Share

บทที่ 4

Author: ดอกถังร่วงหล่น
last update Last Updated: 2024-06-04 18:41:53
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”

“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชา

เจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”

“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”

“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”

“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”

“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”

เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?

“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”

หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอย่างเชื่องช้า หว่างคิ้วแววตาดูหม่นหมองอึมครึมเหมือนคนเบื่อโลก

คนทั้งเมืองหลวงรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่พวกเขาคิดว่าเป็นเพราะอาการป่วยหนัก ทั้งที่จริงแล้วเขาถูกคำสาปชั่วร้ายกัดกินพลังชีวิตและช่วงชิงโชคชะตาไปต่างหากละ

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากไม่ใช่เพราะเจ้าอาวาสหาวิธีมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เขา ป่านนี้เขาก็คงตายไปนานแล้ว

สาเหตุที่เขาเดินทางมาอารามวันนี้ ก็เพราะมันครบกำหนดการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ต้องทำพิธีทุกๆ สิบวัน

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญเจอว่าที่พระชายาของตนเองที่นี่

เมื่อนึกถึงคำพูดและการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงของเฟิ่งชูอิ่งตอนที่อยู่ในห้อง กับดวงตาหลุกหลิกของนางยามเอ่ยเรื่องโกหก ก็อดสบถออกมามิได้ “เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!”

เฟิ่งชูอิ่งยามนี้ออกมาจากอารามเรียบร้อยแล้ว และกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่จวนสกุลหลิน ทว่าจู่ๆ ก็จามออกเสียงดังลั่น

นางสูดจมูกเล็กน้อย ก่อนจะฟูมฟายนึกเสียดายเงินทองที่เสียไปกับตัวเองเงียบๆ

แต่หลังจากนางฟูมฟายให้เงินทองพวกนั้นเสร็จแล้ว ก็แอบรู้สึกดีใจ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร วันนี้นางก็รอดจากการถูกจิ่งโม่เยี่ยใช้กระบี่แทงหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้

คราวนี้ก็ถึงเวลาคิดว่าหลังจากนี้นางจะทำอย่างไรต่อไปดี ถึงจะรักษาชีวิตให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จะดีที่สุดหากนางสามารถมีชีวิตต่อไปได้แบบยาวๆ เลย

อย่างแรกเลยคือนางห้ามล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย จอมวายร้ายที่เป็นบอสใหญ่สุดของนิยายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด

ตอนนี้นางเสียใจอย่างสุดแสน ตอนแรกไม่น่ารังเกียจนิยายน้ำเน่าจนไม่ยอมอ่านต่อเลย...

น้ำเน่าสิดี

หากนางอ่านต่ออีกสักหน่อย ล่วงรู้รายละเอียดของเนื้อหาหลังจากนี้ ก็คงจะไม่ตกเป็นรองถึงเพียงนี้

ตอนนี้นางทำได้เพียงนึกถึงเรื่องราวที่ญาติผู้น้องเมื่อชาติที่แล้วเคยเล่าให้ฟัง พาลรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างขมุกขมัวเหลือเกิน

นางก้มมองไข่มุกแวววาวสองเม็ดในมือ ก่อนจะนึกว่าเมื่อนางกลับไปถึงจวนสกุลหลินแล้วจะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร จึงตรงดิ่งไปซื้อมีดเล่มหนึ่งจากร้านตีเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ

หลังจากซื้อมีดแล้ว ระหว่างทางเดินผ่านร้านขายของชำ นางก็แวะซื้อเชือกป่าน ผงปูนขาวและของอย่างอื่นติดไม้ติดมือมาด้วย

ก่อนจะเดินตามความทรงจำของร่างเดิมไปจนถึงประตูจวนสกุลหลิน แหงนหน้ามองตัวอักษรสีทอง ‘สกุลหลิน’ สองตัวบนป้าย ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ

นางยื่นมือออกไปประสานมุทรา ก่อนจะลากผ่านดวงตาของตนเองอย่างแผ่วเบา เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็มองเห็นภาพที่คนปกติทั่วไปมองไม่เห็น

อย่างเช่นว่า ท้องฟ้าเหนือจวนสกุลหลินมีออร่าสีม่วงอ่อนๆ ลอยอยู่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพวกขุนนางและชนชั้นสูงทั้งหลาย

