เมื่อเดินเข้าไปในประตูหิน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือห้องโถงขนาดใหญ่ มิได้โอ่อ่าสง่างามดังท้องพระโรงก่อนหน้านี้เครื่องเรือนภายในที่แห่งนี้คล้ายกับห้องโถงสำหรับต้อนรับแขกของบ้านทั่วไป การตกแต่งจัดวางทุกอย่างล้วนแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นบนผนังมีภาพเขียนและตัวอักษะแขวนไว้ บนโต๊ะมีแจกันและกระถางต้นไม้หลังฉากกั้นลายดอกไม้และนกมีโต๊ะเตี้ยและกระถางธูปวางหันหน้าไปทางหน้าต่าง ด้านนอกเป็นทุ่งหญ้าที่มีดอกไม้และพืชพรรณส่งกลิ่นหอมอยู่ภายนอกปรากฏภาพหนึ่งขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง จิบสุราอุ่นพลางชมหิมะความงดงามในใต้หล้ามนุษย์คงไม่มีสิ่งใดเกินกว่านี้แล้วอีกด้านหนึ่งยังมีพิณโบราณวางพิงกำแพงไว้ มีอาวุธตั้งเรียงรายทั้งดาบ หอก กระบี่ ง้าว สตรีบรรเลงพิณ บุรุษฝึกกระบี่ ซึ่งเป็นดั่งภาพเทพเซียนคู่หนึ่งน่าเสียดายที่สายพิณของพิณโบราณนั้นขาดสะบั้นลั่วชิงยวนค่อย ๆ ลูบพิณโบราณ ในใจกลับเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมา“ด้านในนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตมาก ไปเดินหากันเถิดว่ามีอะไรให้กินหรือไม่”หงไห่กล่าวพลางเดินไปยังด้านหลังคนอื่นก็เดินตามเขาเข้าไปยังด้านหลังเมื่อออกไปแล้ว ทิวท
“นี่คือของเจ้า ส่วนนี่ของคนใบ้”“ยาถอนพิษและยาทาแผลภายนอกแตกต่างกัน อย่าได้สับสน!”หงไห่รับห่อยาไปด้วยรอยยิ้มจาง “ขอบคุณ!”ในชีวิตนี้นอกจากโฉวสือชีแล้วก็ยังไม่มีใครเคยดีกับเขาถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรกที่มีคนมอบยาให้เขาหงไห่รู้สึกดีใจ ถือห่อยาแล้วรีบร้อนไปยังห้องครัวลั่วชิงยวนและคนใบ้ยังจัดห้องตำรามิเสร็จ หงไห่ก็ทำอาหารเสร็จแล้วทั้งสี่คนล้อมวงนั่งอยู่ที่โต๊ะ สายตามองอาหารจานผักและน้ำแกงบนโต๊ะ แม้จะเรียบง่ายยิ่งแต่ก็รู้สึกว่าอร่อยเหลือเกินโดยเฉพาะข้าวสวยร้อน ๆ ทุกคนหิวโหยกันมาก กินข้าวกันไปคนละหลายชาม ในที่สุดก็อิ่มท้อง“ประเดี๋ยวข้ากับหงไห่จะหาดูว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีทางออกไปได้หรือไม่ พวกเรามิอาจอยู่ที่นี่ตลอดไปได้”โฉวสือชีกล่าวลั่วชิงยวนพยักหน้า “ไปหาดูก็ดี ต้องมีทางออกไปได้แน่นอน”“แล้วต้องระวังโหยวเซียงด้วย หากนางรู้จักที่นี่ดีจริง นางจะต้องกลับมาตามหาพวกเราอีกเป็นแน่”เดิมทีลั่วชิงยวนคิดว่าคงกำจัดโหยวเซียงไปได้แล้วแต่กลไกของประตูหินบานนั้น เมื่อนำมาเรียงกันกลับกลายเป็นอักษรตัวโหยวขึ้นมาทำเอาลั่วชิงยวนอดที่จะสงสัยฐานะของโหยวเซียงมิได้ นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผ
หัวใจของนางเต้นแรง เงาร่างดุร้าย ตาโปนดวงใหญ่ทำให้ลั่วชิงยวนจำได้ในทันทีฝูเหมิ่ง!ฝูเหมิ่งมาอีกแล้ว!คนใบ้พุ่งเข้ามาในทันใด ดึงลั่วชิงยวนไปหลบอยู่หลังชั้นตำราแล้วทำสัญญาณมือให้เงียบจากนั้นก็เป่าตะเกียงให้ดับลง แล้วหลบไปอยู่อีกฝั่งประตูห้องส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แล้วเปิดออกชายที่ใบหน้าหายไปครึ่งซีกปรากฏกายที่หน้าประตูด้วยท่าทางดุร้ายลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อมองแล้วก็พบว่าเป็นใบหน้าอีกใบหน้าจริง ๆ ที่ปรากฏในคันฉ่องสุริยันจันทรานั่นคือใบหน้าของชายคนนั้นที่นางเห็นในคืนนั้นแต่ในบางครั้งก็จะมีใบหน้าของฝูเหมิ่งปรากฏขึ้นมาด้วยเพียงแต่วิญญาณของฝูเหมิ่งมิแข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย ร่างกายของเขาเกือบจะถูกอีกฝ่ายเข้ายึดครองไปหมดแล้วนางหยิบกระบี่ห้วงสวรรค์ออกมากรีดปลายนิ้ว แล้วเริ่มวาดอักขระกระบี่ธรรมดามิอาจรับมือเขาได้แล้วทว่ายังวาดอักขระมิเสร็จดี จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นมาจากเหนือหัวของลั่วชิงยวนตามมาด้วยวัตถุหนักที่กำลังพุ่งเข้าหาเมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่น่าสยดสยองและดุร้ายลั่วชิงยวนใจหายวูบทว่าฝูเหมิ่งยังมิทันได้แตะต้องตัวน
แรงมหาศาลซัดกระแทกฝูเหมิ่งออกไป ช่วยคนใบ้ไว้ได้สำเร็จนางถือกระบี่ห้วงสวรรค์แน่นบุกประชิดเข้าไปอีกครั้ง ฟาดฟันฝูเหมิ่งจนมิอาจต้านทานได้อานุภาพช่างรุนแรงยิ่งนัก ราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกจองจำมานับพันปี ในที่สุดก็ได้ลิ้มรสเลือดและมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไปแม้กระทั่งลั่วชิงยวนยังสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตและความเกลียดชังอันรุนแรงในใจของสตรีผู้นั้นสุดท้ายฝูเหมิ่งก็พ่ายแพ้และหนีหายไปเดิมทีนางตั้งใจจะไล่ตาม แต่ร่างกายของลั่วชิงยวนใกล้จะรับมิไหวแล้วยันต์แผ่นนั้นบีบบังคับให้สตรีชุดแดงผู้นั้นออกไปจากร่างของลั่วชิงยวนในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนก็ทรุดเข่าลงกับพื้นแล้วกระอักเลือดออกมาคำโตเบื้องหน้าของนางคือชุดสีแดงสดที่ปลิวไหวตามลมยามราตรีในเวลานี้เอง ลั่วชิงยวนก็สังเกตเห็นว่า รองเท้าปักลายสีแดงของนางเหมือนเป็นรองเท้าที่สวมในวันแต่งงานเสียงที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มดังขึ้น “อย่าลืมสิ่งที่เจ้าสัญญาไว้กับข้า”“ข้าจะกลับมาหาเจ้าอีก”ลั่วชิงยวนเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าซีดเผือดภายใต้แสงจันทร์และผมยาวดำขลับสยายลงบนบ่าในชั่วขณะนั้น ลั่วชิงยวนกลับรู้สึกว่าคุ้นหน้าอยู่บ้างความกล้าหาญที่แฝงอยู่บนใบหน้าของนา
ลั่วชิงยวนก็รับรู้ได้เช่นกันว่าร่างของเขาแข็งทื่อไป นางจึงรีบกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าบาดแผลของเจ้าสาหัสมาก ข้าเพียงทายารักษาบาดแผลให้เจ้าเท่านั้น”คนใบ้พยักหน้าเขานั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ ทำท่าทีสงบนิ่ง แต่ก็อดมิได้ที่จะกำแขนเสื้อแน่นลั่วชิงยวนขยับเข้าไปใกล้ ตั้งใจจะเช็ดตัวและทายาให้เขา ในใจนางตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ร่างกายของเขามีแต่บาดแผลสาหัส มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงผ่ายผอมเช่นนี้ราวกับเป็นโครงกระดูก เห็นไหปลาร้าและซี่โครงชัดเจนยิ่ง ดูแล้วน่าสงสารนักฟู่เฉินหวนหลุบตามองสตรีที่อยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมจางจากเส้นผมของนางโชยเข้าสู่ปลายจมูก เขามองคิ้วขมวดและสีหน้าวิตกกังวลของนางเมื่อใกล้ชิดเช่นนี้ เขาปรารถนาอยากจะกอดนางไว้เหลือเกินแต่เขาทำมิได้เขาพยายามควบคุมตนเองให้สงบอย่างหนัก แม้กระทั่งควบคุมลมหายใจให้คงที่หลังจากที่ลั่วชิงยวนพันแผลเสร็จก็ไปต้มยามาให้แล้ววางไว้ข้าง ๆ เพื่อรอให้อุ่นลงในขณะที่อากาศยามราตรีค่อนข้างดี ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะหันไปถามเขาว่า “เหตุใดบนร่างกายเจ้าจึงมีบาดแผลมากมายเพียงนี้?”คนใบ้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนทำท่าขยับนิ้วบอกว่าจะเขียนแต่ไม่มีกระดาษและพู่กัน
ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากขึ้นเขามา คนใบ้ก็ช่วยชีวิตนางไว้หลายครั้งแน่นอนว่านางปรารถนาให้คนใบ้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นแต่คนใบ้กลับส่ายหน้า แล้วเขียนตอบว่า เจ้าขอแต่สิ่งที่เจ้าต้องการเถิด มิต้องกังวลเรื่องข้า“มิกังวลหรอก ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากัน” ลั่วชิงยวนมิได้กล่าวต่อ เพราะดูท่าทางแล้วคนใบ้มิค่อยเต็มใจนักสายลมยามราตรีพัดมาพร้อมกับความหนาวเย็นที่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา“กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะสำรวจในห้องตำราต่อว่ายังมีเบาะแสอื่นใดหรือไม่”จากนั้นลั่วชิงยวนก็กลับไปยังห้องตำราแต่คนใบ้กลับมิได้กลับเข้าไปในห้อง เขาเฝ้ายามอยู่นอกห้องตำรา......ในความมืดมิด ฝูเหมิ่งวิ่งหนีสุดชีวิตด้านหลังของเขามีร่างในชุดสีแดงที่ยังคงไล่ตามติดเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกของสตรีชุดแดงดังขึ้น “จิ้งเฉิง เจ้าจะหนีไปที่ใด บัดนี้เพิ่งจะกลัวหรือ มิสายไปหน่อยหรืออย่างไร”ฝูเหมิ่งหันหลังกลับไปมองด้วยความหวาดกลัว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา และยังคงวิ่งหนีหลบหลีกไปเรื่อย ๆขณะที่หงไห่และโฉวสือชีกำลังสำรวจหาทางในป่า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก็ตกใจรีบหลบเข้าไปในพุ่มไม้ทั้งสองมิกล้าส่งเสียงใดออกมาแล้วก็ได้เห็นฝูเหมิ
ลั่วชิงยวนสะดุ้งลุกขึ้นตื่นด้วยความตกใจ เห็นชุดสีแดงวูบผ่านทางช่องว่างหน้าต่างนางเดินไปเปิดประตู ก็เห็นหงไห่ถือดาบยาวเดินออกมาด้วยท่าทีดุดันลั่วชิงยวนปลอบ “ไม่มีอะไร มิใช่หลอนไปเองหรอกหรือ ไปพักเถิด”เดิมทีหงไห่ตั้งใจจะบอกว่าเขาเห็นเงาสีแดงจริง ๆ แต่เมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาจึงมิได้เอ่ยคำใดต่อจากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องเมื่อลั่วชิงยวนกลับเข้าไปที่ห้อง ก็เห็นสตรีชุดแดงผู้นั้นกำลังรอคอยนางอยู่ในห้อง“อวี๋ตันเฟิ่งหรือ?” ลั่วชิงยวนถามอย่างลองเชิงสตรีชุดแดงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าก็ฉลาดนี่”“เจ้าตายได้อย่างไร?