Share

บทที่ 9

Author: ดอกถังร่วงหล่น
last update Last Updated: 2024-06-04 18:41:53
ฮว๋าซื่อโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

เฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง สาวใช้คนนี้ยกให้ท่านลุงกับท่านป้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คัดค้านอยู่แล้ว”

วันนี้หลินชูเจิ้งถูกขัดจังหวะความสุขและกำลังหงุดหงิดอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “สาวใช้คนนี้ล่วงเกินเจ้านาย หมายจะสังหารฮูหยินเอกของจวน ลากตัวออกไปโบยจนตาย!”

บัดนี้ สติสัมปชัญญะบางส่วนของสาวใช้เริ่มกลับมาแล้ว ทว่านางกลับดูโง่งมเซื่องซึม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

นางหันไปอ้อนวอนฮว๋าซื่อ “ฮูหยิน ช่วยบ่าวด้วย!”

ฮว๋าซื่อได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะบีบคอนางให้ตาย

คืนนี้ตอนที่สาวใช้นางหนีถือมีดทำครัวบุกเข้ามาในห้อง นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แล้วยังได้รับบาดเจ็บหนักด้วย

นังสารเลวนี่ยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากนางอีก!

นางกล่าวอย่างเดือดดาล “มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบลากนางออกไปโบยอีก!”

สาวใช้คนนั้นดิ้นขัดขืนสุดชีวิต อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกบ่าวหญิงคนหนึ่งเอามือปิดปากแล้วลากตัวออกไป

ตอนที่นางถูกลากผ่านตัวเฟิ่งชูอิ่งไป เฟิ่งชูอิ่งก็หันไปส่งยิ้มที่ดูไม่คล้ายยิ้มให้นาง แล้วขยับปากแบบไม่ออกเสียง “บ่าวทรยศนายอย่างเจ้า ตายไปได้เสียก็ดี!”

พริบตานั้นเอง แววตาของสาวใช้คนนั้นก็ฉายความหวาดกลัวอย่างสุดชีวิต

เฟิ่งชูอิ่งคนที่อยู่ตรงหน้านางนี้แตกต่างจากสาวน้อยขี้ขลาดในอดีตอย่างสิ้นเชิง!

นางดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่านางจะขัดขืนสักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

ไม่นานนางก็ถูกลากตัวออกไปด้านนอก ถูกอุดปากและโบยจนตาย

นัยน์ตาของเฟิ่งชูอิ่งคมปลาบ นางไม่อาจสืบหาได้ว่าคนในจวนสกุลหลิน ในอดีตเคยรังแกร่างเดิมอย่างไรบ้าง

แต่ตอนนี้นางคือเฟิ่งชูอิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนในจวนสกุลหลิน ก็อย่าหวังว่าจะรังแกนางได้อีก!

พวกเขาจับนางแต่งงานกับอ๋องฉู่ ใช้นางเป็นบันไดปีนขึ้นสู่ที่สูง แล้วยังคิดจะเอาชีวิตนางอีก ถ้างั้นนางก็จะเป็นฝ่ายเอาชีวิตของพวกเขาก่อน!

นางจะทำให้จวนสกุลหลินวุ่นวาย จนหาความสงบสุขไม่ได้อีกเลย

การตายของสาวใช้คนนั้นไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรขึ้นในจวนสกุลหลิน

พวกบ่าวรับใช้ในจวนก็แค่สงสัยว่านางเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ถือมีดบุกไปทำร้ายฮว๋าซื่อกับหลินหว่านถิง

หลังตัดสินโทษสาวใช้คนนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็กลับไปเป็นเด็กสาวขี้ขลาดที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนในอดีต ถือโคมไฟเดินกลับห้องเพียงลำพัง

ตอนที่นางเดินมาถึงประตูห้อง กลับเห็นว่ามีคนถือโคมไฟไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวเรือนหลังเก่าที่โดยไฟไหม้ของนาง

มุมปากของนางพลันยกสูง พวกบ่าวในจวนสกุลหลิน ก็โลภมากน่ารังเกียจไม่ต่างไปจากเจ้านายของพวกเขาเลย

ในเมื่อพวกเขาทำตัวร้ายกาจกับนางถึงเพียงนั้น นางจะกลั่นแกล้งพวกเขาคืนบ้างก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

