นางเอ่ยถาม “ท่านพ่อ หลังจากท่านตาย ร่างวิญญาณก็ถูกขังไว้ในวังหลวง แล้วท่านแม่ล่ะ? นางไปเกิดใหม่แล้วหรือ?”เหมยตงยวนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้หรอก ตอนที่มารดาของเจ้าเสียชีวิต ข้าถูกเรื่องของสำนักลี้ลับรั้งเอาไว้อยู่ ก็เลยไปไม่ทันเวลา”“หลังจากข้าไปถึงที่นั่น ร่างวิญญาณของมารดาเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว ข้าทดลองอัญเชิญวิญญาณนางมาหา แต่กลับหาตัวนางไม่พบเลย”“ข้าได้ยินว่าหลังจากสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่ตายไปแล้ว วิญญาณของพวกนางจะกลับไปสู่อารามศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปกปักษ์รักษาแคว้นซีฉู่”“เอาไว้หลังจากขาของเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะลองไปตามหาที่แคว้นซีฉู่ดู”“เพียงแต่เวลาผ่านมานานมากแล้ว ข้าก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าจะหานางพบหรือไม่”เฟิ่งชูอิ่งจึงกล่าวว่า “หลังจากขาของข้าหายดีแล้ว ข้าจะไปช่วยท่านพ่อตามหาท่านแม่ด้วย”เหมยตงยวนพยักหน้า ตอนแรกเขาอยากถามนางเรื่องที่นางถูกส่งไปเกิดยังโลกอีกใบหนึ่ง เพียงแต่นางกับเขาสนทนากันมานานมากแล้ว นางจึงเริ่มจะง่วงงุนขึ้นมาเขาจึงเก็บคำถามพวกนั้นเอาไว้ก่อน กล่าวเพียงว่า “เจ้าพักผ่อนเถอะ”เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเนื่องจากพิษไข้ นางตอบเสียงแผ่วเ
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “เจ้าหน้าที่ศาลต้าหลี่ไม่กล้าลงโทษข้าอย่างเปิดเผย แต่กลับเปิดประตูคุกออก พวกเขาต้องการยืมมือของนักโทษมาฆ่าข้า”“สถานการณ์ตอนนั้นวุ่นวายไปหมด ข้าต่อสู้กับนักโทษพวกนั้นจึงกลายเป็นสภาพแบบนี้”เหมยตงยวนได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองปู๋เยี่ยโหวเพียงแวบเดียว ด้วยฝีมือทางการแพทย์อันยอดเยี่ยมของเขา เขาเห็นได้ชัดว่าบาดแผลของปู๋เยี่ยโหวนั้นผ่านมาสองสามวันแล้วหากลองนับเวลาแล้ว บาดแผลของปู๋เยี่ยโหวน่าจะเกิดขึ้นในวันที่จิ่งโม่เยี่ยมาที่จวนตากอากาศดังนั้นบาดแผลของปู๋เยี่ยโหวเกรงว่าจะไม่ใช่ฝีมือของนักโทษ แต่เป็นฝีมือของจิ่งโม่เยี่ยเขาตระหนักถึงความจริงของเรื่องทั้งหมด ทว่าทำเพียงมองปู๋เยี่ยโหวพูดโกหกอย่างไม่สนใจปู๋เยี่ยโหวมองเห็นสายตาแจ่มแจ้งของเหมยตงยวน เขาพลันรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่งเยือกเย็นและส่งยิ้มให้เหมยตงยวนเหมยตงยวนส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ เหนื่อยจะสนใจเขาเฟิ่งชูอิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย “เท่าที่ฟังดูแล้ว เจ้านี่ช่างโชคร้ายเสียจริง”ปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจยาว “ข้าก็คิดว่าข้าโชคร้ายมากเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกันเนี่ย!”แม้ว่าครั้งนี้เขาจะโ