หมายความว่าเจ้าของที่อาศัยอยู่ในจวนนี้ ครอบครัวรักใคร่ปรองดอง ทำเรื่องอะไรก็ราบรื่น แล้วยังมีโอกาสเลื่อนยศหรือร่ำรวยอีกต่างหาก

และสิ่งที่ทำให้จวนสกุลหลินเจริญรุ่งเรืองและผาสุกได้ขนาดนี้ ก็คือทรัพย์สมบัติมหาศาลที่เฟิ่งชูอิ่งขนติดตัวมาจากจวนสกุลเฟิ่ง กับเส้นสายที่บิดาเฟิ่งทิ้งเอาไว้ให้นาง

ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดปี นายท่านหลินที่แต่เดิมไม่เป็นที่รู้จัก กลับเลื่อนยศจากขุนนางธรรมดาขั้นหก กลายเป็นขุนนางขั้นที่สาม ดำรงตำแหน่งรองเจ้ากรมคลังในปัจจุบัน

อีกทั้งในช่วงเจ็ดปีนี้ คนตระกูลหลินก็ปฏิบัติกับเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

หลังจากพวกเขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการหมดแล้ว นางก็ถูกขับไล่ไสส่งจากการเป็นแขกคนสำคัญของจวน กลายเป็นแค่เด็กสาวน่าสงสารที่ต้องอยู่ในกระท่อมมุงจาก กินหมั่นโถวเย็นชืดและผักดองเค็มประทังชีวิต

พวกเขาปิดหูปิดตาปล่อยให้คนใช้ในจวนรังแกนาง หลายครั้งยังพยายามจะฆ่านางให้ตาย เพื่อช่วงชิงทรัพย์สมบัติที่บิดามารดาทิ้งไว้ให้นาง

ตอนแรกที่ราชสำนักเสาะหาพระชายาให้อ๋องฉู๋ บรรดาขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างไม่มีใครยอมยกบุตรสาวของตนเองให้แต่งงานกับเขา เพราะว่าที่พระชายาหลายคนก่อนหน้านั้นล้วนตายอย่างเป็นปริศนา นายท่านหลินจึงได้เสนอชื่อนางออกไป

ร่างเดิมมีนิสัยหัวอ่อนชักจูงง่าย และเป็นพวกอ่อนแอไม่สู้คน หลังจากทราบเรื่องดังกล่าว นางก็เสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูก

เพื่อเอาตัวรอด นางจึงไปคว้าเฉินเยี่ยนเซิงที่เป็นดั่งฟางเส้นสุดท้าย...

เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจลึกๆ ในเมื่อนางมาที่โลกนี้และใช้ชีวิตแทนร่างเดิม เช่นนั้นนางก็จะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนางคืนมาให้หมด!

ในเมื่อคิดจะทวงทุกอย่างของนางคืนมา เช่นนั้นเลือดและโชคชะตาของนางที่ถูกคนสกุลหลินสูบกลืนไปด้วย นางก็ต้องเอาคืนกลับมาเช่นกัน

นางหยิบกิ่งไม้แถวนั้นขึ้นมาวาดค่ายกลแห่งหนึ่งหน้าประตูทางเจ้าจวนสกุลหลิน

ค่ายกลเพิ่งจะถูกวาดเสร็จ ไอเหมันต์เย็นเยียบขุมหนึ่งก็พัดออกมาจากประตูจวนสกุลหลิน ก่อนจะมองเห็นร่างวิญญาณดวงหนึ่งตรงมุมมืดใต้ชายคาของจวน คิ้วเรียวสวยพลันเลิกสูงเล็กน้อย

ยามเฝ้าจวนที่มองเห็นนางยืนอยู่ก็เอ่ยเสียงเย็นชา “คุณหนูต่างสกุลถือกิ่งไม้มาวาดอะไรส่งเดชตรงนี้กัน ท่านไม่สมควรจะมายื่นเหม่ออยู่ตรงนี้มิใช่หรือ?

“นายท่านกับฮูหยินรอท่านอยู่ในห้องนานมากแล้ว ยังไม่รีบเข้าไปคารวะพวกท่านอีก!”

นางไม่สนใจคนเฝ้าประตู แต่กลับได้ยินเสียงอีกฝ่ายค่อนแคะอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย”

“มาอาศัยขอเกาะกินอยู่บ้านคนอื่นเขาแท้ๆ ยังทำตัวเป็นคุณหนูใหญ่ที่ต้องมีคนคอยรับใช้ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้อยู่อีก ถุย!”