ตอนที่นางผลักบานประตูเตรียมจะเข้าไปในห้อง หลินหว่านถิงก็กลับมาถึงเรือนที่พักเช่นกัน

วันนี้พวกนางทั้งสองคนได้แตกหักกันเรียบร้อยแล้ว หลินหว่านถิงจึงหันมาถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง ทำท่าจะเปิดประตูเข้าห้องไป

เฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยเรียกนางจากด้านหลัง “พี่สาว คนเราต้องรู้จักมีขอบเขตกันบ้าง วันหน้าจะได้มองหน้ากันติด

“หากท่านถลำลึกจนเกินไป มันจะเป็นการตัดทางรอดของตัวเองนะ”

หลินหว่านถิงได้ยินเช่นนั้นก็ปาโคมไฟในมือลงพื้นทันที โคมดวงนั้นจึงลุกไหม้ขึ้นมาในเสี้ยวพริบตา

นางจ้องเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าว “อย่าคิดว่าได้แต่งงานกับท่านอ๋องฉู่ แล้วเจ้าจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายไปหน่อยเลย?

“ข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะ อีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายแล้ว!”

เฟิ่งชูอิ่งแสร้งเล่นตามน้ำ “ไอ้หยา ข้ากลัวจังเลย!”

หลินหว่านถิง “......”

นางกำมือแน่นจนเป็นหมัด คิดจะเข้าไปตบเฟิ่งชูอิ่งสักฉาด

ทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับหยิบมีดทำครัวออกมาจากไหนก็ไม่รู้ “บิดามารดาของข้าล้วนตายจาก ชีวิตอาภัพอับโชค

“หากวันใดข้าต้องตายขึ้นมา อย่างไรก็ต้องลากผู้อื่นไปด้วยสักสองสามคน เวลาลงไปปรโลกจะได้ไม่อ้างว้าง”

หลินหว่านถิงสบถว่า “อีบ้า” ก่อนจะพาสาวใช้เดินกลับเข้าห้องไปทันที

เฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย นางเพิ่งจะทะลุมิติมาวันแรกก็ครื้นเครงถึงเพียงนี้แล้ว นางสนุกมากเลยล่ะ

นางหวังว่าหลังจากวันนี้ไป จวนสกุลหลินจะมีเรื่องครื้นเครงเช่นนี้เกิดขึ้นไม่เว้นวัน

หลังกลับเข้ามาในห้อง นางก็แขวนถุงปูนขาวเอาไว้บนขอบประตู ก่อนจะใช้เชือกป่านถักเงื่อนเป็นตามลักษณะเฉพาะของลัทธิเต๋าไว้ที่ขอบหน้าต่าง

หลังทำทุกอย่างเรียบร้อย นางถึงได้ล้มตัวนอนที่เตียง

หลับถึงกลางดึก นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากประตูห้อง “ดวงตาข้า!”

นางจึงคว้าตะเกียงขึ้นมาส่องดู พบเงาดำตะคุ่มสายหนึ่งกำลังวิ่งออกไป

วันนี้นางก่อเรื่องเอาไว้มากมาย แล้วยังได้ตั๋วเงินจากหลินชูเจิ้งมาอีกหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หากคนในจวนสกุลหลินไม่ลงมือทำอะไรเลยก็คงแปลกแล้วละ

ด้วยเหตุนี้เอง นางถึงได้เตรียมกับดักเอาไว้ที่ประตูกับหน้าต่างอย่างไรล่ะ

เดิมทีนางคิดว่าถ้าไม่ต้องใช้พวกมันก็คงดี แต่หากมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือกล้ามาหาเรื่องนางจริงๆ นางก็จะไม่เสียเปรียบคนเหล่านั้น

ผลคือยังผ่านไปไม่ทันไร ก็มีคนบุกมาให้นางเชือดถึงที่เลย

เฟิ่งชูอิ่งอ้าปากหาวหวอด ก่อนจะคิดว่าหากนางไม่เอะอะโวยวายเสียหน่อย คงจะเป็นการผิดต่อพวกคนในจวนสกุลหลินที่เพียรพยายามจะทำร้ายนางเสียเหลือเกิน

นางคว้าอ่างทองแดงที่อยู่ตรงมุมห้องออกมา ก่อนจะใช้ไม้กระบองเคาะจนเกิดเสียงดังก๊องแก๊ง

พร้อมกับแหกปากตะโกนว่า “ใครก็ได้ ช่วยจับขโมยที! ในจวนมีขโมยบุกเข้ามา!”

