แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: ดอกถังร่วงหล่น
เฟิ่งชูอิ่งออกมายืนหน้าเรือนแล้วส่งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ไฟไหม้! รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”

ไฟลุกท่วมขนาดนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย

บ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลินวิ่งวุ่นช่วยกันดับไฟ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะเพลิงลุกไหม้หนักขนาดนี้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะลามไปไหม้เรือนอื่นๆ ในจวนได้

ระหว่างที่บ่าวช่วยกันดับไฟ เฟิ่งชูอิ่งก็แสร้งยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ “ไอ้หยา ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวของพวกท่านชีวิตอาภัพยิ่งนัก!”

“สมบัติที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ข้าล้วนอยู่ข้างในนั่น ต่อจากนี้ไปหากข้าคิดถึงพวกท่านขึ้นมา แค่ของจะดูต่างหน้าก็ยังไม่มีเลย!”

จากตอนแรกที่บ่าวรับใช้ในเรือนแค่มาช่วยกันดับไฟตามหน้าที่เฉยๆ หลังจากได้ยินคำพูดของนางเข้าไป แต่ละคนก็เร่งดับไฟกันอย่างขยันขันแข็งทันที

พวกเขาต่างวาดหวังว่าทรัพย์สินพวกนั้นจะยังไม่ถูกไฟไหม้เสียหาย หลังดับไฟเสร็จพวกเขาจะได้หยิบฉวยติดไม้ติดมือกลับไป

เพราะพวกเขาลงทุนลงแรงดับไฟกันอย่างเต็มที่ บางคนถึงขั้นได้รับแผลจากไฟไหม้

เฟิ่งชูอิ่งมองพวกเขาดับไฟ ร่ำไห้ฟูมฟายว่า “กำไลที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ข้า ป้ายหยกที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ข้า! พวกมันเป็นของดูต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่ข้ามีอยู่!”

ก่อนหน้านี้นางสำรวจอย่างละเอียดแล้ว เรือนโกโรโกโสของนางไม่มีของล้ำค่าอยู่แม้แต่อย่างเดียว

ตอนที่ร่างเดิมหนีตามผู้ชาย นางขนทรัพย์สินมีค่าติดตัวไปด้วยทั้งหมด แล้ววันนี้นางก็ยกของมีค่าทั้งหมดนั้นให้เจ้าอาวาสไปแล้ว เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้

ที่ตัวนางตอนนี้ นอกจากไข่มุกสองเม็ดที่แอบขโมยออกมากับตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่ได้จากหลินชูเจิ้ง ก็ไม่มีของมีค่าอื่นใดอีก

หลินชูเจิ้งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “อยู่ดีๆ ทำไมถึงเกิดไฟไหม้ได้ล่ะ?”

เฟิ่งชูอิ่งตอบเสียงสะอื้น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ พอกลับมาถึงเรือนข้าก็เตรียมตัวจะเข้านอน แล้วจู่ๆ ไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น!”

เฟิ่งชูอิ่งเล่าจบก็ถามหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง หรือว่าจะมีคนคิดสังหารข้าเจ้าคะ ถึงได้วางเพลิงหวังจะเผาข้าให้ตาย?”

หลินชูเจิ้ง “......”

นัยน์ตาของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย เพราะมันมีโอกาสเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ทว่าปากเขากลับบอกว่า “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นหรอก!”

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่สาวเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร วันนี้ข้าเผลอทำนางบาดเจ็บไป นางคงไม่ได้คิดจะเผาข้าให้ตายกระมัง?”

หลินชูเจิ้งรีบปฏิเสธทันควัน “ไม่มีทาง พี่สาวของเจ้ามีจิตใจงดงาม ไม่มีทางทำเรื่องพรรค์นี้หรอก”

เฟิ่งชูอิ่งลากเสียง ‘อ้อ’ ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านลุง พวกเขาลือกันว่าอ๋องฉู่มีดวงกินภรรยา ว่าที่พระชายาเจ็ดคนก่อนหน้านี้ล้วนถูกเขาฆ่าตาย ข้าคงไม่ถูกดวงชะตาของเขากัดกินไปด้วยกระมัง?”

