โม่จุนออกไปด้วยความเร็วราวกับบิน มู่จิ่วซีและชิงเฟิงก็รีบกลับไปที่บ้านพอถึงบ้านก็ได้รู้ว่ามู่เทียนซิงก็ถูกทางวังเรียกเข้าไปแล้วเช่นกันมู่จิ่วซีเดินอยู่ในเรือนของตัวเองไปมา นางคิดไม่ตกว่าทำไมตอนนี้ถึงได้เกิดสงครามกับแคว้นเป่ยจิ้นขึ้นมา?เสริมกำลังทหารโดยด่วน แสดงว่าสถานการณ์จะต้องรุนแรงมากระหว่างแคว้นเกาอวิ๋นและแคว้นเกาอวิ๋นเป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ เป็นภูมิประเทศราบลุ่ม เมื่อสองปีก่อน โม่จุนได้พากองทหารและใช้เมืองอิงซึ่งอยู่เหนือสุดเป็นกองหนุนเบื้องหลัง พร้อมกับทำสงครามกับทหารแคว้นเป่ยจิ้นบนทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ต่อเนื่องหลายแรมเดือน จนสุดท้ายก็ไล่แคว้นเป่ยจิ้นออกไปได้แคว้นเป่ยจิ้นได้พักฟื้นฟูไม่ถึง 2 ปีก็กล้าบุกมาหาเรื่องอีกแล้ว?ไม่ได้บอกว่าอีกเดือนต่อจากนี้ แคว้นเป่ยจิ้นจะส่งคนมาเจรจาพันธมิตรหรอกเหรอ?มู่จิ่วซียิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ยิ่งแปลกมาก แต่ว่านางเองก็ไม่ใช่คนในราชสำนัก นางไม่อาจเข้าไปหารือเกี่ยวกับเรื่องทางการทหาร ดังนั้นจึงได้แต่รอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยถามหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เย่ฮานก็กลับมาแล้วบอกว่าได้จัดการเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว พรุ่งนี้ก็ค่อยไปดูจ้วงชิงเหม
"ฮาๆ พูดได้ดี งั้นพอกลับไปที่หอดาราจันทราแล้วเรามาแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับเจ้าสำนักกันต่อ" มู่จิ่วซียิ้มขึ้นมาและหัวเราะให้กับฮั้วอวิ๋นเทียนอย่างสบายใจ นางได้ทำเหมือนเขาเป็นเพื่อน แน่นอนว่านางเลยตอบรับไปอย่างอารมณ์ดีฮั้วอวิ๋นเทียนไม่นานก็ขอตัวลา มู่จิ่วซีก็มองร่างของเขาซึ่งเดินออกไปไกล มุมปากของนางก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมาฮั้วอวิ๋นเทียนบอกข่าวกรองของแคว้นเป่ยจิ้นให้กับนางข่าวหนึ่ง สำหรับแคว้นเกาอวิ๋นถือว่าสำคัญมากจริงๆมู่จิ่วซีก็อยู่บ้านรอท่านพ่อตลอด แต่ว่ารอจนหลังอาหารเย็นแล้วก็ยังไม่กลับมา นางเลยจึงไปที่จวนอัครมหาเสนาบดี ถึงอย่างไรนางก็สัญญาอัครมหาเสนาบดีไป๋แล้วว่าจะพักอาศัยสองสามวันแต่นางก็ยังบอกชิงเฟิงให้เขาคอยรอบอกท่านพ่อว่าอย่าวิตกกังวลเกินไปแต่ไม่คาดคิดว่าโม่จุนกำลังรอนางอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี เพราะเขารู้ว่ามู่จิ่วซีจะต้องมาพักอาศัยที่จวนอัครมหาเสนาบดีมู่จิ่วซีพอมาถึงก็ถูกเชิญให้ไปยังห้องตำราของอัครมหาเสนาบดีไป๋ พอเห็นโม่จุน นางก็รู้ว่าเจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์สองคนนี้จะต้องคุยเจรจากันมานานแล้ว"ซีเอ๋อร์ เจ้าทราบรายงานสถานการณ์ทหารทางชายแดนของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วใช่ไหม?" อัครมหาเสนา
มู่จิ่วซีหันมองสีหน้าบูดบึ้งของโม่จุน ในใจก็คิดว่าเขาอุตส่าห์เอาข้อมูลมาให้ เจ้ายังจะมาชักสีหน้าอีก ทำหน้าแบบนี้ให้ใครดูกันนางไม่แม้แต่จะเหลือบสายตามองโม่จุน"ฮั้วอวิ๋นเทียนบอกว่าแคว้นเป่ยจิ้นรวมกำลังพลไม่ใช่เพื่อทำสงคราม เบื้องหลังเองก็ไม่มีกองทหารเลยสักกอง อาหารของแคว้นเป่ยจิ้นไม่เพียงพอ ไม่มีทางจะทำสงครามในฤดูหนาวได้ เสบียงอาหารของทหารไม่พอ""พวกเขารวมกำลังพลเพื่อกดดันแคว้นเกาอวิ๋น หลังจากนี้อีก 1 เดือนทั้งสองแคว้นจะเจรจาเป็นพันธมิตรกัน แคว้นเป่ยจิ้นบางทีอาจจะเสนอข้อเรียกร้องอันล้ำเส้นออกมา แต่ว่าเป็นข้อเรียกร้องอะไรนั้น ฮั้วอวิ๋นเทียนก็ไม่รู้"มู่จิ่วซีเอาคำพูดของฮั้วอวิ๋นเทียนบอกกับอัครมหาเสนาบดีไป๋อัครมหาเสนาบดีไป๋และโม่จุนก็มองหน้ากัน"ท่านผู้สำเร็จราชการแทน พอฟังแบบนี้แล้ว มันก็สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?" อัครมหาเสนาบดีไป๋ถามโม่จุนโม่จุนก็เงียบครุ่นคิดไปพักก่อนจะพูดขึ้นมา : "แม้ว่าจะเป็นข่าวดี แต่หากข้อมูลนี้ผิดพลาด นั่นจะเป็นอันตรายร้ายแรงของแคว้นเกาอวิ๋น"มู่จิ่วซีพยักหน้าและกล่าว : "คำพูดนี้ข้าเห็นด้วย แต่ข้าคิดว่าฮั้วอวิ๋นเทียนไม่มีทางให้ข้อมูลข่าวก
โม่จุนและอัครมหาเสนาบดีไป๋ก็มองหน้ากัน ทั้งสองหันไปมองมู่จิ่วซีตอนนี้มู่จิ่วซีได้นั่งลงมา เงียบสนิทและกำลังคิดอะไรอยู่แต่โม่จุนและอัครมหาเสนาบดีไป๋กลับรู้ใจและไม่ได้เอ่ยปากพูดขัดจังหวะความคิดของนางประโยคนี้ของนาง ทำให้รู้ว่านางกำลังจะต้องกาวิธีทำอย่างไรถึงจะทำให้มีเครื่องมือที่ดีพร้อมผ่านไปสักพักมู่จิ่วซีก็เงยหน้าขึ้นมาและกล่าว : "ตอนนี้อาวุธของทหารในสนามรบคืออะไร?""ดาบกระบี่ หอก เกราะ ธนูหน้่ไม้และเครื่องยิงหิน พวกขวดน้ำมันเพลิง..." โม่จุนรีบพูดขึ้นมา "โดยพื้นฐานแล้วคือศาสตร์การใช้กำลังพลที่มากกว่าและรูปแบบทัพ แต่ถ้าหากจำนวนคนในทัพแตกต่างมากเกินไป ก็แทบจะไม่มีทางชนะได้เลย"มู่จิ่วซีก็กล่าวอย่างตกใจ : "ไม่มีปืนใหญ่หรอ?""ปืนใหญ่? อะไรคือปืนใหญ่?" โม่จุนกล่าวอย่างตกใจ"ปืนใหญ่ ก็คืออาวุธซึ่งมีอำนาจทำลายล้างมากกว่าขวดน้ำมันเพลิง ระยะก็สามารถยิงได้ไกลกว่ามาก ปืนใหญ่แค่ 1 กระสุน ส่งผลกระทบเป็นรัศมีได้หลาย 10 เมตร" มู่จิ่วซีก็กล่าวอย่างคนหัวโบราณโม่จุนก็ตกใจ อัครมหาเสนาบดีไป๋ก็ถลึงตาโตพร้อมกับพูด : "มีอาวุธแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?"มุมปากของมู่จิ่วซีก็กระตุกขึ้นมา ไม่คาดคิดว่ายุค
