ไป๋เฟิ่งหว่านหลังจากตกใจก็กล่าวออกมา: "เจ้า เจ้าพูดอะไร? ท่านผู้สำเร็จราชการแทนนัดข้าไปทานข้าวหรอ?""ไม่งั้นเจ้าคิดว่าข้าจะมาหาหรอ?" มู่จิ่วซีกรอกตาใส่"โม่จุนเชิญข้าไปร่วมทานอาหาร?" ไป๋เฟิ่งหว่านแทบไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นสีหน้าก็ยินดีขึ้นมา และเอาแต่พูดประโยคนั้นซ้ำไปมา"โม่จุนนัดเจ้าไปทานอาหารที่หอชมจันทร์อีก 3 วันข้างหน้า เจ้าจะไปหรือไม่ไป? ถ้าจะไป เจ้าก็จัดการตัวเองให้ดีภายใน 3 วันนี้ ใครบ้างที่ไม่มีเรื่องลำบากใจ พ่อเจ้าเองก็แก่ขนาดนั้น เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าไม่แม้แต่จะปลอบพ่อของเจ้า นี่ยังสมควรจะเป็นลูกสาวของเขาอีกหรอ? เสียแรงที่เขารักเอ็นดูเจ้า"มู่จิ่วซีกล่าวสั่งสอนต่อ "คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นกลับมาได้ แต่คนเป็นยังไงก็ต้องมีชีวิตต่อไป ตอนนี้จวนอัครมหาเสนาบดีเหลือเพียงแค่เจ้า ไป๋ชิงและพ่อของพวกเจ้าต้องพึ่งพาอาศัยกัน ข้าเห็นว่าพ่อเจ้าดูแก่ขึ้นเป็น 10 ปี เจ้าทำใจได้จริงหรอ? ไป๋ชิงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวตั้งหลายปี นางก็ยังรู้ถึงความขมขื่นของพ่อนาง เจ้าถูกพ่อเจ้าประตบประหงมมาหลายปี เจ้าจะมีน้ำใจให้กับพ่อเจ้าไม่ได้เลยหรือไง?"ไป๋เฟิ่งหว่านพอฟังคำพูดของมู่จิ่วซี ทันใดนั้นก็ร้องไห้อ
มู่จิ่วซีหัวเราะยิ้มกล่าว : "พวกเราจับนางไม่ได้จริงๆ แต่ยอมรับเลยว่านางหลบซ่อนได้ลึกแนบเนียนจริงๆ แทบพลิกหาทั้งพระนครแล้ว แต่ก็กลับหานางไม่พบ ข้าเลยอยากมาถามว่าเจ้ารู้ไหม?""มู่จิ่วซี เจ้าโง่หรือเปล่า? เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรอ?" จ้วงชิงเหมยยิ้มกล่าว"ก็ใช่ การเป็นไส้ศึกจะต้องระวังปากไว้เล็กให้เท่าขวด ข้าก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะพูด แต่พรุ่งนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังกรมพระราชวังนครบาล ทางนั้นไม่ได้ทำดีกับเจ้าอย่างใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหรอกนะ" มู่จิ่วซีเผยรอยยิ้มเวทนาสงสารออกมาจ้วงชิงเหมยก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา ทำท่าเหมือนไม่อยากจะพูด"ว่ากันว่าเสือร้ายไม่ยอมกินลูกตัวเอง เจ้ากล้าฆ่าลูกของตัวเองได้อย่างไร? ขนาดไป๋เฟิ่งหว่านยังเป็นบ้าไปแล้ว เจ้ามีความสุขดีใจมากหรือไง?" มู่จิ่วซีwย่อตัวลงตรงหน้านางและถาม (เสือร้ายไม่ยอมกินลูกตัวเอง หมายถึง โหดร้ายเพียงใดก็ไม่ทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง)จ้วงชิงเหมยสีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดขึ้นมา : "ข้ารู้ส่าข้าทำไม่ถูกกับพวกเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องทำ ไว้รอชาติหน้าข้าค่อยชดใช้ให้พวกเขาแล้วกัน""จิตใจเลวทรามจริงๆ คารวะเลย" มู่จิ่วซียอมรับแม่คนหนึ