ปู๋เยี่ยโหวไม่ได้ใส่ใจรองหัวหน้าศาลต้าหลี่มากนัก เขาเพียงแค่คิดว่าคุกใหญ่ของศาลต้าหลี่เป็นสถานที่หลบภัยที่ดีอีกอย่างสำหรับเขาแล้ว ศาลต้าหลี่ก็เป็นสถานที่ที่เขาอยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา อยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปจริงๆ นั่นแหละแต่แน่นอนว่าเขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับเฟิ่งชูอิ่งปู๋เยี่ยโหวพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารว่า “ชูชู พวกเขาทำร้ายข้าจนเจ็บมากเลย ทำถุงเงินปลอบใจให้ข้าหน่อยหน่อยสิ!”เฟิ่งชูอิ่งหยิบบ๊วยโยนเข้าปากแล้วตอบว่า “ได้สิ”ดวงตาของปู๋เยี่ยโหวเป็นประกาย เขารู้สึกว่าวันนี้นางน่าจะใจดีกว่าในยามปกติ แต่แล้วเขาก็ได้ยินนางพูดว่า “ถ้าท่านพ่อข้ายอมอนุญาต ข้าก็จะทำให้”เหมยตงยวนมองมาที่ปู๋เยี่ยโหว ปู๋เยี่ยโหวจึงรีบพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว!”เหมยตงยวนโยนขี้ผึ้งกระปุกหนึ่งให้เขา “ทาเอาเอง”ปู๋เยี่ยโหวหัวเราะอย่างมีความสุข “ข้ารู้ว่าท่านลุงเหมยเอ็นดูข้าที่สุดแล้ว!”บางครั้งเหมยตงยวนก็คิดว่านิสัยของปู๋เยี่ยโหวนั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงใจ นิสัยร่าเริงสดใส จนทำให้คนเกลียดไม่ลงปู๋เยี่ยโหวก็พบว่าทัศนคติของเหมยตงยวนที่มีต่อเขานั้นดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก อย่างน้อยก็ไม่มาทุบตีเขาอีกแล้
เหมยตงยวนเห็นสภาพหน้าตาเขียวช้ำของเขาจึงพูดเสียงเย็นชาว่า “งามหน้าเหลือเกิน!”ปู๋เยี่ยโหวไม่เคยเกรงกลัวอะไร เขาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หน้าตาสำคัญอะไรเล่าเมื่อเทียบกับชีวิต”ทั้งสองจ้องหน้ากันเขม็งเหมยตงยวนไม่สนใจเขาแล้วหันไปจัดการยาสมุนไพรบาดแผลของเฟิ่งชูอิ่งเกิดจากจิ่งโม่เยี่ย ตามตรรกะทั่วไปแล้วหากทำร้ายคนอื่นก็ต้องเอ่ยขอโทษเป็นอย่างน้อย เหมยตงยวนจึงไม่รู้สึกติดค้างในการเก็บสมุนไพรเหล่านี้สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นของบรรณาการหายากที่ถูกถวายมา คุณภาพสูงมาก มีหลายชนิดที่เฟิ่งชูอิ่งจำเป็นต้องใช้เหมยตงยวนคัดเลือกสมุนไพรที่ใช้ได้ จัดเรียงแล้วนำบางส่วนไปต้มยาบำรุงร่างกายให้เฟิ่งชูอิ่งเฟิ่งชูอิ่งคิดว่าร่างกายของนางดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาอีกแล้ว พอเห็นยาที่ต้มเสร็จใหม่ๆ ก็หน้าเสียนางถามเหมยตงยวนว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ต้องดื่มยานี้ได้ไหม?”เหมยตงยวนยังไม่ได้ตอบ ปู๋เยี่ยโหวก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ได้!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขา เขาจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่คือยาที่ข้าหามาด้วยความยากลำบาก ถ้าเจ้าไม่ดื่มก็เท่ากับเหยียบย่ำความจริงใจของข้า”เฟิ่งชูอิ่งตั้งใจจะกัดฟันดื่ม แต่พอได้ยินประโยคนี้ก็ไ