กรมพระราชวังนครบาลส่งมา 4 คนเพื่อรับจ้วงชิงเหมย พอรวมกับคนองครักษ์ของจวนอัครมหาเสนาบดีอีก 4 คนก็มีทั้งหมด 8 คนคอยคุ้มกันรถม้าแต่ก่อนจะออกไป มู่จิ่วซีก็ยัดก้อนผ้าเข้าไปในปากของจ้วงชิงเหมย จากนั้นก็ลากนางเข้ามาในรถม้าเล็กๆ ของตนเองในความมืด มู่จิ่วซีได้สั่งให้จี๋เฟิงพากลุ่มของทหารมังกรดำคอยดักเส้นตามเส้นทางสำคัญที่ผ่านไปตลอดทางส่วนนางเอง จ้วงชิงเหมยและเย่ฮานทั้งสามคนก็นั่งอยู่ในรถม้าธรรมดา และให้คนขับรถม้าธรรมดาขับออกไป พร้อมกับให้ขับตามหลังรถม้าซึ่งไม่ได้มีจ้วงชิงเหมยอยู่ด้านใน แต่กลับเป็นทหารมังกรดำคนหนึ่งแทนเพราะกรมพระราชวังนครบาลออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีมาได้สักระยะ จะต้องผ่านเส้นทางขนาดใหญ่ไม่น้อย อีกทั้งยังต้องผ่านศูนย์กลางการค้า ผู้คนก็มีจำนวนไม่น้อย ดังนั้นความเร็วการเคลื่อนที่จึงค่อยๆ ช้าลงมู่จิ่วซีหลับตาพักสมองมาตลอดทาง ส่วนเย่ฮานกลับกังวลอย่างมาก จ้วงชิงเหมยก็ถูกมัดไพล่หลังรั้งคอพร้อมกับอุดปากเอาไว้ นางถลึงตามองมู่จิ่วซีอย่างโกรธแค้นหากสายตานั้นฆ่าคนได้ มู่จิ่วซีคงถูกฆ่านับครั้งไม่ถ้วนไปแล้ว"คุณหนูใหญ่ จะมีคนมาช่วยจ้วงชิงเหมยจริงๆ งั้นเหรอขอรับ?" เย่ฮานรู้สึกว่ามัน
หวางชิวได้ตัดแส้ของนางจนขาด แต่เนื่องจากระยะที่ใกล้กันเกินไป เขาเลยถูกกรีดที่ไหล่ เขาตีลังกาหลบกลับหลังไปแล้ว แต่กริชชิงหลงช่างคมเกินไป ดังนั้นเลยทำให้เขาบาดเจ็บนั่นเลยทำให้เขาหวาดกลัวในใจ แต่มู่จิ่วซีก็ไม่ได้ให้เวลาเขาได้คิด นางได้กระโจนเข้ามาหาอีกครั้งแล้วกริชและดาบสั้นก็ปะทะเข้าด้วยกัน จากนั้นหวางชิวก็ต้องคร่ำครวญอีกครั้ง เพราะดาบสั้นของเขาถูกกริชชิงหลงฟันจนแตกหวางชิวก็เอาดาบสั้นอีกครึ่งหนึ่งแมงไปที่มู่จิ่วซีมู่จิ่วซีไม่ได้ถอยกลับ นางเพียงแค่เอี้ยวหัวหลบ ส่วนหวางชิวก็คิดจะอาศัยจังหวะนี้หลบหนี แต่ไม่คาดคิดว่าความเร็วของมู่จิ่วซีจะยังเร็วกว่าเขาความรู้สึกอันตรายเบื้องหลังทำให้หวางชิวแทบจะต้องเรียกสติกลับมา เขาใช้กำลังภายในทั้งหมดชกเข้าหามู่จิ่วซีมู่จิ่วซีได้โยกย้ายกำลังภายในของเฟิงเหยียนหยูเฟยมาทั้งหมด แต่นางก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันของหมัดที่พุ่งเข้ามา ทำให้นางยากที่รุกคืบหน้า กริชชิงหลงเลยถูกยกขึ้นเพื่อพยายามจะกรีดแทงหมัดนั้นที่กำลังพุ่งเข้ามาแต่หวางชิวก็ได้รู้ถึงความคมของกริชชิงหลงนั้นแล้ว เขาจะกล้าไปแตะต้องซะที่ไหน เขากลับหดหมัดนั้นกลับไป ขาของเขาก็ลอยเตะเข้ามาแทนไปยังต