"ฟังเข้าสิ คำพูดเจ้าเห็นแก่ตัวแค่ไหน ยังไม่พูดถึงไป๋ชิง มาพูดถึงพ่อเจ้าก่อน หากไม่มีพ่อ ต่อให้แม่ของเจ้ารักเอ็นดูเจ้ามาก จนเจ้าได้มีชีวิตที่ดี แต่ถึงกระนั้นแม่ของเจ้าเดิมทีก็ไม่ได้รักเอ็นดูเจ้าจริงๆ ก็แค่เลี้ยงดูเจ้าและน้องชายเจ้าให้อ้วนพลีแล้วค่อยเชือด" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีได้แทงใจดำของไป๋เฟิ่งหว่าน"จิ่วซี..." ไป๋ชิงรีบดึงมู่จิ่วซีและหวังว่านางจะไม่ทำให้ไป๋เฟิ่งหว่านกระทบกระเทือน"นางน่ะ สมองไม่เคยคิดให้กระจ่าง ข้าก็แค่อยากให้นางคิดให้ชัดเจนว่าใครคือคนที่เป็นห่วงนางมากที่สุด แต่ก็ยังดีที่นางได้สติ ไปเถอะ พวกเราทานไปคุยไปดีกว่า ข้าหิวแล้ว"ขณะพูด นางก็คว้าแขนของไป๋เฟิ่งหว่านเอาไว้ไป๋เฟิ่งหว่านหันมองมู่จิ่วซี ราวกับมู่จิ่วซีไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีสักวันที่ทำดีกับนาง"ประหลาดใจเหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วไป๋เฟิ่งหว่านทันใดนั้นก็กลอกตาและพูดกล่าว : "ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดอะไร""ข้าจะบอกเจ้าให้ ถ้าไม่ใช่เพราะลุงไป๋ข้อร้องข้าอย่างน่าสงสาร เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะสนใจความเป็นตายของเจ้า อัครมหาเสนาบดีไป๋เป็นองคมนตรีสำคัญในแคว้นเกาอวิ๋น ข้าไม่อาจใจดำกับเขาได้หรอก เจ้าเองเป็นลูกสาวก็ยิ่งไม่ควร เข
ไป๋ชิงหลุดขำพรืดออกมาและก็กล่าว: "น้องรอง ดูเหมือนเจ้าเฝ้ารอจะได้เห็นนายโลมนะ""แค่กๆๆ ก็ข้าไม่เคยเห็นนายโลมมาก่อน ก็แค่อยากรู้อยากเห็นนิดหน่อยเอง" ไป๋เฟิ่งหว่านรีบพูดขึ้นมา"เจาน่ะ เคยเห็นแค่โม่จุน ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่าเขาดีที่สุด อันที่จริงผู้ชายดีๆ มีตั้งมากมาย" มู่จิ่วซียิ้มขึ้นมา"ไป๋ชิง เจ้าหลังจากนี้ก็คงไม่ได้เอาแต่สวดมนต์ใช่ไหมล่ะ ข้ามีความคิดดีๆ พวกเจ้าอยากฟังไหม" ตรงหัวของมู่จิ่วซีก็ปรากฎราวกับแสงธรรมจักรไป๋ชิงหลังจากชะงักไปก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวออกมา : "จิ่วซี เจ้าจะทำอะไร?""ก่อนหน้านี้การแข่งของข้ากับแคว้นซีเย่ว์คงเคยได้ยินใช่ไหม?" มู่จิ่วซีถามไป๋ชิงรีบพยักหน้า แววตาสองข้าวเต็มไปด้วยความอิจฉาและนับถือ : "จิ่วซี เจ้าเก่งกาจมากจริงๆ"ไป๋เฟิ่งหว่านสีหน้ามึนงง ไป๋ชิงจึงได้แต่บอกกับนาง ไป๋เฟิ่งหว่านก็เอาแต่พูดว่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง ไม่มีทาง แต่ตกใจอยู่ตลอด"เพราะการแข่งอันเป็นเกียรติยศให้กับแคว้นเกาอวิ๋น โม่จุนก็เลยแพ้มอบหอโม่ช่างเหวินให้ข้า" มู่จิ่วซีเผยสีหน้าภูมิใจอันเจ้าเล่ห์ออกมา"หอโม่ช่างเหวิน!" ไป๋เฟิ่งหว่านถึงกับตกใจอุทาน "นึกไม่ถึงว่าท่านผู้สำเร็จราชการแท