ตอนนี้มีคนหมายหัวนางอยู่มากมาย นางก็แค่ต้องทำเป็นพูดจาไร้สาระไปเรื่อยๆ แล้วให้หลินชูเจิ้งไปนั่งเดาเอาเอง!

อย่างไรเสียพวกเขาก็คิดไม่ถึงหรอก ว่านางคือคนร้ายที่วางเพลิงเอง

หลินชูเจิ้งเปลี่ยนสีหน้าไปมาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงกดต่ำ “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก อย่าได้พูดจาเหลวไหล!”

เฟิ่งชูอิ่งส่งเสียง ‘อ้อ’ ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะแสดงท่าทีหวาดระแวงอยู่ไม่สุข

ตอนนี้พวกบ่าวควบคุมเพลิงได้แล้ว หลินชูเจิ้งจึงเรียกตัวผู้ดูแลจวนมา เพื่อจัดเตรียมที่พักใหม่ให้เฟิ่งชูอิ่ง

วันนี้เขาเพิ่งจะแสดงภาพลักษณ์ท่านลุงผู้แสนดีต่อหน้าเฟิ่งชูอิ่งไป ดังนั้นจะกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้โดยเด็ดขาด ถึงได้ยอมเรียกผู้ดูแลมาจัดหาที่พักใหม่ให้นาง

จวนสกุลหลินเป็นเรือนสามประตู[footnoteRef:1] เรือนพักในปัจจุบันของเฟิ่งชูอิ่งคือห้องเก็บฟืนที่อยู่ในมุมอับลับตาคน [1: บ้านในสมัยก่อนของคนจีน มีสามประตูทางเข้า ซึ่งจะแบ่งบ้านออกเป็นสามส่วนได้แก่เรือนส่วนหน้า ส่วนกลางและส่วนหลัง

]

แต่ที่นี่ถูกไฟเผาวอดไปแล้ว จึงเหลือห้องพักที่ยังว่างอยู่อีกสองแห่งเท่านั้น ที่แรกคือห้องพักที่อยู่ติดกับเรือนของหลินหว่านถิง ส่วนอีกที่เป็นโรงเพาะชำที่ทั้งมืดและชื้น

เฟิ่งชูอิ่งตั้งใจจะให้ไปพักที่โรงเพาะชำแห่งนั้น แต่กลับได้ยินเสียงนางเอ่ยว่า “ติดกับเรือนของพี่สาวยังมีห้องว่างอยู่ ถ้าอย่างไรข้าย้ายไปอยู่ที่นั่นก็แล้วกัน!

“ท่านลุงมักจะกล่าวว่าเห็นข้าเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ คงจะไม่ได้พูดส่งเดชกระมัง”

หลินชูเจิ้ง “...แน่นอน”

แม้ปัญหาจะได้รับการคลี่คลาย แต่หลินชูเจิ้งกลับรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย

เพราะมีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกกับเขาว่า ห้ามปล่อยให้เฟิ่งชูอิ่งใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากเกินไป หากนางสุขสบาย มันจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาคนในครอบครัวของเขา

แต่เขาคิดว่าอย่างไรเสียเฟิ่งชูอิ่งก็คงอยู่รอดไปได้อีกไม่กี่วัน ดังนั้นก็คงจะมีชีวิตสุขสบายได้ไม่นานนักหรอก ปล่อยให้นางอยู่สบายๆ ก่อนตายสักหน่อย คงไม่เป็นปัญหาอะไร

หลังจากฮว๋าซื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็บ่นหลินชูเจิ้งเสียยกใหญ่ บอกว่าเฟิ่งชูอิ่งไม่คู่ควรจะพักอาศัยอยู่ในห้องที่ดีขนาดนั้น

เพียงแต่หลินชูเจิ้งตกปากรับคำเรื่องนี้ไปแล้ว จะกลับคำตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องยอมให้นางพักอาศัยที่นั่นไปก่อน ถึงอย่างไรนางก็ใกล้จะตายอยู่แล้ว คงอยู่ที่นั่นได้ไม่กี่วันหรอก

ข้าวของเครื่องใช้ของเฟิ่งชูอิ่งถูกไฟไหม้ทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันให้นางใหม่

ฮว๋าซื่อกำชับผู้ดูแล บอกให้เขาส่งข้าวของเครื่องใช้สำหรับพวกบ่าวในเรือนไปให้เฟิ่งชูอิ่ง