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสนใจ ด้วยอยากรู้ว่าเหตุใดที่นี่จึงมีสภาพเช่นนี้ความเคียดแค้นผุดขึ้นมาในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่ง “ถูกคนที่ข้ารักที่สุดฆ่าตาย”“คนที่เจ้ารักที่สุดหรือ?” ลั่วชิงยวนนั่งลงด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตั้งใจจะฟังเรื่องราวของอวี๋ตันเฟิ่ง“เจ้าก็คงได้เห็นไปบ้าง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้าสร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้า”“จุดประสงค์แรกเริ่มคือ การรับคนที่ถูกระบุว่าเป็นทาส ข้ามิอาจเปลี่ยนแปลงใต้หล้าอยุติธรรมผืนนี้ได้ แต่ข้าสามารถทำทุกวิถี
จู่ ๆ ใบหน้าของนางพลันกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เส้นเลือดฝอยจำนวนมากแผ่ขยายไปบนใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดชวนสยองขวัญปูดโปนออกมาใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวยิ่งนักลั่วชิงยวนรีบขว้างยันต์แผ่นหนึ่งออกไปผลักอวี๋ตันเฟิ่งออกไปจนนางกระเด็นไปติดผนังดูจากท่าทางแล้ว นางเกรงว่าอยู่ดี ๆ อวี๋ตันเฟิ่งอาจควบคุมตนเองมิได้และทำร้ายผู้คน“หากเจ้าคิดมิออก ข้าจะช่วยเจ้าเอง”ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมาแล้วสร้างวงเวทกักขังอวี๋ตันเฟิ่งไว้นางค่อย ๆ หลับตาลงภาพในอดีตอันงดงามของเมืองแห่งภูตผีผุดขึ้นเบื้องหน้าเจ้าเมืองจัดงานสมรสในยามนั้นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นระหว่างหน้าผาอลังการและสง่างามยิ่งนัก มิได้มีบรรยากาศมืดมนแต่อย่างใดมีอาคารอยู่ทั้งสองข้างของสะพานเหล็ก ถนนหนทางกว้างขวาง ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี แพรพรรณสีแดงปลิวไสวเกี้ยวแต่งงานถูกหามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง บุรุษที่ขี่ม้าคือโหยวจิ้งเฉิงสตรีในเกี้ยวมีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกใส มีท่าทางองอาจสง่างาม แต่ก็มิอาจซ่อนเร้นความเขินอายของความเป็นสตรีได้นางเต็มไปด้วยความสุขในวันนี้ที่ได้แต่งงาน ทว่าในคืนส่งตัว
ทั้งสามรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในมิช้า โหยวเซียงและต่งอวิ๋นซิ่วก็นำผู้คนจำนวนมากมาถึงที่นี่อย่างรีบร้อนแต่เมื่อทั้งคณะพุ่งเข้าไปในถ้ำ กลับพบว่าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!สีหน้าของต่งอวิ๋นซิ่วเปลี่ยนไป นางตวาดเสียงดัง “ตามหาให้ทั่ว!”“ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะยังมีใครที่เดินเหินไปมาอย่างอิสระในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้!”