เสียงไม้เคาะกับอ่างทองแดง มีความใกล้เคียงกับเสียงตีฆ้องอย่างมาก อีกทั้งเสียงยังดังมากด้วย

ช่วงดึกสงัดเช่นนี้ รอบด้านมีเพียงความเงียบงัน นางเคาะเพียงไม่กี่ที คนทั้งจวนก็สะดุ้งตื่นพร้อมกันหมดแล้ว

หลินชูเจิ้งเพิ่งจะอารมณ์หดหาย เพราะเสียงกรีดร้องของฮว๋าซื่อตอนช่วงหัวค่ำไปหมาดๆ

พอเขากลับไปที่ห้อง อนุภรรยาก็ต้องฝืนใจประจบ งัดทุกกลเม็ดออกมาใช้ถึงทำให้เขาเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมาได้

คราวนี้พอถึงช่วงใกล้จะเสร็จสม เขากลับถูกเสียงเคาะของเฟิ่งชูอิ่งทำให้หมดอารมณ์ซ้ำสอง

หลินชูเจิ้งระเบิดโทสะ “มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นอีก?”

บ่าวชายที่ยืนเฝ้าประตูตอบว่า “คุณหนูต่างสกุลถูกโจรปล้นขอรับ”

หลินชูเจิ้งหงุดหงิดจนอยากทึ้งหัวตัวเอง ดูเหมือนตั้งแต่นางกลับมาที่จวนวันนี้ ภายในจวนก็เกิดไฟไหม้ สาวใช้เอามีดไล่แทงเจ้านาย ตกดึกยังมีโจรบุกขึ้นจวนอีก ไม่มีสักเสี้ยวนาทีที่จวนแห่งนี้จะสงบสุข

หลายปีที่ผ่านมานี้เขาปล่อยปละละเลยให้พวกบ่าวในจวนรังแกเฟิ่งชูอิ่ง พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เขาก็พอจะเดาได้รางๆ ว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเฟิ่งชูอิ่งจะถูกขโมยของ ถูกทุบตีหรือถูกแย่งของอะไรไป นางก็จะไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว แต่มาคราวนี้กลับเอะอะโวยวายเสียใหญ่โต นางเป็นบ้าไปแล้วหรือไง!

แต่เรื่องนี้เขาจะปล่อยเอาไว้ก็ไม่ได้ จึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมแล้วเดินเข้าไปถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “ท่านลุง ท่านมาก็ดีแล้ว เมื่อครู่นี้มีขโมยบุกเข้ามาในห้องข้า เขาเอาตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงที่ท่านพ่อของข้าทิ้งเอาไว้ไปแล้ว!”

“ตอนที่เขาบุกเข้ามา ข้าได้ใช้ผงปูนขาวสาดใส่ตาของเขา คิดว่าคงหนีไปได้ไม่ไกล ท่านลุงลองให้คนสืบหาก็น่าจะเจอ!”

หลินชูเจิ้ง “......”

นี่นางยังมีเงินเหลืออยู่อีกงั้นหรือ วันนี้นางเอาเงินของเขาไปหนึ่งร้อยตำลึง แต่หากยามนี้เขาเอาตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงของนางมาได้ ก็นับว่าเป็นกำไรของเขา

เขาเอ่ยเสียงต่ำ “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน ทำไมถึงปล่อยให้โจรเข้ามาในจวนได้!”

“พวกเจ้าน่ะ ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม จับเจ้าขโมยคนนั้นกลับมาให้ได้เข้าใจไหม?”

บ่าวรับใช้ทั้งหมดรับคำสั่งแล้วแยกย้ายกันออกไป

เขาหันกลับไปพูดกับเฟิ่งชูอิ่ง “ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เอาไว้ลุงจับตัวขโมยคนนั้นได้เมื่อไหร่ ค่อยเอาตั๋วเงินมาคืนเจ้าก็แล้วกัน”

เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างชอกช้ำ “ท่านลุงจะต้องจับขโมยคนนั้นให้ได้นะเจ้าคะ นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้า”

หลินชูเจิ้งรับคำแบบขอไปที ก่อนจะบอกให้นางไปพักผ่อน

จวนสกุลหลินไม่ได้ใหญ่โตอะไร แล้วขโมยคนนั้นยังได้รับบาดเจ็บที่ตาอีก ดังนั้นจึงตามจับตัวได้ไม่ยากเย็น

เฟิ่งชูอิ่งไม่สนใจหรอกว่าหลินชูเจิ้งใช้เวลานานเท่าไหร่ในการจับตัวโจรคนนั้น นางแค่ไม่อยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างเป็นสุข ก็เลยหางานให้เขาทำ

ถึงอย่างไรนางก็ไม่เสียอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้จึงนอนหลับได้อย่างสบายใจ

เมื่อนางกลับมาที่ห้องแล้วลงกลอนประตู หันกลับไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียงของนาง ก็ตกใจจนสะดุ้งเฮือก!
Comments (1)
goodnovel comment avatar
เย่อิง
น้องสู้คนนะเอาดิ.........
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 10

    บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ยเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่างปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันทีเชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผลนางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึกแต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกน

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 11

    จิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิดเขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่กก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งนางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ยคิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรเขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลยเขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจเขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 12

    เจ้าอาวาสรู้จักกับจิ่งโม่เยี่ยมานานหลายปี จึงเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางนำเชือกป่านมาหาเขาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอกและหากจิ่งโม่เยี่ยหาตัวคนสำนักลี้ลับเจอ จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนวันนี้จิ่งโม่เยี่ยนำเชือกมาให้เขาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ซึ่งปกติแล้วจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ นอกเสียจาก...นอกเสียจากคนสำนักลี้ลับที่จิ่งโม่เยี่ยหาเจอจะมีค่อนข้างพิเศษเจ้าอาวาสนึกไม่ออกว่ามีใครพอจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำว่าพิเศษนี้บ้าง ในสมองของเขามีชื่อของเฟิ่งชูอิ่งผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วใครบ้างไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไปขออาศัยจวนสกุลหลิน นางไม่มีทางเกี่ยวข้องกับสำนักลี้ลับได้อยู่แล้วเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าอย่างนั้นคนพิเศษที่ว่านั่นเป็นใครกันล่ะ?หลังจิ่งโม่เยี่ยเดินออกมาจากอารามแล้ว เขาก็ยืนถอนหายใจให้กับธรรมชาติอันงดงามตรงหน้าเขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งไปเรียนการถักเชือกของสำนักลี้ลับมาจากที่ไหน วิธีที่นางใช้ผูกเชือกก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำให้เขาหลับได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วตอนแร

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 13

    ก่อนจะมาหานาง บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้ก็นับว่าได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีเลยล่ะ พวกเขาตั้งใจจะใช้ผงปูนขาวทำลายดวงตาของนางก่อน จากนั้นก็จะรุมทุบตีนางอย่างโหดเหี้ยม แล้วค่อยขโมยทรัพย์สินเงินทองของนางไป บ่าวหญิงแซ่จูคงคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชูอิ่งจะมีแผนรับมือรอเอาไว้แล้ว นอกจากพวกเขาจะขโมยของไม่สำเร็จ ยังเป็นฝ่ายถูกนางทุบตีอย่างหนักแทนลูกชายคนโตของนางถูกฮว๋าซื่อสั่งให้บุกเข้ามาขโมยเงินที่ห้องของเฟิ่งชูอิ่งกลางดึกเมื่อคืน ทว่านอกจากจะไม่ได้เงินไปแล้ว ยังถูกผลปูนขาวเล่นงานจนตาบอดอีกทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับไปฟ้องหลินชูเจิ้งว่าลูกชายคนโตของนางขโมยตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงไป เมื่อคืนหลินชูเจิ้งก็เลยจับตัวลูกชายคนโตของนางไปเพื่อบีบคั้นให้เขาส่งมอบตั๋วเงินออกมาลูกชายคนโตของนางไม่ได้ขโมยตั๋วเงินไปตั้งแต่แรกแล้ว จึงถูกหลินชูเจิ้งลากตัวเข้าห้องทรมาน ตอนที่ส่งตัวกลับออกมาเนื้อตัวเขาก็มีแผลเหวอะหวะเต็มไปหมดแล้วนางจึงเกลียดเฟิงชูอิ่งเข้ากระดูกดำ!นางกัดฟันเอ่ยว่า “พวกเราสาดผงปูนขาวเพราะว่าห้องนี้อับชื้นมากเกินไป ก็เลยมาช่วยคุณหนูต่างสกุลกำจัดความชื้น”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนจะยกไม้กระบองเค