เฟิ่งชูอิ่งเห็นของใช้คุณภาพต่ำที่ผู้ดูแลขนเอามาให้ก็ไม่นึกแปลกใจ เพราะถึงของพวกนี้จะคุณภาพแย่สักแค่ไหน ก็ยังมีสภาพดีกว่าของที่ร่างเดิมเคยใช้ก่อนหน้านี้

วันนี้นางทำเรื่องที่ล้ำเส้นหลินชูเจิ้งไปหลายอย่างแล้ว ดังนั้นนางคิดว่าควรจะพอแค่นี้ก่อนดีกว่า

นางจัดเก็บข้าวของและทำความสะอาดเล็กน้อย ก่อนจะเตรียมตัวเข้านอน ทว่าสาวใช้คนหนึ่งกลับเดินดุ่มๆ เข้ามาในห้อง

พอเฟิ่งชูอิ่งเห็นสาวใช้คนนั้น ดวงตาของนางก็หรี่ลงเล็กน้อย

สาวใช้คนนั้นเข้ามาในห้องก็เอ่ยปากทันที “โถ คุณหนูใหญ่ของข้า ทำไมท่านถึงขยันสร้างปัญหานักล่ะเจ้าคะ?

“ท่านยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูใหญ่จวนสกุลเฟิ่งอยู่อีกหรือ? ไม่รู้ตัวหรืออย่างไร ตอนนี้ท่านก็เป็นแค่กาฝากคนหนึ่งเท่านั้น!

“นายท่านกับนายหญิงยอมให้ท่านมีที่ซุกหัวนอน ก็นับว่าพวกท่านเห็นแก่สัมพันธ์ในกาลก่อนมากแล้ว ท่านยังมีหน้าขอย้ายมาพักห้องติดกับเรือนของคุณหนูหว่านถิงอีก?”

ตอนที่ร่างเดิมย้ายมาอยู่จวนสกุลหลิน ได้พาสาวใช้มาด้วยสองคน

เพียงแต่สาวใช้สองคนนั้น คนหนึ่งถูกฮว๋าซื่อหาข้ออ้างจับนางขายออกไป อีกคนก็ทรยศไปอยู่ฝั่งฮว๋าซื่อแทน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้อย่าว่าแต่ปกป้องร่างเดิมเลย นางมักจะช่วยฮว๋าซื่อกลั่นแกล้งร่างเดิมด้วยซ้ำ

เฟิ่งชูอิ่งมองสาวใช้นางนั้นแล้วเอ่ย “ช่วงนี้ข้าศึกษาการดูโหงวเฮ้งคนด้วยล่ะ ข้าคิดว่าวันนี้เจ้ามีดวงจะเลือดตกยางออกนะ”

สาวใช้คนนั้นปรายตามองนาง “ข้าเนี่ยนะมีดวงเลือดตกยางออก? ข้าว่าเจ้ามากกว่าที่กำลังจะเลือดตกยางออก!

“ข้าขอแนะนำให้ท่านหนีออกจากจวนสกุลหลิน ไปใช้ชีวิตกับเฉินเยี่ยนเซิงให้มีความสุขแท้ๆ แต่ท่านกลับยังย้อนกลับมา

“ท่านกลับมาเฉยๆ ก็แล้วไปเถิด นี่อะไรกัน พอกลับมาถึงก็ทำเรือนไฟไหม้ทันที นี่คงเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์เบื้องบนสินะ!”

เฟิ่งชูอิ่งฟังนางพูดเรื่องพวกนี้แล้วถึงนึกขึ้นได้ ว่าสาวใช้คนนี้ก็มีส่วนทำให้ร่างเดิมตัดสินใจหนีตามเฉินเยี่ยนเซิง

หากไม่ใช่เพราะสาวใช้คนนี้คอยเป่าหูร่างเดิมทุกวัน คอยยุงยงต่างๆ นาๆ ร่างเดิมก็คงไม่กล้าทำเรื่องที่ผิดต่อประเพณีอันดีงามเช่นนี้หรอก

สาวใช้สารเลวที่ทรยศหักหลังเจ้านายแบบนี้ เฟิ่งชูอิ่งย่อมไม่คิดจะปล่อยไปอยู่แล้ว

ขณะที่สาวใช้คนนั้นยังคงยื่นพล่ามไม่หยุด เฟิ่งชูอิ่งก็เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย จิกผมนางแล้วเหวี่ยงไปกระแทกเสาที่อยู่ข้างๆ อย่างเต็มแรง

สาวใช้คนนั้นถึงกับยืนงงทำอะไรไม่ถูก นางมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยสายตาอึ้งๆ คล้ายไม่อยากจะเชื่อ

เฟิ่งชูอิ่งส่งยิ้มให้นาง “ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามีดวงเลือดตกยางออก เห็นไหมว่าแม่นแค่ไหน!”

เฟิ่งชูอิ่งกล่าวจบก็ใช้นิ้วที่เปื้อนเลือดของสาวใช้คนนั้น วาดยันต์บริเวณด้านหน้าอกของนาง ก่อนที่สาวใช้คนนั้นจะยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่

เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าคิดว่าถึงเจ้าจะทรยศหักหลังเจ้านาย แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เจ้าก็ควรจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มากทำอะไรเพื่อนางสักหน่อย”

“ไปเถอะ จงไปหาฮว๋าซื่อและพูดคุยกับนางเสียหน่อย จากนั้นเจ้าก็ทำให้นางประหลาดใจจนลืมไม่ลงชั่วชีวิตเลย”

นางกล่าวจบก็ขยับไปกระซิบข้างหูของสาวใช้คนนั้นสองสามประโยค ก่อนจะยื่นมีดทำครัวให้นางเล่มหนึ่ง

หลังเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ ก็แค่รอให้ละครเปิดฉาก!

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 8

    สาวใช้นางนั้นตอบรับหนึ่งเสียง ก่อนจะถือมีดทำครัวเดินจากไปด้วยท่าทางเหม่อลอย มุ่งหน้าตรงไปยังห้องของฮว๋าซื่อเนื่องจากเวลานี้ดึกมากแล้ว บรรยากาศรอบตัวจึงมืดสนิท แม้จะมีข้ารับใช้ในจวนมองเห็นสาวใช้คนนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจ อีกทั้งพวกเขายังเดินห่างกันมาก จึงมองไม่เห็นบาดแผลบนศีรษะของนางเนื่องจากหลินชูเจิ้งยกห้องพักที่ติดกับเรือนของหลินหว่านถิงให้เฟิ่งชูอิ่ง จึงถูกฮว๋าซื่อบ่นเสียยกใหญ่ คืนนี้เขาจึงไม่ไปนอนค้างที่เรือนของ และขลุกอยู่ในเรือนของอนุภรรยาแทนเวลานี้หลินหว่านถิงก็อยู่ในห้องของฮว๋าซื่อด้วย สองแม่ลูกกำลังช่วยกันคิดว่าจะจัดการเฟิ่งชูอิ่งอย่างไรดีวันนี้หลินหว่านถิงถูกเฟิ่งชูอิ่งเอารัดเอาเปรียบทำร้ายสารพัด แค่นี้นางก็แทบจะข่มความโกรธไว้ไม่ไหวแล้วต่อมานางยังได้ยินอีกว่าเฟิ่งชูอิ่งจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ นางจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเฟิ่งชูอิ่งมันมีอะไรดีกัน มีสิทธิ์อะไรย้ายเข้าไปพักอาศัยในห้องที่ดีขนาดนั้น แล้วยังอยู่ติดกับเรือนของนางอีก?นางพูดกับฮว๋าซื่อด้วยตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ท่านหาข้ออ้างย้ายนังเฟิ่งชูอิ่งไปไกลๆ ได้หรือไม่”“อีกเดี๋ยวนางก็จะตายแล้ว ให้นางมาอยู่ติดกับข้าขนาดนั้น ช่า

