารถปกป้องตนเองได้”“และจะปกป้องเขาด้วย”เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่และเปี่ยมด้วยความหวังของมู่หยวนหยวน ลั่วชิงยวนก็สะเทือนใจบางทีเพียงแค่ได้อยู่กับคนที่รัก อุปสรรคใด ๆ ก็มิน่าหวาดกลัวนี่ทำให้ลั่วชิงยวนเจ็บปวดใจอดมิได้ที่จะนึกถึงฟู่เฉินหวนสุดท้ายแล้วเขากับนางก็ดูเหมือนจะไม่มีจุดจบที่ดี หรือว่ามิควรพบเจอกันตั้งแต่แรกเริ่มกันแน่ ช่างเป็นโชคชะตาที่เล่นตลกมิให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน แต่กลับจัดให้พวกเขาได้พบกันเมื่อได้สติ ลั่วชิงยวนก็ข่มความเจ็บปวดในใจ และกล่าวกับฉีหง “เจ้าต้องออกจากคฤหาสน์ตระกูลมู่ไปก่อนสองวัน เพื่อให้แน่ใจว่าที่นี่ไม่มีสิ่งชั่วร้ายอยู่ที่นี่อีก”“ข้าจะให้คนไปเตรียมรถม้าและอาหาร สองวันให้หลัง ข้าจะส่งมู่หยวนหยวนออกจากเมือง”“เส้นทาง
“ข้ามิได้เห็นแก่ตัวแล้วต้องการครอบครองนางแต่เพียงผู้เดียว และมิได้มิคำนึงถึงชื่อเสียงของนางแล้วจะพานางหนีตามไป”“แต่เป็นเพราะหวงกุ้ยเฟยในวังได้ส่งมือสังหารมาลอบสังหารนางตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว”“แต่ถึงแม้บิดาของนางจะเห็นหลักฐานที่ข้ามอบให้ก็ยังมิยอมเชื่อ ยืนกรานที่จะให้นางเข้าวังไปเสี่ยงชีวิต เพื่อแสวงหาสิ่งที่เลื่อนลอยเพื่อตระกูล”ลั่วชิงยวนจดสิ่งที่ฉีหงพูดลงบนกระดาษทีละคำขณะที่ให้มู่หยวนหยวนดูก็ถามว่า “เจ้าเป็นคนของสำนักเทียนฉยงหรือ?”ฉีหงตอบ “มิใช่”“ข้าถูกบีบคั้นจนไร้ทางออก สุดท้ายจึงจำต้องเข้าร่วมสำนักเทียนฉยง มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องหยวนหยวนได้”“คนที่ข้าสังหาร ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์สักคน”“พวกเขาปลอมแปลงข่าวสาร หลอกลวงหยวนหยวนและหลอกลวงข้า”“เมื่อวางวงแหวนแห่งเวทแล้ว หยวนหยวนออกไปมิได้ พวกเขาก็พยายามหาทางนำหยวนหยวนออกไปเพื่อส่งเข้าวัง”“ข้าทำได้เพียงเท่านี้ สังหารคนตระกูลมู่ให้สิ้น หยวนหยวนจึงจะเป็นอิสระ”“แต่ข้าคาดมิถึงว่า พวกเขาจะเชิญนักบวชระดับสูงมา”“นักบวชระดับสูงไร้ความสามารถ กลับเป็นเจ้าที่มองทะลุภาพลวงตาได้!”เมื่อกล่าวจบ ฉีหงก็ข่มขู่ “หากเจ้าคิด