ยามนี้ลั่วชิงยวนมีแผนที่อยู่ในมือ นางสามารถเดินไปไหนมาไหนในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้อย่างอิสระจริง ๆนางถึงขนาดรู้ทุกซอกทุกมุมในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ดีกว่าต่งอวิ๋นซิ่วและพรรคพวกด้วยซ้ำเพราะนั่นคือแผนที่ที่อวี๋ตันเฟิ่งวาดให้นาง ซึ่งละเอียดลออยิ่งส่วนพวกต่งอวิ๋นซิ่ว ท้ายที่สุดแล้วความทุ่มเทที่พวกนางมีต่อเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ย่อมมิอาจเทียบกับอวี๋ตันเฟิ่งได้ ความเข้าใจที่พวกนางมีจึงด้อยกว่าอวี๋ตันเฟิ่งลั่วชิงยวนเดินตามแผนที่ มิได้วิ่งหนีเข้าไปในหน้าผาหากไปในเส้นทางนั้นก็อาจถูกตามทันได้ขณะที่วิ่งหนี ลั่วชิงยวนก็แหงนหน้ามองตามผนังหินไปด้วยในที่สุดก็พบทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งแม้จะสูงไปสักหน่อยแต่ทางขึ้นไปก็มิได้ชันมาก ปีนป่ายขึ้นไปก็ได้แล้ว“ปีนขึ้นไปทางนั้น!”เมื่อ
สิ่งที่อยู่ในโลงเริ่มสั่นไหวรุนแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น และโลงศพก็ระเบิดออกในที่สุดทันใดนั้น ศพชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นมาบีบคอฝูเหมิ่งไว้สิ่งที่เป็นกึ่งคนกึ่งผีทั้งสองเริ่มต่อสู้กันลั่วชิงยวนสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่า ชายคนนั้นก็ดุร้ายเช่นกันและเป็นสิ่งที่อันตรายมากทั้งสองเข้าโรมรันต่อสู้กันอย่างดุเดือดเนื่องจากศพชายคนนั้นฉุดรั้งฝูเหมิ่งไว้ ลั่วชิงยวนจึงหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมาสังเกตการณ์ในถ้ำแห่งนี้อย่างเงียบ ๆแท้จริงแล้วที่นี่คือหนึ่งในจุดรวมพลังศพของอวี๋ตันเฟิ่งก็ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่มีทางผิดพลาดแน่แต่ถ้ำแห่งนี้มีขนาดเล็กเพียงเท่านี้ มองปราดเดียวก็เห็นทั่วแล้ว ไม่มีที่ให้เข้าไปลึกกว่านี้แล้วลั่วชิงยวนถือเข็มทิศมองอยู่นาน และทันใดนั้นดวงตาของนางก็พลันเป็นประกายใต้พื้นถ้ำ!เมื่อมองไปยังใต้โลงศพก็พบว่าเป็นจานกลมขนาดใหญ่ น่าจะขยับได้เมื่อคิดได้เช่นนั้น ลั่วชิงยวนก็เริ่มค้นหาตัวไขกลไก ในที่สุดสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่รูปปั้นหินบนผนัง“พวกเจ้าช่วยคุ้มกันข้าหน่อย!”ลั่วชิงยวนหยิบเชือกออกมาคล้องที่เอวพร้อมมัดไว้ก่อนจะส่งปลายเชือกให้อาถู่และโฉวสือชีถือไว้จากนั้นนางก็กระโจนไ
โฉวสือชีชะงักไปครู่หนึ่ง “มีทางลงไปจากหน้าผาด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าหลังจากที่ทั้งสามพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าลงจากเขาไปเมื่อเดินไปได้ประมาณหนึ่งชั่วยาม ลั่วชิงยวนก็พาพวกเขามาถึงเชิงผา ที่นี่มีหน้าผาสูงชันทั้งสองด้านและด้านล่างเป็นลำธารตื้น ๆ สายหนึ่งพวกเขาก้าวเท้าไปตามลำธาร เดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆที่นี่อากาศหนาวเย็นจัด หนาวจนมือเท้าชาเลยทีเดียวทางเดินบางครั้งก็กว้าง บางครั้งก็แคบ แสงสว่างบางครั้งก็สว่างจ้า บางครั้งก็สลัวเดินไปนานมาก ในที่สุดด้านหน้าก็ปรากฏร่างหนึ่งศพของหงไห่นั่นเองเมื่อตกลงมาจากที่สูงเช่นนั้นจึงมิเหลือแม้แต่ซากศพที่สมบูรณ์...