นางจึงร่ำไห้เล่าเรื่องราวความลำบากของตนให้เทียนซือฟังหลังจากการเปลี่ยนแปลงในวังครั้งก่อน ฮ่องเต้เจาหยวนทรงถูกกักขังอยู่ในวังหลวงถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้เจาหยวนจะทรงมีรับสั่งให้กักบริเวณนางไว้ จนทำให้นางโกรธมากแต่เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้เจาหยวนอาจจะตกอยู่ในอันตราย นางก็เป็นห่วงพระองค์มากและต้องการเข้าวังไปช่วยเหลือทว่านางกลับก้าวออกจากประตูตำหนักเฟิ่งไหลไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะถูกคนของจิ่งโม่เยี่ยขวางไว้ในตอนนั้นพระสนมสวี่แสดงท่าทางเย่อหยิ่งต่อหน้าทหาร แต่ทหารเหล่านั้นได้รับคำสั่งจากจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จึงไม่ยอมปล่อยนางออกไปเมื่อนางพยายามฝ่าออกไป ทหารก็ลงมือใช้กำลังกับนางทันทีตอนนั้นพระสนมสวี่เกือบจะโมโหจนตาย หลุดคำผรุสวาทออกไปมากมาย ทหารปล่อยให้นางพูดพล่ามตามใจชอบ แต่ไม่ยอมให้นางออกจากประตูตำหนักเฟิ่งไหลเด็ดขาดด้วยเหตุนี้ พระสนมสวี่จึงโมโหจนแทบคลั่งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดังนั้นในวันที่เทียนซือกลับมา พระสนมสวี่จึงรู้สึกว่าตนเองมีที่พึ่งอีกครั้งนางคิดว่าเทียนซือสมัยยังมีชีวิตอยู่ก็เก่งกาจแล้ว พอตายไปกลายเป็นวิญญาณร้ายก็ยิ่งเก่งกาจเข้าไปอีกจึงร้องไห้ฟ้องเทียนซือว่าจิ่งโม่เยี่ย
หลังจากที่เทียนซือสุขสมอารมณ์หมายในคืนนี้ เขาก็พูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้เขาถูกจิ่งโม่เยี่ยขังอยู่ในวังแล้ว เขาไม่มีเวลามาสนใจเจ้าอีกแล้ว”“ขอเพียงเจ้ายอมอยู่กับข้า ข้าก็จะดูแลเจ้าอย่างดี”ความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในใจของพระสนมสวี่ นางกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนะ”เทียนซือมองพระสนมสวี่แล้วพูดว่า “เจ้าให้กำเนิดบุตรชายแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนและฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว เช่นนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่ข้าด้วยเถิด!”แม้ว่าการมีลูกกับผีจะเป็นเรื่องยาก แต่เทียนซือก็คิดว่าตัวเองเก่งมาก มีโอกาสสูงที่จะทำให้พระสนมสวี่ตั้งครรภ์ได้เขาไม่คิดว่าพระสนมสวี่จะทำอะไรได้ เพราะเขาอยู่กับพระสนมสวี่มานานแล้ว รู้ว่าพระสนมสวี่เป็นคนอย่างไรนางอาศัยเพียงความสวยงามและความรักจากผู้ชายเท่านั้นเมื่อผู้ชายข้างกายนางไม่รักนางอีกแล้ว นางก็กลายเป็นเพียงแจกันประดับใบหนึ่งดูสวยงาม แต่ไร้ประโยชน์พระสนมสวี่ตกใจจนแทบตายเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ร้องไห้ฟูมฟายว่า “ข้าไม่ยอมให้กำเนิดบุตรชายแก่เจ้าหรอก!”เทียนซือหัวเราะเยาะเย้ยว่า “เรื่องนี้เจ้าห้ามไม่ได้หรอก”หลังจากพูดจบ เขาก็กระโจนเข้าใส่พระสนมสวี่พระสน
เหมยตงยวนเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “สั่งการออกไป ต่อไปนี้หากพบร่องรอยของเทียนซือให้รีบแจ้งข้าทันที”วิญญาณร้ายตนนั้นรับคำ แล้วรีบไปกระจายข่าวต่อเหมยตงยวนใช้เวลาหลายเดือน นอกจากจะยุ่งกับการจัดการหลินชูเจิ้งและเจ้าอารามแล้ว ยังแวะไปจัดการพวกวิญญาณร้ายในเมืองหลวงด้วยพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ก็จะได้อยู่ดีๆ ไป แต่พวกที่ไม่ยอมก็จะโดนจัดการจนไม่เหลือเรี่ยวแรงด้วยวิธีการที่มีทั้งอำนาจและบุญคุณเช่นนี้ ในเวลาสามเดือน เขาก็สามารถควบคุมโลกวิญญาณร้ายในเมืองหลวงได้อย่างสมบูรณ์ไม่ว่าวิญญาณร้ายตนไหนจะมีนิสัยดื้อรั้นแค่ไหน พอมาอยู่ต่อหน้าเหมยตงยวนก็จะเชื่องทันทีสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นประมุขของสำนักลี้ลับ จึงรู้ดีว่าจะจัดการกับผีร้ายอย่างไรตอนนี้วิญญาณร้ายในเมืองหลวงทั้งหมดต่างก็เป็นลูกน้องของเขาเหมยตงยวนและพวกวิญญาณร้ายเหล่านี้มีวิธีติดต่อสื่อสารกันเอง เขาจึงสามารถรับรู้ข่าวสารที่ต้องการได้ในเวลาอันสั้นวันนี้ปล่อยให้เทียนซือหนีไปได้ ทำให้เหมยตงยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยวิญญาณร้ายบางตนในเมืองหลวงขี้เกียจและไม่เต็มใจรับใช้เหมยตงยวน จึงหนีออกนอกเมืองไปเมื่อพวกมันออกจากเมืองหลวง เหมยตงยวนก็
ก็ไม่แปลกที่เขาจะสงสัยอย่างนั้น เพราะจากประสบการณ์ทำงานหลายปีของเขา วิญญาณร้ายส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเก่งกว่าผู้ชายเพราะผู้หญิงเวลาตายมักจะมีความแค้นมากกว่า ง่ายต่อการหลงผิดจิ่งโม่เยี่ยถามว่า “เจ้าไม่สนใจเรื่องรับมือกับวิญญาณร้ายมิใช่หรือ”เจ้าอาวาสตอบว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ แต่วิญญาณร้ายตนนี้ไม่เหมือนวิญญาณร้ายทั่วไป”“วิญญาณร้ายตนนี้ไม่เพียงแต่เก่งมาก แต่ยังฉลาดอีกด้วย มันได้ควบคุมและปกครองวิญญาณร้ายทั่วเมืองหลวงไปหมดแล้ว”“ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นภัยของเมืองหลวงแห่งนี้ได้!”เพราะวิชาทางพุทธศาสนาของเขาไม่เก่งกาจนัก จึงทำตัวเป็นกลางมาตลอดเขาไม่สนใจเรื่องจับวิญญาณร้าย แต่ถ้าเขาพบว่าวิญญาณร้ายจะก่อความเดือดร้อนให้มนุษย์ เขาก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดของเจ้าอาวาสแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของเหมยตงยวนอย่างแน่นอนเขาไม่ค่อยรู้จักเหมยตงยวนเท่าไหร่ เขารู้ว่าเหมยตงยวนตอนมีชีวิตอยู่ฝึกวิชามรรคาไร้ใจ นิสัยเย็นชา กระทำเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรม เจาะจงการกระทำไม่เพ่งเล็งตัวบุคคลครั้งที่แล้วเหมยตงยวนชกต่อยเขา เขาก็พบว่าเหมยตงยวนที่ตายไปแล้วมีพลังอำน
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท