หลังจากที่เทียนซือสุขสมอารมณ์หมายในคืนนี้ เขาก็พูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้เขาถูกจิ่งโม่เยี่ยขังอยู่ในวังแล้ว เขาไม่มีเวลามาสนใจเจ้าอีกแล้ว”“ขอเพียงเจ้ายอมอยู่กับข้า ข้าก็จะดูแลเจ้าอย่างดี”ความรู้สึกอับอายอย่างรุนแรงเกิดขึ้นในใจของพระสนมสวี่ นางกัดฟันเอ่ยว่า “เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนะ”เทียนซือมองพระสนมสวี่แล้วพูดว่า “เจ้าให้กำเนิดบุตรชายแก่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนและฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว เช่นนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายแก่ข้าด้วยเถิด!”แม้ว่าการมีลูกกับผีจะเป็นเรื่องยาก แต่เทียนซือก็คิดว่าตัวเองเก่งมาก มีโอกาสสูงที่จะทำให้พระสนมสวี่ตั้งครรภ์ได้เขาไม่คิดว่าพระสนมสวี่จะทำอะไรได้ เพราะเขาอยู่กับพระสนมสวี่มานานแล้ว รู้ว่าพระสนมสวี่เป็นคนอย่างไรนางอาศัยเพียงความสวยงามและความรักจากผู้ชายเท่านั้นเมื่อผู้ชายข้างกายนางไม่รักนางอีกแล้ว นางก็กลายเป็นเพียงแจกันประดับใบหนึ่งดูสวยงาม แต่ไร้ประโยชน์พระสนมสวี่ตกใจจนแทบตายเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ร้องไห้ฟูมฟายว่า “ข้าไม่ยอมให้กำเนิดบุตรชายแก่เจ้าหรอก!”เทียนซือหัวเราะเยาะเย้ยว่า “เรื่องนี้เจ้าห้ามไม่ได้หรอก”หลังจากพูดจบ เขาก็กระโจนเข้าใส่พระสนมสวี่พระสน
เหมยตงยวนเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “สั่งการออกไป ต่อไปนี้หากพบร่องรอยของเทียนซือให้รีบแจ้งข้าทันที”วิญญาณร้ายตนนั้นรับคำ แล้วรีบไปกระจายข่าวต่อเหมยตงยวนใช้เวลาหลายเดือน นอกจากจะยุ่งกับการจัดการหลินชูเจิ้งและเจ้าอารามแล้ว ยังแวะไปจัดการพวกวิญญาณร้ายในเมืองหลวงด้วยพวกที่ยอมสวามิภักดิ์ก็จะได้อยู่ดีๆ ไป แต่พวกที่ไม่ยอมก็จะโดนจัดการจนไม่เหลือเรี่ยวแรงด้วยวิธีการที่มีทั้งอำนาจและบุญคุณเช่นนี้ ในเวลาสามเดือน เขาก็สามารถควบคุมโลกวิญญาณร้ายในเมืองหลวงได้อย่างสมบูรณ์ไม่ว่าวิญญาณร้ายตนไหนจะมีนิสัยดื้อรั้นแค่ไหน พอมาอยู่ต่อหน้าเหมยตงยวนก็จะเชื่องทันทีสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นประมุขของสำนักลี้ลับ จึงรู้ดีว่าจะจัดการกับผีร้ายอย่างไรตอนนี้วิญญาณร้ายในเมืองหลวงทั้งหมดต่างก็เป็นลูกน้องของเขาเหมยตงยวนและพวกวิญญาณร้ายเหล่านี้มีวิธีติดต่อสื่อสารกันเอง เขาจึงสามารถรับรู้ข่าวสารที่ต้องการได้ในเวลาอันสั้นวันนี้ปล่อยให้เทียนซือหนีไปได้ ทำให้เหมยตงยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยวิญญาณร้ายบางตนในเมืองหลวงขี้เกียจและไม่เต็มใจรับใช้เหมยตงยวน จึงหนีออกนอกเมืองไปเมื่อพวกมันออกจากเมืองหลวง เหมยตงยวนก็
ก็ไม่แปลกที่เขาจะสงสัยอย่างนั้น เพราะจากประสบการณ์ทำงานหลายปีของเขา วิญญาณร้ายส่วนใหญ่ผู้หญิงจะเก่งกว่าผู้ชายเพราะผู้หญิงเวลาตายมักจะมีความแค้นมากกว่า ง่ายต่อการหลงผิดจิ่งโม่เยี่ยถามว่า “เจ้าไม่สนใจเรื่องรับมือกับวิญญาณร้ายมิใช่หรือ”เจ้าอาวาสตอบว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ แต่วิญญาณร้ายตนนี้ไม่เหมือนวิญญาณร้ายทั่วไป”“วิญญาณร้ายตนนี้ไม่เพียงแต่เก่งมาก แต่ยังฉลาดอีกด้วย มันได้ควบคุมและปกครองวิญญาณร้ายทั่วเมืองหลวงไปหมดแล้ว”“ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เกรงว่าจะกลายเป็นภัยของเมืองหลวงแห่งนี้ได้!”เพราะวิชาทางพุทธศาสนาของเขาไม่เก่งกาจนัก จึงทำตัวเป็นกลางมาตลอดเขาไม่สนใจเรื่องจับวิญญาณร้าย แต่ถ้าเขาพบว่าวิญญาณร้ายจะก่อความเดือดร้อนให้มนุษย์ เขาก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดของเจ้าอาวาสแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นการกระทำของเหมยตงยวนอย่างแน่นอนเขาไม่ค่อยรู้จักเหมยตงยวนเท่าไหร่ เขารู้ว่าเหมยตงยวนตอนมีชีวิตอยู่ฝึกวิชามรรคาไร้ใจ นิสัยเย็นชา กระทำเรื่องต่างๆ อย่างยุติธรรม เจาะจงการกระทำไม่เพ่งเล็งตัวบุคคลครั้งที่แล้วเหมยตงยวนชกต่อยเขา เขาก็พบว่าเหมยตงยวนที่ตายไปแล้วมีพลังอำน
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่