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 9

    ฮว๋าซื่อโกรธจนพูดอะไรไม่ออกเฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง สาวใช้คนนี้ยกให้ท่านลุงกับท่านป้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คัดค้านอยู่แล้ว”วันนี้หลินชูเจิ้งถูกขัดจังหวะความสุขและกำลังหงุดหงิดอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “สาวใช้คนนี้ล่วงเกินเจ้านาย หมายจะสังหารฮูหยินเอกของจวน ลากตัวออกไปโบยจนตาย!”บัดนี้ สติสัมปชัญญะบางส่วนของสาวใช้เริ่มกลับมาแล้ว ทว่านางกลับดูโง่งมเซื่องซึม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรนางหันไปอ้อนวอนฮว๋าซื่อ “ฮูหยิน ช่วยบ่าวด้วย!”ฮว๋าซื่อได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะบีบคอนางให้ตายคืนนี้ตอนที่สาวใช้นางหนีถือมีดทำครัวบุกเข้ามาในห้อง นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แล้วยังได้รับบาดเจ็บหนักด้วยนังสารเลวนี่ยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากนางอีก!นางกล่าวอย่างเดือดดาล “มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบลากนางออกไปโบยอีก!”สาวใช้คนนั้นดิ้นขัดขืนสุดชีวิต อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกบ่าวหญิงคนหนึ่งเอามือปิดปากแล้วลากตัวออกไปตอนที่นางถูกลากผ่านตัวเฟิ่งชูอิ่งไป เฟิ่งชูอิ่งก็หันไปส่งยิ้มที่ดูไม่คล้ายยิ้มให้นาง แล้วขยับปากแบบไม่ออกเสียง “บ่าวทรย

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 10

    บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ยเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่างปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันทีเชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผลนางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึกแต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 11

    จิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิดเขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่กก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งนางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ยคิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรเขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลยเขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจเขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 12

    เจ้าอาวาสรู้จักกับจิ่งโม่เยี่ยมานานหลายปี จึงเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางนำเชือกป่านมาหาเขาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอกและหากจิ่งโม่เยี่ยหาตัวคนสำนักลี้ลับเจอ จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนวันนี้จิ่งโม่เยี่ยนำเชือกมาให้เขาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ซึ่งปกติแล้วจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ นอกเสียจาก...นอกเสียจากคนสำนักลี้ลับที่จิ่งโม่เยี่ยหาเจอจะมีค่อนข้างพิเศษเจ้าอาวาสนึกไม่ออกว่ามีใครพอจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำว่าพิเศษนี้บ้าง ในสมองของเขามีชื่อของเฟิ่งชูอิ่งผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วใครบ้างไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไปขออาศัยจวนสกุลหลิน นางไม่มีทางเกี่ยวข้องกับสำนักลี้ลับได้อยู่แล้วเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าอย่างนั้นคนพิเศษที่ว่านั่นเป็นใครกันล่ะ?หลังจิ่งโม่เยี่ยเดินออกมาจากอารามแล้ว เขาก็ยืนถอนหายใจให้กับธรรมชาติอันงดงามตรงหน้าเขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งไปเรียนการถักเชือกของสำนักลี้ลับมาจากที่ไหน วิธีที่นางใช้ผูกเชือกก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำให้เขาหลับได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วตอนแร

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 13

    ก่อนจะมาหานาง บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้ก็นับว่าได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเขาตั้งใจจะใช้ผงปูนขาวทำลายดวงตาของนางก่อน จากนั้นก็จะรุมทุบตีนางอย่างโหดเหี้ยม แล้วค่อยขโมยทรัพย์สินเงินทองของนางไป บ่าวหญิงแซ่จูคงคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชูอิ่งจะมีแผนรับมือรอเอาไว้แล้ว นอกจากพวกเขาจะขโมยของไม่สำเร็จ ยังเป็นฝ่ายถูกนางทุบตีอย่างหนักแทนลูกชายคนโตของนางถูกฮว๋าซื่อสั่งให้บุกเข้ามาขโมยเงินที่ห้องของเฟิ่งชูอิ่งกลางดึกเมื่อคืน ทว่านอกจากจะไม่ได้เงินไปแล้ว ยังถูกผลปูนขาวเล่นงานจนตาบอดอีกทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับไปฟ้องหลินชูเจิ้งว่าลูกชายคนโตของนางขโมยตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงไป เมื่อคืนหลินชูเจิ้งก็เลยจับตัวลูกชายคนโตของนางไปเพื่อบีบคั้นให้เขาส่งมอบตั๋วเงินออกมาลูกชายคนโตของนางไม่ได้ขโมยตั๋วเงินไปตั้งแต่แรกแล้ว จึงถูกหลินชูเจิ้งลากตัวเข้าห้องทรมาน ตอนที่ส่งตัวกลับออกมาเนื้อตัวเขาก็มีแผลเหวอะหวะเต็มไปหมดแล้วนางจึงเกลียดเฟิงชูอิ่งเข้ากระดูกดำ!นางกัดฟันเอ่ยว่า “พวกเราสาดผงปูนขาวเพราะว่าห้องนี้อับชื้นมากเกินไป ก็เลยมาช่วยคุณหนูต่างสกุลกำจัดความชื้น”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะยกไม้กระบองเค

