แชร์

บทที่ 5

เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชา

ผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)]

ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่า

เฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนาง

มีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็น

หลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่ง

เพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจาย

ฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”

เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่าการกระทำของนางในยามนี้แตกต่างจากนิสัยของร่างเดิมอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนางจำเป็นจะต้องมีข้อแก้ตัวให้การกระทำของตัวเอง

ด้วยเหตุนี้เอง มือที่กุมมีดของนางจึงสั่นระริก ดวงตาที่เหลือบมองฮว๋าซื่อแฝงไว้ด้วยความขี้ขลาดและบ้าคลั่งอยู่หลายส่วน

นางเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “อ๋องฉู่บอกกับข้าว่าหากอยากมีชีวิตรอด ก็ต้องโหดเหี้ยมสักหน่อย”

“หากเขาเห็นข้าถูกใครรังแก เขาจะฆ่าข้าทิ้ง!”

หลินหว่านถิงที่นั่งถัดจากฮว๋าซื่อได้ยินประโยคนี้เข้าไป จู่ๆ ภาพที่เฉินเยี่ยนเซิงถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้มีดคว้านปากก็ลอยเข้ามาในสมองเสียอย่างนั้น

อีกอย่างวันนี้ก่อนที่จิ่งโม่เยี่ยจะจากไป เขาก็เดินไปกระซิบบางอย่างข้างหูของเฟิ่งชูอิ่งจริงๆ

หากเป็นจิ่งโม่เยี่ย ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะพูดอะไรทำนองนี้ออกมา

ฮว๋าซื่อตบโต๊ะเอกสารเล็กๆ ตรงหน้าแล้วพูดอย่างโมโห “เหลวไหลทั้งเพ อ๋องฉู่ไม่มีทางพูดอะไรแบบนั้นออกมาหรอก!

“คงเพราะเจ้าไม่อยากจะถูกสั่งสอนน่ะสิ ก็เลยหาข้ออ้างในการลงมือทำร้ายคน!”

เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “หากท่านป้าไม่เชื่อ ก็ลองไปถามท่านอ๋องฉู่สิเจ้าคะ”

ฮว๋าซื่อ “......”

คนทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าอ๋องฉู่ป่วยเป็นโรคประหลาด อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทำอะไรตามใจตัวเองทุกอย่าง ใครจะกล้าไปหาเรื่องเขากันละ

ฮว๋าซื่อพร้อมจะเล่นงานเฟิ่งชูอิ่งทุกวิถีทาง แต่กลับไม่กล้าไปร้องขอหลักฐานต่อหน้าอ๋องฉู่

นางเอ่ยเสียงเย็นชา “ชักจะกำเริบใหญ่แล้วนะ เป็นกุลสตรีในห้องหอ แต่กลับหนีตามผู้ชายทำตัวมั่วโลกีย์ ข้ามีฐานะเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดจะสั่งสอนเจ้าไม่ได้!

“เจ้าส่องกะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเถอะว่ายามนี้มีสภาพเช่นไร ชื่อเสียงจวนสกุลหลินของพวกเราถูกเจ้าทำลายหมดแล้ว!

“ยึดตามธรรมเนียมของจวนสกุลหลิน เจ้าจะต้องถูกลงโทษด้วยกฎตระกูล พวกเจ้าจงไปนำกฎตระกูลมา!”

ข้ารับใช้ที่อยู่ตรงประตูตอบรับคำสั่ง

กฎตระกูลของจวนสกุลหลินคือแส้ยาวที่มีหนามแหลมทั่วทั้งเส้น เพียงฟาดแส้ลงไปครั้งเดียว คนที่ถูกโบยก็จะเนื้อแตกเป็นแผลเหวอะหวะ

ฮว๋าซื่อไม่ได้บอกว่าจะโบยเฟิ่งชูอิ่งกี่ครั้ง หมายความว่านางต้องการโบยเฟิ่งชูอิ่งให้ถึงตาย

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเย็นชา “หยุดนะ!”