เฟิ่งชูอิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หันกลับไปต่อปากต่อคำกับคนเฝ้าประตู เชิดหน้าเดินตรงเข้าไปในจวน

สาวใช้บ่าวชายที่มองเห็นนางเดินเข้ามาก็หันไปซุบซิบนินทากัน “ได้ยินว่าเมื่อคืนนางวางแผนจะหนีตามผู้ชาย ก่อนจะหนีตามไปยังยอมหลับนอนกับเขาอีก”

“ทำเรื่องแบบนั้นลงไปแล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่อีก ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”

“นางก็เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีค่าอะไรเลย ได้แต่งงานกับอ๋องฉู่ก็นับว่าเป็นวาสนามากแล้ว นางกลับกล้าทิ้งงานแต่งหนีตามผู้ชาย!”

“คนแบบนางเนี่ย กลับมาก็รังแต่จะทำให้จวนสกุลหลินสกปรกไปด้วย นางควรจะตายอยู่ข้างนอกมากกว่า!”

เฟิ่งชูอิ่งฟังคำพูดเหล่านั้นด้วยดวงตาที่เย็นชา

วาจาข่มเหง สาปแช่งด่าทอและเปรียบเปรยกระทบกระเทียบพวกนี้ หากนางลองค้นในความทรงจำของร่างเดิมที่ตายไป คงจะขนออกมาวางรวมกันได้เป็นกองเชียวละ

ผู้คนในจวนสกุลหลินปลูกฝังความรู้สึกด้านลบอันรุนแรงใส่ร่างเดิม บีบคั้นจนร่างเดิมรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

หากคนที่จิตใจอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ทุกวัน คงได้ถูกกัดดันจนเป็นบ้าเสียสติแน่ การที่ร่างเดิมแค่หม่นหมองเซื่องซึม ก็นับว่าจิตใจเข้มแข็งมากแล้ว

การที่บ่าวรับใช้ในจวนกล้าเช่นนี้กับนาง ก็เพราะมีเจ้านายทั้งหลายคอยถือหางอยู่น่ะสิ

นางทราบว่าเรื่องที่ร่างเดิมหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงนั้น เป็นแผนการที่หลินหว่านถิงตั้งใจเตรียมการมาอย่างดี จุดประสงค์เพื่อให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง

ขอแค่นางถูกเฉินเยี่ยนเซิงช่วงชิงความบริสุทธิ์ไป จวนสกุลหลินก็จะสลัดนางทิ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากจะฮุบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนางได้แล้ว ยังไม่ถือเป็นการล่วงเกินอ๋องฉู่ด้วย

แต่เพราะนางทะลุมิติมา ก็เลยไม่ได้เดินตามแผนการที่หลินหว่านถิงวางเอาไว้ แต่หลินหว่านถิงกลับจงใจปล่อยข่าวลือในจวนเหมือนเดิม คงตั้งใจจะบีบให้นางฆ่าตัวตาย

เฟิ่งชูอิ่งกระตุกมุมปากเบาๆ ใครจะอยู่ใครจะตาย มันก็ยังไม่แน่หรอกนะ!

นางเดินมุ่งหน้าไปทางห้องโถงหลักของจวน ระหว่างทางก็คว้ากระบองท่อนหนึ่งขึ้นมาขีดเขียนกำแพงฝั่งซ้ายและขวาของจวนไปด้วย

จวนที่เดิมมีบรรยากาศสงบร่มเย็น กลับมีไอหนาวเหน็บแผ่ออกมาจากรอบด้าน

กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะเดินไปถึงห้องโถงหลัก บรรยากาศของจวนสกุลหลินก็เปลี่ยนไปจนไม่เหลือเค้าเดิม

นางกวาดตามองห้องโถงหลักที่กว้างขวางและหรูหรา เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะก้าวฉับๆ เข้าไปข้างใน

นางเพิ่งจะก้าวเข้ามาด้านในห้อง ก็ได้ยินเสียงคนตะคอกใส่ทันที “คุกเข่า!”

