เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่
เฟิ่งชูอิ่งโพล่งออกไปว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนท่านลุงสั่งให้ท่านป้าตบหน้าตัวเองสิบทีแล้วเอ่ยขอโทษข้า จากนั้นก็เอาทรัพย์สินทั้งหมดที่ฉกฉวยไปจากข้ามาคืนให้ครบถ้วนทีสิ”หลินชูเจิ้ง “!!!!!!”นางกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!เขาถลึงตามองนาง “เจ้ารู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา?”เฟิ่งชูอิ่งตอบกลับ “รู้ตัวสิ ท่านลุงเพิ่งจะบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกข้ามิใช่หรือ แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ท่านป้าเอาแต่ตบตีด่าทอข้าตลอดเลย“เมื่อกี้นี้ท่านป้าก็เพิ่งจะด่าข้าแบบสาดเสียเทเสีย หากนางยังเหลือความจริงใจอยู่บ้างก็ควรจะกล่าวขอโทษข้ามิใช่หรือ?“ขอโทษเสร็จแล้ว ก็ช่วยเอาทรัพย์สินทั้งหมดของข้ามาคืนด้วยล่ะ ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่าข้ายังเด็กไม่รู้ความ ก็เลยจะช่วยดูแลรักษาให้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้ข้าโตแล้วก็สมควรได้คืนกระมัง!”หลินชูเจิ้ง “......”เขารู้สึกว่าเฟิ่งชูอิ่งแตกต่างไปจากความทรงจำของเขาอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนขอแค่เขาพูดปลอบนางนิดเดียว เฟิ่งชูอิ่งก็จะยอมทำตามอย่างว่านอนสอนง่ายทว่าวันนี้นางกลับกล้าสั่งให้เขาคืนเงิน มันจะเป็นไปได้อย่างไรละ!หลินชูเจิ้งมองเฟิ่งชูอิ่งแล้วกล่าวว่า “ชูอิ่ง ท่านป้าของเจ้าเป็นผู้ใ
เฟิ่งชูอิ่งออกมายืนหน้าเรือนแล้วส่งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที ไฟไหม้! รีบมาช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”ไฟลุกท่วมขนาดนี้ จึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดายบ่าวรับใช้ในจวนสกุลหลินวิ่งวุ่นช่วยกันดับไฟ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ เพราะเพลิงลุกไหม้หนักขนาดนี้ หากปล่อยเอาไว้อาจจะลามไปไหม้เรือนอื่นๆ ในจวนได้ระหว่างที่บ่าวช่วยกันดับไฟ เฟิ่งชูอิ่งก็แสร้งยืนร้องไห้อยู่ข้างๆ “ไอ้หยา ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกสาวของพวกท่านชีวิตอาภัพยิ่งนัก!” “สมบัติที่พวกท่านทิ้งไว้ให้ข้าล้วนอยู่ข้างในนั่น ต่อจากนี้ไปหากข้าคิดถึงพวกท่านขึ้นมา แค่ของจะดูต่างหน้าก็ยังไม่มีเลย!” จากตอนแรกที่บ่าวรับใช้ในเรือนแค่มาช่วยกันดับไฟตามหน้าที่เฉยๆ หลังจากได้ยินคำพูดของนางเข้าไป แต่ละคนก็เร่งดับไฟกันอย่างขยันขันแข็งทันทีพวกเขาต่างวาดหวังว่าทรัพย์สินพวกนั้นจะยังไม่ถูกไฟไหม้เสียหาย หลังดับไฟเสร็จพวกเขาจะได้หยิบฉวยติดไม้ติดมือกลับไปเพราะพวกเขาลงทุนลงแรงดับไฟกันอย่างเต็มที่ บางคนถึงขั้นได้รับแผลจากไฟไหม้เฟิ่งชูอิ่งมองพวกเขาดับไฟ ร่ำไห้ฟูมฟายว่า “กำไลที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ข้า ป้ายหยกที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ข้า! พวกมันเป็