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 14

    พ่อบ้านโจวมีภาพลักษณ์เหมือนคนใจดีมีเมตตา ทว่าความจริงแล้วเป็นคนใจดำอำมหิตยิ่งนัก เมื่อก่อนที่ร่างเดิมถูกบ่าวในจวนสกุลหลินกลั่นแกล้งอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เพราะมีพ่อบ้านโจวคอยยุยงส่งเสริมนี่แหละเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่บ่าวหญิงแซ่จูคนนี้เลย สาเหตุที่นางกล้าเอะอะโวยวายเช่นนี้ คงเพราะได้รับอนุญาตจากพ่อบ้านโจวแล้วน่ะสิลัทธิเต๋าให้ความสำคัญกับเรื่องกงกรรมกงเกวียน พ่อบ้านโจวคนนี้ทำเรื่องชั่วร้ายเอาไว้มาก แล้วยังพรากชีวิตคนไปอีกหลังจากเขาได้พบกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็สมควรจะโดนกรรมตามสนองเสียที พ่อบ้านโจวได้ยินคำถามของนางก็ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ดวงของผู้อื่นเป็นอย่างไรข้าไม่อาจทราบ แต่ว่าดวงชะตาของคุณหนูต่างสกุลเห็นชัดเลยว่าลำบากยากเข็ญ”“นายท่านให้ข้ามาเชิญคุณหนูต่างสกุลไปที่ห้องหนังสือ เชิญคุณหนูตามข้ามาทางนี้เถอะ!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าว “พักหลังมานี้ข้าศึกษาเกี่ยวกับการดูโหงวเฮ้งของคน จนพอจะมีความรู้อยู่บ้าง”“ข้าเห็นว่าพ่อบ้านโจวหน้าตาหมองหม่น คิ้วขมวดเป็นปม คางมีรอยน้ำลากผ่าน มีโอกาสจะจมน้ำได้นะ”“แม้การศึกษาศาสตร์ลี้ลับพวกนี้จะฟังดูงมงามไปสักหน่อย แต่พ่อบ้า

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 15

    สำหรับเขาแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดที่นางเอาติดตัวมาด้วยสมควรจะเป็นของเขา!ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาเป็นคนเสนอยกนางให้แต่งงานกับจิ่งโม่เยี่ย เพราะการตายของนางจะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อเขา แล้วเรื่องอะไรเขาจะยอมให้นางย้ายออกจากจวนสกุลหลินล่ะ?เขาจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมต้องโมโหขนาดนี้ด้วยล่ะ?“เจ้าลงมือทำร้ายคนในจวนแท้ๆ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วกล่าวว่า “ขอถามท่านลุง โจรที่บุกเข้าไปในเรือนของข้าเมื่อคืน จับตัวได้หรือยังเจ้าคะ?”หลินชูเจิ้ง “...ยังจับตัวไม่ได้หรอก เขาหนีไปแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งแสยะยิ้ม “ข้าจะบอกความลับอะไรให้ท่านลุงฟังอย่างหนึ่ง เมื่อคืนตอนที่โจรคนนั้นบุกเข้ามาในห้องของข้า ข้ามองเห็นใบหน้าของเขาเจ้าค่ะ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!”สีหน้าของเขาแข็งค้างอย่างฉับพลัน จนรู้สึกปวดใบหน้าเล็กน้อยเฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “ท่านลุง ข้าเชื่อมาตลอดว่าท่านเป็นคนยุติธรรม ดังนั้นถึงได้เชื่อใจว่าท่านจะจับตัวโจรที่แอบลอบเข้ามาในห้องของข้ากลางดึกได้“ท่านลุงช่วยตอบข้าที ตอนนี้ลูกชายคนโตของบ่าวหญิงแซ่จูอยู่ที่ไหน?”ใบหน้าหลินชูเจิ้งบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม หลังนางเอ่ยปร

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 16

    บ่าวหญิงแซ่จูไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ “พวกเราแค่ไปเรียกคุณหนูต่างสกุลมารับประทานอาหารเช้า แต่พวกเราทำงานหนักจนเคยชิน ก็เผลอทำเกินกว่าเหตุไปหน่อย คุณหนูต่างสกุลถึงได้เข้าใจผิด“คุณหนูต่างสกุลนั่นแหละ ไม่พูดไม่จาก็คว้าไม้มาทุบตีพวกเราแล้ว ท่านทำเกินไปหน่อยกระมัง!“ถึงพวกเราจะเป็นแค่บ่าวต่ำต้อย แต่ก็ยังเป็นคนอยู่ดี ท่านรังแกพวกเราอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!”หลินชูเจิ้งเอ่ยเสียงต่ำ “ชูอิ่ง เจ้าเองก็ทำเกินกว่าเหตุไปมากนะ ข้าจำเป็นจะต้องลงโทษเจ้าด้วย!“มิฉะนั้นหลังจากเจ้ากลายเป็นพระชายาอ๋องฉู่แล้ว จะเผลอเอานิสัยเยี่ยงนี้ไปใช้ที่จวนอ๋องด้วย ท่านอ๋องจะกล่าวโทษพวกเราว่าไม่รู้จักสั่งสอนเจ้าได้!”เฟิ่งชูอิ่งเชิดหน้ามองเขา แววตาของนางฉายแววเหยียดหยามอยู่หลายส่วนซึ่งแววตาเหยียดหยามพวกนั้นหลินชูเจิ้งเห็นแล้วรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยิ่งนัก จึงกล่าวว่า “งั้นลงโทษให้เจ้า......จ่ายสิบตำลึงเงินเป็นค่ารักษาพวกเขาก็แล้วกัน”ตอนแรกเขาตั้งใจจะกักตัวนางไว้ในห้อง แต่พอคิดๆ ดูอีกที หากกักตัวนางเอาไว้ในจวนสกุลหลิน วันหน้าก็คงจะลงมือกับนางได้ไม่ถนัดหากนางตายในจวนสกุลหลิน ชื่อเสียงในราชสำนักของเขาก็จะพลอยย่ำ

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 17

    ก่อนหน้านี้บ่าวในจวนสกุลหลินเห็นนางต่างก็อยากจะเข้าไปซ้ำเติม คิดหาวิธีมารังแกนางสารพัดบัดนี้แม้พวกบ่าวในจวนจะไม่ถึงขั้นเจอหน้านางก็เดินหลบไปอีกทาง แต่ก็พอจะทราบว่านางเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ได้รังแกกันง่ายๆ เหมือนในอดีตถึงนางจะเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง แต่การเอามีดไล่ฟันทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจเช่นนี้ก็ยังน่ากลัวอยู่ดีด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตหลังจากนั้นของเฟิ่งชูอิ่งจึงค่อนข้างจะสงบสุขแต่ก็แค่ ‘ค่อนข้าง’ สงบสุขนะ เพราะช่วงสองสามวันมานี้นางยุ่งพอสมควรเลยไม่กี่วันก่อนนางลองเดินสำรวจรอบๆ จวนสกุลหลิน และพบความจริงบางอย่าง จวนสกุลหลินถูกจัดวางตำแหน่งเป็นค่ายกลฮวงจุ้ยขนาดใหญ่ซึ่งค่ายกลดังกล่าวขับเคลื่อนโดยมีนางเป็นฐานเรียกง่ายๆ ว่าทุกวันนี้จวนสกุลหลินเจริญก้าวหน้าได้ ก็เพราะว่ามีนางอยู่นางมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของจวนสกุลหลิน คอยต้านเภทภัยทั้งหลายให้จวนสกุลหลินหากนางตาย ก็จะกลายเป็นของบำรุงโชคชะตาของจวนสกุลหลิน หล่อเลี้ยงคนทั้งหมดที่อยู่ในจวนค่ายกลแบบนี้ไม่สามารถใช้คำว่าไร้คุณธรรมมาอธิบายได้หรอก นี่มันเป็นการกระทำที่ชั่วช้าสามานย์ ต่ำทรามไม่เหลือความเป็นคน!ค่ายกลชนิดนี้ไม่สามารถ

    Last Updated : 2024-06-04

Latest chapter

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 942

    แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 941

    เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 940

    ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 939

    ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 938

    เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 937

    ถัดมา ม่านหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เผยให้เห็นเงาร่างน่าขนลุก รูปร่างคล้ายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนปู๋เยี่ยโหวเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว “แม่เจ้า!”พูดจบก็กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาอยากจะด่าบรรพบุรุษปู๋เยี่ยโหวสิบแปดชั่วโคตร!พุ่งเข้ามาแบบนี้ ตัวหนักขนาดนี้ เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อายุก็มากแล้ว จะแบกปู๋เยี่ยโหวไหวได้อย่างไร!แล้วทั้งสองคนก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น ปู๋เยี่ยโหวกลายเป็นเบาะรองคนอื่นๆ ก็ตกใจตัวสั่นด้วยความกลัว เบียดเสียดกันเป็นก้อนตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา พระโอรสผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางผู้สุขุมเยือกเย็นในราชสำนัก ต่างก็หดตัวเป็นก้อน อยากจะเบียดเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียวบางคนที่ว่องไวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพระราชวังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาแทบสิ้นสติตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปู๋เยี่ยโหวเลย พอเกิดเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ จะไม่เชื่อก็ยากแล้วเดิมทีฮองเฮายังอยากจะซักถามปู๋เยี่ยโหวสองสามคำ พอเห็นสภาพแบบนี้นางก็พูดอะไรไม่ออกตอนนี้ทุกคนมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นหรือว่าเป็นเพราะองค์ฮ่องเต้เจาหยวนท

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 936

    สุดท้ายปู๋เยี่ยโหวที่มีชนักติดหลังก็ยังอดแววตาสั่นไหวไม่ได้การกระพริบตาของเขา คนทั่วไปอาจจะไม่เห็นถึงปัญหา แต่คนที่เขากำลังเผชิญอยู่คือท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายตีความได้ทันทีว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของปู๋เยี่ยโหวท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายด่าทออยู่ในใจ “เจ้าตัวสร้างปัญหา ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ยังมาทำลายพระศพให้เป็นแบบนี้ คิดจะโยนความผิดให้คนอื่นรึไง?”“โง่จริงๆ โง่ที่สุด!”ถึงแม้จะด่าทออยู่ในใจอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อยเขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่า หากคนเรามีบาปกรรมมากมาย เมื่อตายไป ร่างกายก็จะถูกทำลาย”“แต่เรื่องนี้ข้าแค่เคยได้ยินมา ไม่เคยเห็นมาก่อน”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามปู๋เยี่ยโหวว่า “เมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรงหรือ?”เมื่อปู๋เยี่ยโหวได้ยินคำถามนี้ ก็รู้ทันทีว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายรู้แล้วว่าสภาพของฮ่องเต้เจาหยวนที่เป็นแบบนี้เป็นฝีมือของเขาเขาลอบถอนหายใจเบาๆ นี่แหละจิ้งจอกเฒ่าตัวจริง ไม่มีอะไรปิดบังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เลย โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ข้างเดียวกับเขาปู๋เยี่ยโหวตอบทันทีว่า “หลังจากที่อ๋องผู้สำเร็จราช

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 935

    ปู๋เยี่ยโหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม จึงลงมือทุบกระดูกมือและกระดูกขาของฮ่องเต้เจาหยวนจนแหลกละเอียดฮ่องเต้เจาหยวน “……”ฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”ไอ้เจ้าสุนัขปู๋เยี่ยโหวมันกล้าดีอย่างไรมาทำลายศพของเขา! เขาจะฆ่ามัน!พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอย่างฉับพลันแต่เขายังไม่ทันได้กลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ก็ถูกพลังมังกรซัดกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเนื่องจากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป พลังมังกรจึงตัดสินว่าเขาเป็นวิญญาณร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งในการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อันตรายเช่นนี้ พลังมังกรจะแสดงพลังอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยการตรงเข้าไปฉีกวิญญาณของฮ่องเต้เจาหยวนจนแตกเป็นเสี่ยงๆฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”เขายังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้วไม่ว่าเขาจะมีความโกรธหรือความไม่ยินยอมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นพลังมังกรจึงคุ้มครองเขาแต่หลังจากเขาตาย วิญญาณของเขาก็ไม่ต่างจากวิญญาณตนอื่นๆเพราะทันทีที่ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ เขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อวิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณร้าย มันก็จะถูกพลังมังกรโจมตียิ่งไป

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 934

    ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้

DMCA.com Protection Status