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 14

    พ่อบ้านโจวมีภาพลักษณ์เหมือนคนใจดีมีเมตตา ทว่าความจริงแล้วเป็นคนใจดำอำมหิตยิ่งนัก เมื่อก่อนที่ร่างเดิมถูกบ่าวในจวนสกุลหลินกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เพราะมีพ่อบ้านโจวคอยยุยงส่งเสริมนี่แหละเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้เลย สาเหตุที่นางกล้าเอะอะโวยวายเช่นนี้ คงเพราะได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านโจวแล้วน่ะสิลัทธิเต๋าให้ความสำคัญกับเรื่องกงกรรมกงเกวียน พ่อบ้านโจวคนนี้ทำเรื่องชั่วร้ายเอาไว้มาก แล้วยังพรากชีวิตคนไปอีกหลังจากเขาได้พบกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็สมควรจะโดนกรรมตามสนองเสียที พ่อบ้านโจวได้ยินคำถามของนางก็ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ดวงของผู้อื่นเป็นอย่างไรข้าไม่อาจทราบ แต่ว่าดวงชะตาของคุณหนูต่างสกุลเห็นชัดเลยว่าลำบากยากเข็ญ”“นายท่านให้ข้ามาเชิญคุณหนูต่างสกุลไปที่ห้องหนังสือ เชิญคุณหนูตามข้ามาทางนี้เถอะ!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “พักหลังมานี้ข้าศึกษาเกี่ยวกับการดูโหงวเฮ้งของคน จนพอจะมีความรู้อยู่บ้าง”“ข้าเห็นว่าพ่อบ้านโจวหน้าตาหมองหม่น คิ้วขมวดเป็นปม คางมีรอยน้ำลากผ่าน มีโอกาสจะจมน้ำได้นะ”“แม้การศึกษาศาสตร์ลี้ลับพวกนี้จะฟังดูงมงามไปสักหน่อย แต่พ่อบ้า

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 15

    สำหรับเขาแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดที่นางเอาติดตัวมาด้วยสมควรจะเป็นของเขา!ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาเป็นคนเสนอยกนางให้แต่งงานกับจิ่งโม่เยี่ย เพราะการตายของนางจะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อเขา แล้วเรื่องอะไรเขาจะยอมให้นางย้ายออกจากจวนสกุลหลินล่ะ?เขาจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วยล่ะ?“เจ้าลงมือทำร้ายคนในจวนแท้ๆ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วกล่าวว่า “ขอถามท่านลุง โจรที่บุกเข้าไปในเรือนของข้าเมื่อคืน จับตัวได้หรือยังเจ้าคะ?”หลินชูเจิ้ง “...ยังจับตัวไม่ได้หรอก เขาหนีไปแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งแสยะยิ้ม “ข้าจะบอกความลับอะไรให้ท่านลุงฟังอย่างหนึ่ง เมื่อคืนตอนที่โจรคนนั้นบุกเข้ามาในห้องของข้า ข้ามองเห็นใบหน้าของเขาเจ้าค่ะ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!”สีหน้าของเขาแข็งค้างอย่างฉับพลัน จนรู้สึกปวดใบหน้าเล็กน้อยเฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “ท่านลุง ข้าเชื่อมาตลอดว่าท่านเป็นคนยุติธรรม ดังนั้นถึงได้เชื่อใจว่าท่านจะจับตัวโจรที่แอบลอบเข้ามาในห้องของข้ากลางดึกได้“ท่านลุงช่วยตอบข้าที ตอนนี้ลูกชายคนโตของบ่าวหญิงแซ่จูอยู่ที่ไหน?”ใบหน้าหลินชูเจิ้งบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม หลังนางเอ่ยปร

บทล่าสุด

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 991

    เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 990

    เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 989

    เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status