สาวใช้นางนั้นตอบรับหนึ่งเสียง ก่อนจะถือมีดทำครัวเดินจากไปด้วยท่าทางเหม่อลอย มุ่งหน้าตรงไปยังห้องของฮว๋าซื่อเนื่องจากเวลานี้ดึกมากแล้ว บรรยากาศรอบตัวจึงมืดสนิท แม้จะมีข้ารับใช้ในจวนมองเห็นสาวใช้คนนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจ อีกทั้งพวกเขายังเดินห่างกันมาก จึงมองไม่เห็นบาดแผลบนศีรษะของนางเนื่องจากหลินชูเจิ้งยกห้องพักที่ติดกับเรือนของหลินหว่านถิงให้เฟิ่งชูอิ่ง จึงถูกฮว๋าซื่อบ่นเสียยกใหญ่ คืนนี้เขาจึงไม่ไปนอนค้างที่เรือนของ และขลุกอยู่ในเรือนของอนุภรรยาแทนเวลานี้หลินหว่านถิงก็อยู่ในห้องของฮว๋าซื่อด้วย สองแม่ลูกกำลังช่วยกันคิดว่าจะจัดการเฟิ่งชูอิ่งอย่างไรดีวันนี้หลินหว่านถิงถูกเฟิ่งชูอิ่งเอารัดเอาเปรียบทำร้ายสารพัด แค่นี้นางก็แทบจะข่มความโกรธไว้ไม่ไหวแล้วต่อมานางยังได้ยินอีกว่าเฟิ่งชูอิ่งจะย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ นางจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเฟิ่งชูอิ่งมันมีอะไรดีกัน มีสิทธิ์อะไรย้ายเข้าไปพักอาศัยในห้องที่ดีขนาดนั้น แล้วยังอยู่ติดกับเรือนของนางอีก?นางพูดกับฮว๋าซื่อด้วยตาแดงก่ำ “ท่านแม่ ท่านหาข้ออ้างย้ายนังเฟิ่งชูอิ่งไปไกลๆ ได้หรือไม่”“อีกเดี๋ยวนางก็จะตายแล้ว ให้นางมาอยู่ติดกับข้าขนาดนั้น ช่า
ฮว๋าซื่อโกรธจนพูดอะไรไม่ออกเฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินชูเจิ้ง “ท่านลุง สาวใช้คนนี้ยกให้ท่านลุงกับท่านป้าจัดการตามที่เห็นสมควรเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่คัดค้านอยู่แล้ว”วันนี้หลินชูเจิ้งถูกขัดจังหวะความสุขและกำลังหงุดหงิดอย่างมาก จึงเอ่ยว่า “สาวใช้คนนี้ล่วงเกินเจ้านาย หมายจะสังหารฮูหยินเอกของจวน ลากตัวออกไปโบยจนตาย!”บัดนี้ สติสัมปชัญญะบางส่วนของสาวใช้เริ่มกลับมาแล้ว ทว่านางกลับดูโง่งมเซื่องซึม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรนางหันไปอ้อนวอนฮว๋าซื่อ “ฮูหยิน ช่วยบ่าวด้วย!”ฮว๋าซื่อได้ยินเช่นนั้นก็อยากจะบีบคอนางให้ตายคืนนี้ตอนที่สาวใช้นางหนีถือมีดทำครัวบุกเข้ามาในห้อง นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ แล้วยังได้รับบาดเจ็บหนักด้วยนังสารเลวนี่ยังมีหน้ามาร้องขอความเมตตาจากนางอีก!นางกล่าวอย่างเดือดดาล “มัวนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ยังไม่รีบลากนางออกไปโบยอีก!”สาวใช้คนนั้นดิ้นขัดขืนสุดชีวิต อ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกบ่าวหญิงคนหนึ่งเอามือปิดปากแล้วลากตัวออกไปตอนที่นางถูกลากผ่านตัวเฟิ่งชูอิ่งไป เฟิ่งชูอิ่งก็หันไปส่งยิ้มที่ดูไม่คล้ายยิ้มให้นาง แล้วขยับปากแบบไม่ออกเสียง “บ่าวทรย
บุรุษผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นจิ่งโม่เยี่ยเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงสั่น “ท่าน...ท่านอ๋อง?”จิ่งโม่เยี่ยมองสำรวจนางเงียบๆ ก่อนจะโยนบ่วงเชือกป่านลงตรงหน้านาง “ใครเป็นคนทำ?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ก็รู้ทันทีว่าเขาปีนเข้ามาทางหน้าต่างปมเชือกที่อยู่ตรงหน้าต่างแม้จะดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วพลังทำลายรุนแรงมาก ในสถานการณ์ปกติ หากเผลอเหยียบเข้าไป จะถูกปมเชือกพวกนั้นพันธนาการแล้วจับแขวนทันทีเชือกป่านยามนี้ถูกตัดขาด นอกจากจิ่งโม่เยี่ยจะปลอดภัยดีแล้วยังไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แสดงให้เห็นชัดว่ากับดักเชือกที่นางตั้งใจเตรียมเอาไว้ใช้กับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ผลนางด่าสาดเสียเทเสียในใจ คนที่นี่สมองมีปัญหากันหรืออย่างไร ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน คนหนึ่งปีนหน้าต่าง คนหนึ่งงัดประตู บุกรุกห้องนอนของเด็กสาวกลางดึกแต่กลับแสดงท่าทางว่านอนสอนง่าย “ข้ากลัวว่าพวกท่านลุงจะทำร้าย ข้าก็เลยวางปมเชือกพวกนี้ไว้ที่หน้าต่างเพื่อป้องกันตัวเอง”“หากข้าทราบว่าคืนนี้ท่านอ๋องจะมาหา ข้าคงจะไม่เอาอะไรแบบนี้ไปวางที่หน้าต่างแน่นอน”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยได้ฟังเช่นนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกน
จิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!”เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชูอิ่งจะกล้าทำจริง!นางไม่เหมือนกับที่คนเขาลือกันเลยสักนิดเขายกมือขึ้น ใช้สันมือสับหลังคอนางดังพลั่กก่อนนางจะหมดสติได้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งนางสบถด่าหยาบคายในใจชุดใหญ่ ก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะดับวูบ สลบไสลของจริงแบบไม่ได้เสแสร้ง ล้มฟุบพิงแผงอกของจิ่งโม่เยี่ยคิ้วของเขาขมวดชนกันเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรเขาผลักร่างของนางออกจากตัวด้วยท่าทางแอบรังเกียจ ทว่ายามที่มือสัมผัสโดนตัวนาง กลับรู้สึกนุ่มนวลและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกจิ่งโม่เยี่ยก้มมองนางแวบหนึ่ง คิ้วตาของเด็กสาวภายใต้แสงเทียนสลัวให้ความรู้สึกอ่อนหวานน่าทะนุถนอม ไม่เหมือนกับท่าทางดื้อรั้นแสนซนเมื่อครู่นี้เลยเขาแค่นเสียง ‘ฮึ’ เบาๆ ก่อนจะผลักนางออกห่างด้วยท่าทางรังเกียจเขาลุกขึ้นยืนเตรียมจะออกไป กลับพบว่าความบ้าคลั่งที่อาละวาดอยู่ภายในศีรษะของเขามาเนิ่นนานเบาบางลงไปมาก ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวเขายกมือกุมหัวใจตัวเอง ก่อนจะหันไปมองเด็กสาวที่หลับสนิท แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงอีกครั
เจ้าอาวาสรู้จักกับจิ่งโม่เยี่ยมานานหลายปี จึงเข้าใจนิสัยของเขาเป็นอย่างดี เขาไม่มีทางนำเชือกป่านมาหาเขาโดยไร้ต้นสายปลายเหตุหรอกและหากจิ่งโม่เยี่ยหาตัวคนสำนักลี้ลับเจอ จะต้องบอกเขาอย่างแน่นอนวันนี้จิ่งโม่เยี่ยนำเชือกมาให้เขาตรวจสอบเพื่อยืนยัน ทว่าสุดท้ายกลับไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย ซึ่งปกติแล้วจิ่งโม่เยี่ยจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนี้ นอกเสียจาก...นอกเสียจากคนสำนักลี้ลับที่จิ่งโม่เยี่ยหาเจอจะมีค่อนข้างพิเศษเจ้าอาวาสนึกไม่ออกว่ามีใครพอจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับคำว่าพิเศษนี้บ้าง ในสมองของเขามีชื่อของเฟิ่งชูอิ่งผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็วใครบ้างไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไปขออาศัยจวนสกุลหลิน นางไม่มีทางเกี่ยวข้องกับสำนักลี้ลับได้อยู่แล้วเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก ถ้าอย่างนั้นคนพิเศษที่ว่านั่นเป็นใครกันล่ะ?หลังจิ่งโม่เยี่ยเดินออกมาจากอารามแล้ว เขาก็ยืนถอนหายใจให้กับธรรมชาติอันงดงามตรงหน้าเขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งไปเรียนการถักเชือกของสำนักลี้ลับมาจากที่ไหน วิธีที่นางใช้ผูกเชือกก็ไม่สามารถบอกอะไรได้เลยแต่อย่างน้อยนางก็สามารถทำให้เขาหลับได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วตอนแร