Related chapters

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 5

    เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 6

    เฟิ่งชูอิ่งโพล่งออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่านลุงสั่งให้ท่านป้าตบหน้าตัวเองสิบทีแล้วเอ่ยขอโทษข้า จากนั้นก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดที่ฉกฉวยไปจากข้ามาคืนให้ครบถ้วนทีสิ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!!”นางกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!เขาถลึงตามองนาง “เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “รู้ตัวสิ ท่านลุงเพิ่งจะบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกข้ามิใช่หรือ แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ท่านป้าเอาแต่ตบตีด่าทอข้าตลอดเลย“เมื่อกี้นี้ท่านป้าก็เพิ่งจะด่าข้าแบบสาดเสียเทเสีย หากนางยังเหลือความจริงใจอยู่บ้างก็ควรจะกล่าวขอโทษข้ามิใช่หรือ?“ขอโทษเสร็จแล้ว ก็ช่วยเอาทรัพย์สินทั้งหมดของข้ามาคืนด้วยล่ะ ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่าข้ายังเด็กไม่รู้ความ ก็เลยจะช่วยดูแลรักษาให้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้ข้าโตแล้วก็สมควรได้คืนกระมัง!”หลินชูเจิ้ง “......”เขารู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งแตกต่างไปจากความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนขอแค่เขาพูดปลอบนางนิดเดียว เฟิ่งชูอิ่งก็จะยอมทำตามอย่างว่านอนสอนง่ายทว่าวันนี้นางกลับกล้าสั่งให้เขาคืนเงิน มันจะเป็นไปได้อย่างไรละ!หลินชูเจิ้งมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า “ชูอิ่ง ท่านป้าของเจ้าเป็นผู้ใ

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 7

    เฟิ่งชูอิ่งออกมายืนหน้าเรือนแล้วส่งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ไฟไหม้! รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”ไฟลุกท่วมขนาดนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดายบ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลินวิ่งวุ่นช่วยกันดับไฟ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะเพลิงลุกไหม้หนักขนาดนี้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะลามไปไหม้เรือนอื่นๆ ในจวนได้ระหว่างที่บ่าวช่วยกันดับไฟ เฟิ่งชูอิ่งก็แสร้งยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ “ไอ้หยา ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวของพวกท่านชีวิตอาภัพยิ่งนัก!” “สมบัติที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ข้าล้วนอยู่ข้างในนั่น ต่อจากนี้ไปหากข้าคิดถึงพวกท่านขึ้นมา แค่ของจะดูต่างหน้าก็ยังไม่มีเลย!” จากตอนแรกที่บ่าวรับใช้ในเรือนแค่มาช่วยกันดับไฟตามหน้าที่เฉยๆ หลังจากได้ยินคำพูดของนางเข้าไป แต่ละคนก็เร่งดับไฟกันอย่างขยันขันแข็งทันทีพวกเขาต่างวาดหวังว่าทรัพย์สินพวกนั้นจะยังไม่ถูกไฟไหม้เสียหาย หลังดับไฟเสร็จพวกเขาจะได้หยิบฉวยติดไม้ติดมือกลับไปเพราะพวกเขาลงทุนลงแรงดับไฟกันอย่างเต็มที่ บางคนถึงขั้นได้รับแผลจากไฟไหม้เฟิ่งชูอิ่งมองพวกเขาดับไฟ ร่ำไห้ฟูมฟายว่า “กำไลที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ข้า ป้ายหยกที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ข้า! พวกมันเป็

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 8

    สาวใช้นางนั้นตอบรับหนึ่งเสียง ก่อนจะถือมีดทำครัวเดินจากไปด้วยท่าทางเหม่อลอย มุ่งหน้าตรงไปยังห้องของฮว๋าซื่อเนื่องจากเวลานี้ดึกมากแล้ว บรรยากาศรอบตัวจึงมืดสนิท แม้จะมีข้ารับใช้ในจวนมองเห็นสาวใช้คนนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจ อีกทั้งพวกเขายังเดินห่างกันมาก จึงมองไม่เห็นบาดแผลบนศีรษะของนางเนื่องจากหลินชูเจิ้งยกห้องพักที่ติดกับเรือนของหลินหว่านถิงให้เฟิ่งชูอิ่ง จึงถูกฮว๋าซื่อบ่นเสียยกใหญ่ คืนนี้เขาจึงไม่ไปนอนค้างที่เรือนของ และขลุกอยู่ในเรือนของอนุภรรยาแทนเวลานี้หลินหว่านถิงก็อยู่ในห้องของฮว๋าซื่อด้วย สองแม่ลูกกำลังช่วยกันคิดว่าจะจัดการเฟิ่งชูอิ่งอย่างไรดีวันนี้หลินหว่านถิงถูกเฟิ่งชูอิ่งเอารัดเอาเปรียบทำร้ายสารพัด แค่นี้นางก็แทบจะข่มความโกรธไว้ไม่ไหวแล้วต่อมานางยังได้ยินอีกว่าเฟิ่งชูอิ่งจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ นางจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเฟิ่งชูอิ่งมันมีอะไรดีกัน มีสิทธิ์อะไรย้ายเข้าไปพักอาศัยในห้องที่ดีขนาดนั้น แล้วยังอยู่ติดกับเรือนของนางอีก?นางพูดกับฮว๋าซื่อด้วยตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ท่านหาข้ออ้างย้ายนังเฟิ่งชูอิ่งไปไกลๆ ได้หรือไม่”“อีกเดี๋ยวนางก็จะตายแล้ว ให้นางมาอยู่ติดกับข้าขนาดนั้น ช่า