ข้ารับใช้หันขวับมามองนาง ส่วนนางก็มองสบตาฮว๋าซื่อ “ท่านป้า ข้าแซ่เฟิ่ง ไม่ได้แซ่หลิน กฎตระกูลของที่นี่ไม่อาจใช้กับข้าได้”

ฮว๋าซื่อชะงักไปเล็กน้อย นางรังแกเฟิ่งชูอิ่งจนเคยตัว จึงหลงลืมเรื่องนี้ไปนานมากแล้ว

หลินหว่านถิงที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยแทรก “แม้น้องสาวจะไม่ได้ใช้แซ่หลิน แต่หลายปีมานี้ก็อาศัยอยู่กินที่จวนสกุลหลินมาโดยตลอด จึงถือว่าเป็นคุณหนูสกุลหลินคนหนึ่ง

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น กฎตระกูลของจวนสกุลหลินก็เหมาะจะใช้กับเจ้าแล้วละ”

เพราะแผนการในวันนี้ล้มเหลว แล้วยังถูกจิ่งโม่เยี่ยทำให้หวาดกลัวจนเสียขวัญอีก นางจึงข่มกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ตั้งนานแล้ว

พอเห็นว่าเฟิ่งชูอิ่งกล้าโต้ตอบขัดขืน นางก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่

หากไม่ใช่เพราะในมือของเฟิ่งชูอิ่งถือมีดอยู่ นางคงปรี่เข้าไปตบสั่งสอนอีกฝ่ายแล้ว

ตอนนี้นางต้องการแค่เหตุผลดีๆ ในการลงมือเท่านั้น ก็จะกำจัดเฟิ่งชูอิ่งให้พ้นทางได้แล้ว

ฮว๋าซื่อเอ่ยสนับสนุน “ถิงเอ๋อร์กล่าวได้ถูกต้องแล้ว แม้เจ้าจะไม่ได้แซ่หลิน แต่เจ้าก็อยู่อาศัยในจวนสกุลหลิน นับเป็นคุณหนูคนหนึ่งของจวน ดังนั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของจวนสกุลหลิน!

“อีกอย่างเรื่องที่เจ้าทำลงไปในวันนี้ ก็สมควรจะถูกลงโทษด้วยกฎตระกูลด้วย”

นางหันมองข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ตรงประตู “มัวยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ? ยังไม่รีบไปเชิญกฎตระกูลมาอีก!”

ข้ารับใช้คนนั้นจึงตอบรับคำสั่งอีกครั้ง

เฟิ่งชูอิ่งมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว สองแม่ลูกจวนสกุลหลินอยากจะเอาชีวิตนางให้ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้เหตุผลใดมาแก้ต่างก็ไร้ประโยชน์

นางพลิ้วกายเบาๆ ก็โผล่มาอยู่ข้างหลินหว่านถิงได้ในพริบตา ก่อนจะยกมีดพาดคอของนางแล้วกล่าวว่า “ญาติผู้พี่อยากเห็นข้าตายขนาดนั้นเลยหรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตายไปก่อนเลยแล้วกัน!”

นางขยับมือวูบหนึ่ง ใช้คมมีดปาดคอของหลินหว่านถิงจนเป็นรอยแผล

แผลนั้นไม่ถือว่าลึกมาก แต่กลับเปิดหนังจนเห็นคอหอยของนาง ขอแค่นางปาดแรงกว่านี้อีกสักนิด คอหอยของหลินหว่านถิงก็คงขาดไปแล้ว

เท่าที่หลินหว่านถิงจำความได้ เฟิ่งชูอิ่งเป็นคนขี้ขลาดอ่อนแอเสมอมา

เรื่องใจกล้ามากที่สุดในชีวิตที่เฟิ่งชูอิ่งเคยทำ ก็คือหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงตามคำยุยงของนาง

ดังนั้นตอนที่เห็นเฟิ่งชูอิ่งลงไม้ลงมือกับสาวใช้อาวุโสทั้งสองคน หลินหว่านถิงจึงแค่รู้สึกประหลาดใจ ไม่ได้หวาดกลัว

เพราะนางเห็นชัดว่ามือของเฟิ่งชูอิ่งกำลังสั่น จึงคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งทำไมเพราะอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น

แต่นางคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าเอามีดมาจ่อคอนางเช่นนี้ แล้วมือของเฟิ่งชูอิ่งก็ยังสั่นอยู่เหมือนเดิมด้วย!

เรื่องที่หลินหว่านถิงหวาดกลัวมากที่สุดก็คือมือที่สั่นของเฟิ่งชูอิ่งเนี่ยแหละ เพราะทุกครั้งที่มือของเฟิ่งชูอิ่งสั่น คมมีดก็จะเฉือนคอของนางจนเป็นแผล

เวลาเพิ่งจะผ่านไปพักเดียว คอของนางกลับมีรอยมีดอยู่ถึงห้าหกรอยแล้ว!

รอยพวกนั้นเป็นแค่แผลตื้นๆ ก็จริง แต่นางกลัวว่าถ้ามือของเฟิ่งชูอิ่งยังไม่หยุดสั่น มีดในมือนางจะปาดโดนคอหอยนางน่ะสิ

นางกลัวจนแทบฉี่ราด “น้องสาว มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันสิ!”

ฮว๋าซื่อก็ร้อนใจไม่ต่างกัน “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้ารีบวางมีดลงเดี๋ยวนี้!”

เฟิ่งชูอิ่งสูดจมูกแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าถ้าเอามีดออกจากคอนางเมื่อไหร่ พวกเจ้าก็จะใช้กฎตระกูลลงโทษข้าจนตาย”

“ไหนๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว งั้นข้าจะขอลากพี่สาวไปตายด้วยกัน ตอนไปที่น้ำพุเหลือง[footnoteRef:2]จะได้มีคนเคียงข้าง ไม่รู้สึกเหงาอย่างไรละ” [2: หมายถึงโลกของคนตาย นรก]

ฮว๋าซื่อรีบร้อนเอ่ยว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ข้าแค่โมโหที่เจ้าทำตัวเหลวไหลไม่รู้ความ ก็เลยจะสั่งสอนเจ้าเหมือนบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้คิดจะฆ่าเจ้าเสียหน่อย!”

เฟิ่งชูอิ่งถอดปิ่นระย้าและปิ่นทองคำออกจากศีรษะของหลินหว่านถิง “ข้าไม่อาจเชื่อวาจาของท่านป้าได้

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านซื้อเครื่องประดับเงินทองให้พี่สาวตั้งมากมาย แต่กลับไม่เคยซื้อให้ข้าสักชิ้นเดียว

“แม้แต่เสื้อผ้า ข้าก็ยังใส่ของเก่าที่พี่สาวไม่ต้องการแล้ว ไหนจะต้องทำงานเหมือนพวกบ่าวรับใช้ในจวนอีก

“บนโลกใบนี้มีใครทำกับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองเหมือนอย่างที่ท่านทำบ้างล่ะ?”

ฮว๋าซื่อน้ำท่วมปาก

หลินชูเจิ้งผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเฟิ่งชูอิ่ง แหวกผ้าม่านเดินออกมาจากด้านใน ก่อนจะเงื้อมมือตบหน้าฮว๋าซื่อหนึ่งฉาด

เขาตะคอกเสียงแข็ง “นังผู้หญิงชั่วร้าย เจ้ากล้าละเลยชูอิ่งลับหลังข้างั้นรึ จิตสำนึกของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?”

เขากล่าวจบก็หันมาทางเฟิ่งชูอิ่งด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ชูอิ่ง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของลุงเอง ที่ผ่านมาลุงไม่รู้เลยว่าป้าของเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง”

“เจ้าวางใจเถอะ หากลุงยังอยู่ ในจวนสกุลหลินแห่งนี้ก็จะไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อีก”

เฟิ่งชูอิ่งมองไปทางหลินชูเจิ้ง นัยน์ตาพลันฉายแววเหยียดหยาม

เจ้าสารเลวคนนี้รู้เห็นเป็นใจกับฮว๋าซื่อมาโดยตลอด คนหนึ่งคอยกลั่นแกล้งรังแกนาง ส่วนอีกคนก็ทำหน้าที่ปลอบใจ

ตบหัวนางก่อนแล้วค่อยลูบหลัง หลอกเอาเงินจากร่างเดิมไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่

นางกล้าพูดเลยว่า หากวันนี้นางไม่เอามีดมาจ่อคอของหลินหว่านถิง เจ้าสารเลวคนนี้ก็จะหลบดูอยู่ในห้องด้านหลัง ไม่มีทางยอมโผล่หัวออกมา

สาเหตุที่นางลงมือในวันนี้ นอกจากเพื่อป้องกันตัวแล้ว ยังทำเพื่อบีบให้เขาโผล่หน้าออกมาด้วย

ในเมื่อเขาโผล่หัวออกมาแล้ว ก็เตรียมตัวถูกนางถลกหนังได้เลย!
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Babie Mynh
ภาษาดี อ่านแล้วไม่ขัดเลยชอบๆ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status