ลั่วชิงยวนหดหู่ใจ หยิบยันต์รวมวิญญาณออกมาแล้วนำขวดออกมาบรรจุวิญญาณของหงไห่แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าโฉวสือชีและคนใบ้ค้นบริเวณนี้มาครู่หนึ่งแล้วเมื่อกลับมาถึง ทั้งสามก็สบตากัน สีหน้าหนักอึ้งไปตามกัน“ฝูเหมิ่งยังมิตาย”พวกเขามิพบศพของฝูเหมิ่งเรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของลั่วชิงยวนอยู่แล้ว เพราะท้ายที่สุด ในร่างของฝูเหมิ่งในตอนนี้คือโหยวจิ้งเฉิงแต่เมื่อตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น ร่างกายของฝูเหมิ่งก็น่าจะได้ร
ลั่วชิงยวนรีบเงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏอยู่เหนือศีรษะของนาง!มิว่าจะเป็นฝูเหมิ่งหรือโหยวจิ้งเฉิงที่อยู่ในร่างของฝูเหมิ่งล้วนจ้องไปที่ลั่วชิงยวนเป้าหมายของพวกเขาคือลั่วชิงยวนมาโดยตลอด!ฝูเหมิ่งแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมกระโจนเข้ามาทันใดนั้นเอง หงไห่ก็ตัดเชือกที่เอวทิ้งแล้วพุ่งตัวกระโจนเข้าใส่ขณะที่เขาหลุดออกจากหน้าผา ลั่วชิงยวนตกใจจนหน้าซีดเผือดจากนั้นก็เห็นหงไห่คว้าตัวฝูเหมิ่งไว้ ทั้งสองร่วงลงจากหน้าผาไปพร้อมกันลั่วชิงยวนตาไวมือไว รีบคว้าเชือกที่ผูกเอวหงไห่ไว้อีกครั้ง แต่แรงของนางกลับฉุดพวกเขาไว้มิได้นางจึงพันเชือกไว้รอบข้อมือเชือกรัดจนข้อมือนางขาวซีดและฝ่ามือถลอกคนใบ้รีบเข้ามาช่วยดึงลั่วชิงยวนไว้ เกรงว่านางจะถูกฉุดกระชากลงไปด้วยหงไห่กอดฝูเหมิ่งไว้แน่น ส่วนฝูเหมิ่งก็กัดแทะไหล่ของหงไห่อย่างโหดเหี้ยมเลือดสาดกระเซ็น เศษเนื้อชิ้นแล้วชิ้นเล่าตกลงไปในหุบเหวลั่วชิงยวนกัดฟันแน่น “เจ้าจงอดทนไว้!”หงไห่ทนความเจ็บปวดอย่างสุดกำลัง บังคับฝูเหมิ่งไว้ให้ได้“ปล่อย! พวกเจ้าฉุดข้าไว้มิได้หรอก! พวกเจ้าจะถูกข้าดึงลงไปด้วย!”โฉวสือชีก็ขยับตัวอย่างกระวนกระวาย หม
โชคดีที่นางจับกริชไว้แน่นส่วนคนใบ้ที่อยู่ด้านหลังก็รีบคว้าแขนของนางไว้อย่างรวดเร็วแล้วช่วยพยุงนางไว้ลั่วชิงยวนยืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง รอดตายหวุดหวิดในใจของทุกคนตึงเครียดอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครเอ่ยคำใด ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนอื่น ๆ ตึงเครียดไปด้วย พวกเขาก้าวเท้าแต่ละก้าวบนหน้าผาอย่างเชื่องช้าแต่ดูเหมือนหนทางเบื้องหน้าจะไร้ที่สิ้นสุด มิรู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้เหยียบพื้นอย่างมั่นคงทันใดนั้นเอง หงไห่ที่ไต่นำหน้าก็หยุดนิ่งลั่วชิงยวนจำต้องหยุดตาม มิกล้าเข้าไปใกล้มากนัก เพราะก้อนหินที่เหยียบอยู่นั้นอาจรับน้ำหนักสองคนมิไหวเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ก้อนหินที่เหยียบอยู่พังลงพร้อมกัน พวกเขาจึงเว้นระยะห่างกันพอสมควร“มีกระไรหรือ?” ลั่วชิงยวนถามทันใดนั้นก็มีลมกระโชกแรงพัดมาจากเบื้องหน้า พร้อมกับกลิ่นอายอาฆาตลั่วชิงยวนขมวดคิ้วอันตรายที่มาจากเบื้องหน้าทำให้ลั่วชิงยวนกลั้นหายใจนางขยับเท้าไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วก็ได้เห็นภาพสยองชวนขนลุกบนหน้าผาเบื้องหน้า ฝูเหมิ่งกำลังเกาะติดอยู่ราวกับแมงมุม ซึ่งขวางทางของพวกเขาไว้พอดีที่แขนขาของเขามีกรงเล็บเหล็ก เหมือนกับที่ลั่วชิงยวนเคยเห็นบนร่างข