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 9

    ฮว๋าซื่อโกรธจนพูดอะไรไม่ออกเฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง สาวใช้คนนี้ยกให้ท่านลุงกับท่านป้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คัดค้านอยู่แล้ว”วันนี้หลินชูเจิ้งถูกขัดจังหวะความสุขและกำลังหงุดหงิดอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “สาวใช้คนนี้ล่วงเกินเจ้านาย หมายจะสังหารฮูหยินเอกของจวน ลากตัวออกไปโบยจนตาย!”บัดนี้ สติสัมปชัญญะบางส่วนของสาวใช้เริ่มกลับมาแล้ว ทว่านางกลับดูโง่งมเซื่องซึม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรนางหันไปอ้อนวอนฮว๋าซื่อ “ฮูหยิน ช่วยบ่าวด้วย!”ฮว๋าซื่อได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะบีบคอนางให้ตายคืนนี้ตอนที่สาวใช้นางหนีถือมีดทำครัวบุกเข้ามาในห้อง นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แล้วยังได้รับบาดเจ็บหนักด้วยนังสารเลวนี่ยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากนางอีก!นางกล่าวอย่างเดือดดาล “มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบลากนางออกไปโบยอีก!”สาวใช้คนนั้นดิ้นขัดขืนสุดชีวิต อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกบ่าวหญิงคนหนึ่งเอามือปิดปากแล้วลากตัวออกไปตอนที่นางถูกลากผ่านตัวเฟิ่งชูอิ่งไป เฟิ่งชูอิ่งก็หันไปส่งยิ้มที่ดูไม่คล้ายยิ้มให้นาง แล้วขยับปากแบบไม่ออกเสียง “บ่าวทรย

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 10

    บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ยเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่างปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันทีเชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผลนางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึกแต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกน

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 11

    จิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิดเขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่กก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งนางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ยคิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรเขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลยเขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจเขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั

    Last Updated : 2024-06-04
  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 12

    เจ้าอาวาสรู้จักกับจิ่งโม่เยี่ยมานานหลายปี จึงเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางนำเชือกป่านมาหาเขาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอกและหากจิ่งโม่เยี่ยหาตัวคนสำนักลี้ลับเจอ จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนวันนี้จิ่งโม่เยี่ยนำเชือกมาให้เขาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ซึ่งปกติแล้วจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ นอกเสียจาก...นอกเสียจากคนสำนักลี้ลับที่จิ่งโม่เยี่ยหาเจอจะมีค่อนข้างพิเศษเจ้าอาวาสนึกไม่ออกว่ามีใครพอจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำว่าพิเศษนี้บ้าง ในสมองของเขามีชื่อของเฟิ่งชูอิ่งผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วใครบ้างไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไปขออาศัยจวนสกุลหลิน นางไม่มีทางเกี่ยวข้องกับสำนักลี้ลับได้อยู่แล้วเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าอย่างนั้นคนพิเศษที่ว่านั่นเป็นใครกันล่ะ?หลังจิ่งโม่เยี่ยเดินออกมาจากอารามแล้ว เขาก็ยืนถอนหายใจให้กับธรรมชาติอันงดงามตรงหน้าเขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งไปเรียนการถักเชือกของสำนักลี้ลับมาจากที่ไหน วิธีที่นางใช้ผูกเชือกก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำให้เขาหลับได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วตอนแร