"คุณหนูใหญ่" จี๋เฟิงเสียขวัญจนรีบตะโกนเรียกเสียงดัง ทั้งตัวของเขารีบพุ่งกระโจนเข้าไปหาแต่ทว่าตอนนี้หวางชิวแทบไม่ได้สนใจจี๋เฟิง เขารู้ว่าตัวเองหนีไม่รอด งั้นก่อนจะตายก็จะต้องลากศัตรูคนสำคัญขององค์กรอย่างมู่จิ่วซีตายตามไปด้วยมู่จิ่วซีหัวเราะเยาะเย้ยและมองหวางชิวที่กระโจนเข้ามาหา นางถอยออกไปทันที จากนั้นก็ดีดเข็มเข็มเล่มหนึ่งไปยังตรงเข่าของเขาอย่างไร้ซุ่มเสียงหวางชิวยังไม่ทันจะกระโจนเข้าหามู่จิ่วซี เขาก็กลับล้มเองเสียก่อน พอเข่าซ้ายคงเขาแตะพื้น ความเจ็บปวดตรงเข่าก็ปวดร้าวขึ้นกระทันหัน จากนั้นทั้งตัวของเขาก็เหมือนม้าที่ขาหักไปข้างและล้มกระแทกกับพื้นจนไถลไปกับพื้นข้างหน้าอีกหลายเมตรส่วนจี๋เฟิงทางด้านหลังก็ได้กระโจนเข้ามา หมัดกำปั้นก็ได้กระแทกไปที่หัวของหวางชิวหวางชิวก็คิดว่าควรจะกัดพิษปลิดชีพตัวเองดีไหม แต่จู่ๆ ก็รู้สึกปวดและมึนที่หัว เขาก็ได้สลบไปในทันทีมู่จิ่วซีรีบตามเข้ามาและจับง้างปากเขาออกเพื่อควักถอนเอาพิษตรงฟันออกมานางหันไปรอบๆ อีกครั้งล้วนเต็มไปด้วยเลือดที่นองพื้น และยังมีพวกชุดดำกำลังสู้รบอยู่ พอพวกเขาเห็นพี่ใหญ่หมดสติตายไปแล้ว พวกเขาก็ตื่นตระหนก บนร่างกายพวกเขาก็มี
ทันใดนั้นทหารมังกรดำกล้วนดีใจตะโกนกล่าวออกมา: "ขอบคุณคุณหนูใหญ่" จากนั้นก็ตามจี๋เฟิงกลับไป พวกเขาออกมาปฏิบัติภารกิจครั้งแรกก็ยังมีรางวัลอื่นให้อีก ล้วนดีใจกันมาก การบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ถือว่าคุ้มค่า"พี่ใหญ่จี๋เฟิง หลังจากนี้ขอติดตามคุณหนูใหญ่มู่ได้ไหม" มีคนถามขึ้นมาจี๋เฟิงก็กล่าวอย่างอารมณ์เสีย : "เจ้าฝันหวานเกินไป ขนาดข้ายังอยากติดตามคุณหนูใหญ่มู่เลย แต่ท่านอ๋องบอกไว้ให้ร่ำเรียนสิ่งที่คุณหนูใหญ่มู่สอน เมื่อถึงระดับระดับมาตรฐานที่นางต้องการคัดเลือกแล้ว คุณหนูใหญ่มู่ก็ถึงจะคัดเลือกเข้ามา""หา แบบนี้หลิวฮั่วกับเหอเฟิงสองคนนั้นก็เอาเปรียบน่ะสิ" มีคนกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ"รอพวกเขากลับมาจากภารกิจนี้แล้วก็ต้องเพิ่มการฝึกฝน พวกเจ้าก็ขยันหน่อยเถอะ อย่าให้คุณหนูใหญ่มู่ในตอนท้ายต้องเลือกกลุ่มอื่นล่ะ แบบนั้นจะขายหน้ามาก" จี๋เฟิงก็รีบพูดขึ้นมา"ครับ! พวกเราจะตั้งใจพยายามแน่นอน" ทหารมังกรดำต่างล้วนหึกเหิม พวกเขาตอนนี้ล้วนเห้นมู่จิ่วซีเหมือนกับท่านผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ถึงขนาดนั้นชื่นชอบคุณหนูใหญ่มู่มากกว่าถึงอย่างไรท่านผู้สำเร็จราชการแทนก็ชอบทำหน้าเย็นชาเหมือนโลงผุ เคร่งขรึมยิ่งกว่าอะไร พ