เมื่ออวี๋ตันเฟิ่งได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ข้าก็มิรู้เหมือนกัน…”“ข้าถูกกักขังอยู่ในภูเขาแห่งนี้นานแสนนาน เวลาผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว ข้ามิรู้เลยว่าบิดามารดาและพี่น้องของข้าเคยมาเยี่ยมเยือนข้าบ้างหรือไม่”“บางทีพวกเขาคงคิดว่าข้าเป็นลูกอกตัญญู ถอดชื่อข้าออกจากตระกูลไปนานแล้วกระมัง…”ท้ายที่สุดแล้ว ในยามนั้นนางก็หนีออกจากบ้านมาที่นี่แต่เพียงผู้เดียวบางทีครอบครัวอาจมิเคยรู้ด้วยซ้ำว่านางอยู่บนภูเขาแห่งนี้“ผ่านไปนานเพียงนี้แล้ว พวกเขาคงลืมข้าไปหมดแล้วกระมัง…”น้ำเสียงของอวี๋ตันเฟิ่งแฝงไปด้วยความเศร้าช่วงเวลากว่าสิบปีหลังความตาย นอกจากความแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็คงเหลือเพียงความคิดถึงที่มีต่อครอบครัวเมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็อดเห็นใจมิได้ “หากเรื่องนี้แก้ไขได้ ข้าจะลองดูว่าจะสามารถพาเจ้าลงจากเขาไปได้หรือไม่”“จริงหรือ? เจ้าจะพาข้าลงจากเขาได้จริง ๆ หรือ?” อวี๋ตันเฟิ่งกล่าวอย่างเหลือเชื่อนางรู้ว่าโหยวจิ้งเฉิงใช้วิธีการที่โหดเหี้ยมทารุณเพียงใด นางมิได้หวังว่าจะสามารถจากที่นี่ไปได้อีก“ข้ามิอาจรับประกันได้ คงทำได้เพียงพยายามอย่างสุดความสามา
นางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางมองไปยังอวี๋ตันเฟิ่งอวี๋ตันเฟิ่งค่อย ๆ สงบลง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวนั้นค่อย ๆ กลับสู่สภาพเดิม เส้นเลือดในดวงตาก็จางหายไปลั่วชิงยวนจึงปล่อยนางเป็นอิสระในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่งเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น จ้องมองลั่วชิงยวนมิวางตา“โหยวจิ้งเฉิงตายไปแล้ว ข้าต้องการให้เขาถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย “ตายแล้วหรือ? เขาตายได้อย่างไร?”อวี๋ตันเฟิ่งกล่าวว่า “เมื่อคืนคนที่อยู่ในร่างของชายคนนั้นคือโหยวจิ้งเฉิง!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ยิ่งประหลาดใจจากนั้นก็นึกถึงใบหน้าของโหยวจิ้งเฉิง และนึกถึงใบหน้าชายที่เห็นในร่างของฝูเหมิ่ง ก็อดมิได้ที่จะใจหายวูบแท้จริงแล้วคือโหยวจิ้งเฉิง!เพียงแต่อายุห่างกันประมาณสิบกว่าปีการปล่อยให้มีชีวิตอยู่ได้นานอีกสิบกว่าปีก็ถือว่าดีเกินไปสำหรับเขาแล้วลั่วชิงยวนพยักหน้าตอบตกลง “ไม่มีปัญหา”“เพียงแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาตายได้อย่างไร?”อวี๋ตันเฟิ่งตอบว่า “มิรู้”“เมื่อมิกี่วันที่ผ่านมาข้าเพิ่งถูกเจ้าปลดปล่อยออกมา และเพิ่งรู้ว่าเขาเองก็ตายไปแล้วและกลายเป็นเหมือนข้า”“น่าเสียดายที่ข้ามิอาจฆ่าเขาด้วยมือของข้าเอง