หลังจากช่วงบ่าย มู่จิ่วซีก็พาทั้งสามคนไปที่โรงน้ำชาหลายแห่งเพื่อเลือกซื้อ และยังได้กล่าวข้อดีของร้านอื่นๆ พร้อมพูดถึงหอโม่ช่างเหวินของตัวเองว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อจากนี้พี่น้องสองคนนี้มีความอยากรู้อยากเห็นมาก โดยเฉพาะยังรู้สึกว่าสิ่งที่มู่จิ่วซีบอกกล่าวเป็นของแปลกใหม่ เลยทำให้พวกนางมีอารมณ์คึกคักอยากสนใจทั้งสามคนหลังจากเดินจนพอและทานจนอิ่มแล้วก็กลับไปยังจวนอัครมหาเสนาบดี มู่จิ่วซีก็ได้เห็นแววตาอันซาบซึ้งของอัครมหาเสนาบดีไป๋ จากนั้นก็รีบไปที่โรงแพทย์หย่งไท่เพื่อเยี่ยมเซียวหลิงเย่ว์โม่จุนและมู่จิ่วซีได้เจอกันตรงหน้าประตูของโรงแพทย์พอเข้าไปก็เห็นองค์หญิงสือเฟิงสือหย่าอยู่ด้วย เซียวหลิงเย่ว์ได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว นางนอนอยู่บนเตียงและกำลังคุยกับเฟิงสือหย่าเมื่อหมอเห็นท่านผู้สำเร็จราชการแทนและมู่จิ่วซีมาถึงแล้วก็รีบรายงานสถานการณ์ สถานการณ์ของเซียวหลิงเย่ว์ตอนนี้มั่งคงแล้วหลักจากทักทายกัน เฟิงสือหย่าก็ออกไปดูยา ส่วนมู่จิ่วซีนั่งอยู่ข้างเตียงมองเซียวหลิงเย่ว์ ใบหน้าเดิมทีอันงดงามแดงระเรื่อกลับขาวซีดไร้เลือดฝาด แต่สายตาก็ยังคงหันมองมู่จิ่วซีและเผยสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างมากมู่จิ่วซีนั
โม่จุนออกไปด้วยความเร็วราวกับบิน มู่จิ่วซีและชิงเฟิงก็รีบกลับไปที่บ้านพอถึงบ้านก็ได้รู้ว่ามู่เทียนซิงก็ถูกทางวังเรียกเข้าไปแล้วเช่นกันมู่จิ่วซีเดินอยู่ในเรือนของตัวเองไปมา นางคิดไม่ตกว่าทำไมตอนนี้ถึงได้เกิดสงครามกับแคว้นเป่ยจิ้นขึ้นมา?เสริมกำลังทหารโดยด่วน แสดงว่าสถานการณ์จะต้องรุนแรงมากระหว่างแคว้นเกาอวิ๋นและแคว้นเกาอวิ๋นเป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ เป็นภูมิประเทศราบลุ่ม เมื่อสองปีก่อน โม่จุนได้พากองทหารและใช้เมืองอิงซึ่งอยู่เหนือสุดเป็นกองหนุนเบื้องหลัง พร้อมกับทำสงครามกับทหารแคว้นเป่ยจิ้นบนทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายแรมเดือน จนสุดท้ายก็ไล่แคว้นเป่ยจิ้นออกไปได้แคว้นเป่ยจิ้นได้พักฟื้นฟูไม่ถึง 2 ปีก็กล้าบุกมาหาเรื่องอีกแล้ว?ไม่ได้บอกว่าอีกเดือนต่อจากนี้ แคว้นเป่ยจิ้นจะส่งคนมาเจรจาพันธมิตรหรอกเหรอ?มู่จิ่วซียิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยิ่งแปลกมาก แต่ว่านางเองก็ไม่ใช่คนในราชสำนัก นางไม่อาจเข้าไปหารือเกี่ยวกับเรื่องทางการทหาร ดังนั้นจึงได้แต่รอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยถามหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เย่ฮานก็กลับมาแล้วบอกว่าได้จัดการเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว พรุ่งนี้ก็ค่อยไปดูจ้วงชิงเหม
