แชร์

บทที่ 4

เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”

“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา

เจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”

“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”

“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”

“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”

“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”

เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?

“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”

หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอย่างเชื่องช้า หว่างคิ้วแววตาดูหม่นหมองอึมครึมเหมือนคนเบื่อโลก

คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยหนัก ทั้งที่จริงแล้วเขาถูกคำสาปชั่วร้ายกัดกินพลังชีวิตและช่วงชิงโชคชะตาไปต่างหากละ

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสหาวิธีมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขา ป่านนี้เขาก็คงตายไปนานแล้ว

สาเหตุที่เขาเดินทางมาอารามวันนี้ ก็เพราะมันครบกำหนดการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ต้องทำพิธีทุกๆ สิบวัน

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเจอว่าที่พระชายาของตนเองที่นี่

เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงของเฟิ่งชูอิ่งตอนที่อยู่ในห้อง กับดวงตาหลุกหลิกของนางยามเอ่ยเรื่องโกหก ก็อดสบถออกมามิได้ “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!”

เฟิ่งชูอิ่งยามนี้ออกมาจากอารามเรียบร้อยแล้ว และกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่จวนสกุลหลิน ทว่าจู่ๆ ก็จามออกเสียงดังลั่น

นางสูดจมูกเล็กน้อย ก่อนจะฟูมฟายนึกเสียดายเงินทองที่เสียไปกับตัวเองเงียบๆ

แต่หลังจากนางฟูมฟายให้เงินทองพวกนั้นเสร็จแล้ว ก็แอบรู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนี้นางก็รอดจากการถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้กระบี่แทงหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้

คราวนี้ก็ถึงเวลาคิดว่าหลังจากนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปดี ถึงจะรักษาชีวิตให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะดีที่สุดหากนางสามารถมีชีวิตต่อไปได้แบบยาวๆ เลย

อย่างแรกเลยคือนางห้ามล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย จอมวายร้ายที่เป็นบอสใหญ่สุดของนิยายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

ตอนนี้นางเสียใจอย่างสุดแสน ตอนแรกไม่น่ารังเกียจนิยายน้ำเน่าจนไม่ยอมอ่านต่อเลย...

น้ำเน่าสิดี

หากนางอ่านต่ออีกสักหน่อย ล่วงรู้รายละเอียดของเนื้อหาหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ตกเป็นรองถึงเพียงนี้

ตอนนี้นางทำได้เพียงนึกถึงเรื่องราวที่ญาติผู้น้องเมื่อชาติที่แล้วเคยเล่าให้ฟัง พาลรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างขมุกขมัวเหลือเกิน

นางก้มมองไข่มุกแวววาวสองเม็ดในมือ ก่อนจะนึกว่าเมื่อนางกลับไปถึงจวนสกุลหลินแล้วจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร จึงตรงดิ่งไปซื้อมีดเล่มหนึ่งจากร้านตีเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ

หลังจากซื้อมีดแล้ว ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายของชำ นางก็แวะซื้อเชือกป่าน ผงปูนขาวและของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย

ก่อนจะเดินตามความทรงจำของร่างเดิมไปจนถึงประตูจวนสกุลหลิน แหงนหน้ามองตัวอักษรสีทอง ‘สกุลหลิน’ สองตัวบนป้าย ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ

นางยื่นมือออกไปประสานมุทรา ก่อนจะลากผ่านดวงตาของตนเองอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มองเห็นภาพที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น

อย่างเช่นว่า ท้องฟ้าเหนือจวนสกุลหลินมีออร่าสีม่วงอ่อนๆ ลอยอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลาย

หมายความว่าเจ้าของที่อาศัยอยู่ในจวนนี้ ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทำเรื่องอะไรก็ราบรื่น แล้วยังมีโอกาสเลื่อนยศหรือร่ำรวยอีกต่างหาก

และสิ่งที่ทำให้จวนสกุลหลินเจริญรุ่งเรืองและผาสุกได้ขนาดนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาจากจวนสกุลเฟิ่ง กับเส้นสายที่บิดาเฟิ่งทิ้งเอาไว้ให้นาง

ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดปี นายท่านหลินที่แต่เดิมไม่เป็นที่รู้จัก กลับเลื่อนยศจากขุนนางธรรมดาขั้นหก กลายเป็นขุนนางขั้นที่สาม ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังในปัจจุบัน

อีกทั้งในช่วงเจ็ดปีนี้ คนตระกูลหลินก็ปฏิบัติกับเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลังจากพวกเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการหมดแล้ว นางก็ถูกขับไล่ไสส่งจากการเป็นแขกคนสำคัญของจวน กลายเป็นแค่เด็กสาวน่าสงสารที่ต้องอยู่ในกระท่อมมุงจาก กินหมั่นโถวเย็นชืดและผักดองเค็มประทังชีวิต

พวกเขาปิดหูปิดตาปล่อยให้คนใช้ในจวนรังแกนาง หลายครั้งยังพยายามจะฆ่านางให้ตาย เพื่อช่วงชิงทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้นาง

ตอนแรกที่ราชสำนักเสาะหาพระชายาให้อ๋องฉู๋ บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างไม่มีใครยอมยกบุตรสาวของตนเองให้แต่งงานกับเขา เพราะว่าที่พระชายาหลายคนก่อนหน้านั้นล้วนตายอย่างเป็นปริศนา นายท่านหลินจึงได้เสนอชื่อนางออกไป

ร่างเดิมมีนิสัยหัวอ่อนชักจูงง่าย และเป็นพวกอ่อนแอไม่สู้คน หลังจากทราบเรื่องดังกล่าว นางก็เสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูก

เพื่อเอาตัวรอด นางจึงไปคว้าเฉินเยี่ยนเซิงที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย...

เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ ในเมื่อนางมาที่โลกนี้และใช้ชีวิตแทนร่างเดิม เช่นนั้นนางก็จะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนางคืนมาให้หมด!

ในเมื่อคิดจะทวงทุกอย่างของนางคืนมา เช่นนั้นเลือดและโชคชะตาของนางที่ถูกคนสกุลหลินสูบกลืนไปด้วย นางก็ต้องเอาคืนกลับมาเช่นกัน

นางหยิบกิ่งไม้แถวนั้นขึ้นมาวาดค่ายกลแห่งหนึ่งหน้าประตูทางเจ้าจวนสกุลหลิน

ค่ายกลเพิ่งจะถูกวาดเสร็จ ไอเหมันต์เย็นเยียบขุมหนึ่งก็พัดออกมาจากประตูจวนสกุลหลิน ก่อนจะมองเห็นร่างวิญญาณดวงหนึ่งตรงมุมมืดใต้ชายคาของจวน คิ้วเรียวสวยพลันเลิกสูงเล็กน้อย

ยามเฝ้าจวนที่มองเห็นนางยืนอยู่ก็เอ่ยเสียงเย็นชา “คุณหนูต่างสกุลถือกิ่งไม้มาวาดอะไรส่งเดชตรงนี้กัน ท่านไม่สมควรจะมายื่นเหม่ออยู่ตรงนี้มิใช่หรือ?

“นายท่านกับฮูหยินรอท่านอยู่ในห้องนานมากแล้ว ยังไม่รีบเข้าไปคารวะพวกท่านอีก!”

นางไม่สนใจคนเฝ้าประตู แต่กลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายค่อนแคะอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย”

“มาอาศัยขอเกาะกินอยู่บ้านคนอื่นเขาแท้ๆ ยังทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ที่ต้องมีคนคอยรับใช้ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้อยู่อีก ถุย!”

เฟิ่งชูอิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หันกลับไปต่อปากต่อคำกับคนเฝ้าประตู เชิดหน้าเดินตรงเข้าไปในจวน

สาวใช้บ่าวชายที่มองเห็นนางเดินเข้ามาก็หันไปซุบซิบนินทากัน “ได้ยินว่าเมื่อคืนนางวางแผนจะหนีตามผู้ชาย ก่อนจะหนีตามไปยังยอมหลับนอนกับเขาอีก”

“ทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีก ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”

“นางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีค่าอะไรเลย ได้แต่งงานกับอ๋องฉู่ก็นับว่าเป็นวาสนามากแล้ว นางกลับกล้าทิ้งงานแต่งหนีตามผู้ชาย!”

“คนแบบนางเนี่ย กลับมาก็รังแต่จะทำให้จวนสกุลหลินสกปรกไปด้วย นางควรจะตายอยู่ข้างนอกมากกว่า!”

เฟิ่งชูอิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยดวงตาที่เย็นชา

วาจาข่มเหง สาปแช่งด่าทอและเปรียบเปรยกระทบกระเทียบพวกนี้ หากนางลองค้นในความทรงจำของร่างเดิมที่ตายไป คงจะขนออกมาวางรวมกันได้เป็นกองเชียวละ

ผู้คนในจวนสกุลหลินปลูกฝังความรู้สึกด้านลบอันรุนแรงใส่ร่างเดิม บีบคั้นจนร่างเดิมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

หากคนที่จิตใจอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ทุกวัน คงได้ถูกกัดดันจนเป็นบ้าเสียสติแน่ การที่ร่างเดิมแค่หม่นหมองเซื่องซึม ก็นับว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว

การที่บ่าวรับใช้ในจวนกล้าเช่นนี้กับนาง ก็เพราะมีเจ้านายทั้งหลายคอยถือหางอยู่น่ะสิ

นางทราบว่าเรื่องที่ร่างเดิมหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงนั้น เป็นแผนการที่หลินหว่านถิงตั้งใจเตรียมการมาอย่างดี จุดประสงค์เพื่อให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง

ขอแค่นางถูกเฉินเยี่ยนเซิงช่วงชิงความบริสุทธิ์ไป จวนสกุลหลินก็จะสลัดนางทิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากจะฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางได้แล้ว ยังไม่ถือเป็นการล่วงเกินอ๋องฉู่ด้วย

แต่เพราะนางทะลุมิติมา ก็เลยไม่ได้เดินตามแผนการที่หลินหว่านถิงวางเอาไว้ แต่หลินหว่านถิงกลับจงใจปล่อยข่าวลือในจวนเหมือนเดิม คงตั้งใจจะบีบให้นางฆ่าตัวตาย

เฟิ่งชูอิ่งกระตุกมุมปากเบาๆ ใครจะอยู่ใครจะตาย มันก็ยังไม่แน่หรอกนะ!

นางเดินมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลักของจวน ระหว่างทางก็คว้ากระบองท่อนหนึ่งขึ้นมาขีดเขียนกำแพงฝั่งซ้ายและขวาของจวนไปด้วย

จวนที่เดิมมีบรรยากาศสงบร่มเย็น กลับมีไอหนาวเหน็บแผ่ออกมาจากรอบด้าน

กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเดินไปถึงห้องโถงหลัก บรรยากาศของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม

นางกวาดตามองห้องโถงหลักที่กว้างขวางและหรูหรา เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปข้างใน

นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาด้านในห้อง ก็ได้ยินเสียงคนตะคอกใส่ทันที “คุกเข่า!”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status