จู่ ๆ ใบหน้าของนางพลันกลายเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เส้นเลือดฝอยจำนวนมากแผ่ขยายไปบนใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดชวนสยองขวัญปูดโปนออกมาใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัวยิ่งนักลั่วชิงยวนรีบขว้างยันต์แผ่นหนึ่งออกไปผลักอวี๋ตันเฟิ่งออกไปจนนางกระเด็นไปติดผนังดูจากท่าทางแล้ว นางเกรงว่าอยู่ดี ๆ อวี๋ตันเฟิ่งอาจควบคุมตนเองมิได้และทำร้ายผู้คน“หากเจ้าคิดมิออก ข้าจะช่วยเจ้าเอง”ลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมาแล้วสร้างวงเวทกักขังอวี๋ตันเฟิ่งไว้นางค่อย ๆ หลับตาลงภาพในอดีตอันงดงามของเมืองแห่งภูตผีผุดขึ้นเบื้องหน้าเจ้าเมืองจัดงานสมรสในยามนั้นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นระหว่างหน้าผาอลังการและสง่างามยิ่งนัก มิได้มีบรรยากาศมืดมนแต่อย่างใดมีอาคารอยู่ทั้งสองข้างของสะพานเหล็ก ถนนหนทางกว้างขวาง ประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสี แพรพรรณสีแดงปลิวไสวเกี้ยวแต่งงานถูกหามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง บุรุษที่ขี่ม้าคือโหยวจิ้งเฉิงสตรีในเกี้ยวมีริมฝีปากแดงระเรื่อ ฟันขาวสะอาด ดวงตาสุกใส มีท่าทางองอาจสง่างาม แต่ก็มิอาจซ่อนเร้นความเขินอายของความเป็นสตรีได้นางเต็มไปด้วยความสุขในวันนี้ที่ได้แต่งงาน ทว่าในคืนส่งตัว
ลั่วชิงยวนสะดุ้งลุกขึ้นตื่นด้วยความตกใจ เห็นชุดสีแดงวูบผ่านทางช่องว่างหน้าต่างนางเดินไปเปิดประตู ก็เห็นหงไห่ถือดาบยาวเดินออกมาด้วยท่าทีดุดันลั่วชิงยวนปลอบ “ไม่มีอะไร มิใช่หลอนไปเองหรอกหรือ ไปพักเถิด”เดิมทีหงไห่ตั้งใจจะบอกว่าเขาเห็นเงาสีแดงจริง ๆ แต่เมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาจึงมิได้เอ่ยคำใดต่อจากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องเมื่อลั่วชิงยวนกลับเข้าไปที่ห้อง ก็เห็นสตรีชุดแดงผู้นั้นกำลังรอคอยนางอยู่ในห้อง“อวี๋ตันเฟิ่งหรือ?” ลั่วชิงยวนถามอย่างลองเชิงสตรีชุดแดงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าก็ฉลาดนี่”“เจ้าตายได้อย่างไร?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความสนใจ ด้วยอยากรู้ว่าเหตุใดที่นี่จึงมีสภาพเช่นนี้ความเคียดแค้นผุดขึ้นมาในดวงตาของอวี๋ตันเฟิ่ง “ถูกคนที่ข้ารักที่สุดฆ่าตาย”“คนที่เจ้ารักที่สุดหรือ?” ลั่วชิงยวนนั่งลงด้วยท่าทางผ่อนคลาย ตั้งใจจะฟังเรื่องราวของอวี๋ตันเฟิ่ง“เจ้าก็คงได้เห็นไปบ้าง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ข้าสร้างขึ้นด้วยหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดของข้า”“จุดประสงค์แรกเริ่มคือ การรับคนที่ถูกระบุว่าเป็นทาส ข้ามิอาจเปลี่ยนแปลงใต้หล้าอยุติธรรมผืนนี้ได้ แต่ข้าสามารถทำทุกวิถี