    Last Updated : 2024-06-04

Latest chapter

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 942

    แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 941

    เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 940

    ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 939

    ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 938

    เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 937

    ถัดมา ม่านหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เผยให้เห็นเงาร่างน่าขนลุก รูปร่างคล้ายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนปู๋เยี่ยโหวเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว “แม่เจ้า!”พูดจบก็กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาอยากจะด่าบรรพบุรุษปู๋เยี่ยโหวสิบแปดชั่วโคตร!พุ่งเข้ามาแบบนี้ ตัวหนักขนาดนี้ เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อายุก็มากแล้ว จะแบกปู๋เยี่ยโหวไหวได้อย่างไร!แล้วทั้งสองคนก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น ปู๋เยี่ยโหวกลายเป็นเบาะรองคนอื่นๆ ก็ตกใจตัวสั่นด้วยความกลัว เบียดเสียดกันเป็นก้อนตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา พระโอรสผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางผู้สุขุมเยือกเย็นในราชสำนัก ต่างก็หดตัวเป็นก้อน อยากจะเบียดเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียวบางคนที่ว่องไวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพระราชวังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาแทบสิ้นสติตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปู๋เยี่ยโหวเลย พอเกิดเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ จะไม่เชื่อก็ยากแล้วเดิมทีฮองเฮายังอยากจะซักถามปู๋เยี่ยโหวสองสามคำ พอเห็นสภาพแบบนี้นางก็พูดอะไรไม่ออกตอนนี้ทุกคนมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นหรือว่าเป็นเพราะองค์ฮ่องเต้เจาหยวนท

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 936

    สุดท้ายปู๋เยี่ยโหวที่มีชนักติดหลังก็ยังอดแววตาสั่นไหวไม่ได้การกระพริบตาของเขา คนทั่วไปอาจจะไม่เห็นถึงปัญหา แต่คนที่เขากำลังเผชิญอยู่คือท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายตีความได้ทันทีว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของปู๋เยี่ยโหวท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายด่าทออยู่ในใจ “เจ้าตัวสร้างปัญหา ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ยังมาทำลายพระศพให้เป็นแบบนี้ คิดจะโยนความผิดให้คนอื่นรึไง?”“โง่จริงๆ โง่ที่สุด!”ถึงแม้จะด่าทออยู่ในใจอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อยเขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่า หากคนเรามีบาปกรรมมากมาย เมื่อตายไป ร่างกายก็จะถูกทำลาย”“แต่เรื่องนี้ข้าแค่เคยได้ยินมา ไม่เคยเห็นมาก่อน”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามปู๋เยี่ยโหวว่า “เมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรงหรือ?”เมื่อปู๋เยี่ยโหวได้ยินคำถามนี้ ก็รู้ทันทีว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายรู้แล้วว่าสภาพของฮ่องเต้เจาหยวนที่เป็นแบบนี้เป็นฝีมือของเขาเขาลอบถอนหายใจเบาๆ นี่แหละจิ้งจอกเฒ่าตัวจริง ไม่มีอะไรปิดบังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เลย โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ข้างเดียวกับเขาปู๋เยี่ยโหวตอบทันทีว่า “หลังจากที่อ๋องผู้สำเร็จราช

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 935

    ปู๋เยี่ยโหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม จึงลงมือทุบกระดูกมือและกระดูกขาของฮ่องเต้เจาหยวนจนแหลกละเอียดฮ่องเต้เจาหยวน “……”ฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”ไอ้เจ้าสุนัขปู๋เยี่ยโหวมันกล้าดีอย่างไรมาทำลายศพของเขา! เขาจะฆ่ามัน!พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอย่างฉับพลันแต่เขายังไม่ทันได้กลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ก็ถูกพลังมังกรซัดกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเนื่องจากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป พลังมังกรจึงตัดสินว่าเขาเป็นวิญญาณร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งในการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อันตรายเช่นนี้ พลังมังกรจะแสดงพลังอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยการตรงเข้าไปฉีกวิญญาณของฮ่องเต้เจาหยวนจนแตกเป็นเสี่ยงๆฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”เขายังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้วไม่ว่าเขาจะมีความโกรธหรือความไม่ยินยอมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นพลังมังกรจึงคุ้มครองเขาแต่หลังจากเขาตาย วิญญาณของเขาก็ไม่ต่างจากวิญญาณตนอื่นๆเพราะทันทีที่ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ เขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อวิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณร้าย มันก็จะถูกพลังมังกรโจมตียิ่งไป

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 934

    ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้

DMCA.com Protection Status