"ฮาๆ พูดได้ดี งั้นพอกลับไปที่หอดาราจันทราแล้วเรามาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับเจ้าสำนักกันต่อ" มู่จิ่วซียิ้มขึ้นมาและหัวเราะให้กับฮั้วอวิ๋นเทียนอย่างสบายใจ นางได้ทำเหมือนเขาเป็นเพื่อน แน่นอนว่านางเลยตอบรับไปอย่างอารมณ์ดีฮั้วอวิ๋นเทียนไม่นานก็ขอตัวลา มู่จิ่วซีก็มองร่างของเขาซึ่งเดินออกไปไกล มุมปากของนางก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมาฮั้วอวิ๋นเทียนบอกข่าวกรองของแคว้นเป่ยจิ้นให้กับนางข่าวหนึ่ง สำหรับแคว้นเกาอวิ๋นถือว่าสำคัญมากจริงๆมู่จิ่วซีก็อยู่บ้านรอท่านพ่อตลอด แต่ว่ารอจนหลังอาหารเย็นแล้วก็ยังไม่กลับมา นางเลยจึงไปที่จวนอัครมหาเสนาบดี ถึงอย่างไรนางก็สัญญาอัครมหาเสนาบดีไป๋แล้วว่าจะพักอาศัยสองสามวันแต่นางก็ยังบอกชิงเฟิงให้เขาคอยรอบอกท่านพ่อว่าอย่าวิตกกังวลเกินไปแต่ไม่คาดคิดว่าโม่จุนกำลังรอนางอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี เพราะเขารู้ว่ามู่จิ่วซีจะต้องมาพักอาศัยที่จวนอัครมหาเสนาบดีมู่จิ่วซีพอมาถึงก็ถูกเชิญให้ไปยังห้องตำราของอัครมหาเสนาบดีไป๋ พอเห็นโม่จุน นางก็รู้ว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สองคนนี้จะต้องคุยเจรจากันมานานแล้ว"ซีเอ๋อร์ เจ้าทราบรายงานสถานการณ์ทหารทางชายแดนของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วใช่ไหม?" อัครมหาเสนา
มู่จิ่วซีหันมองสีหน้าบูดบึ้งของโม่จุน ในใจก็คิดว่าเขาอุตส่าห์เอาข้อมูลมาให้ เจ้ายังจะมาชักสีหน้าอีก ทำหน้าแบบนี้ให้ใครดูกันนางไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองโม่จุน"ฮั้วอวิ๋นเทียนบอกว่าแคว้นเป่ยจิ้นรวมกำลังพลไม่ใช่เพื่อทำสงคราม เบื้องหลังเองก็ไม่มีกองทหารเลยสักกอง อาหารของแคว้นเป่ยจิ้นไม่เพียงพอ ไม่มีทางจะทำสงครามในฤดูหนาวได้ เสบียงอาหารของทหารไม่พอ""พวกเขารวมกำลังพลเพื่อกดดันแคว้นเกาอวิ๋น หลังจากนี้อีก 1 เดือนทั้งสองแคว้นจะเจรจาเป็นพันธมิตรกัน แคว้นเป่ยจิ้นบางทีอาจจะเสนอข้อเรียกร้องอันล้ำเส้นออกมา แต่ว่าเป็นข้อเรียกร้องอะไรนั้น ฮั้วอวิ๋นเทียนก็ไม่รู้"มู่จิ่วซีเอาคำพูดของฮั้วอวิ๋นเทียนบอกกับอัครมหาเสนาบดีไป๋อัครมหาเสนาบดีไป๋และโม่จุนก็มองหน้ากัน"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน พอฟังแบบนี้แล้ว มันก็สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?" อัครมหาเสนาบดีไป๋ถามโม่จุนโม่จุนก็เงียบครุ่นคิดไปพักก่อนจะพูดขึ้นมา : "แม้ว่าจะเป็นข่าวดี แต่หากข้อมูลนี้ผิดพลาด นั่นจะเป็นอันตรายร้ายแรงของแคว้นเกาอวิ๋น"มู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "คำพูดนี้ข้าเห็นด้วย แต่ข้าคิดว่าฮั้วอวิ๋นเทียนไม่มีทางให้ข้อมูลข่าวก