มู่จิ่วซีก็รีบขยับโม่จุนที่อยู่บนเตียงมาอย่างระมัดระวัง บาดแผลของโม่จุนได้รับความกระทบกระเทือน เขาเจ็บจนต้องกัดฟันพน้อมกับเหงื่อไหลตรงหน้าผาก แต่เขาก็ให้ความร่วมมือกับมู่จิ่วซีอย่างตั้งใจกระเบื้องหลังคาด้านบนถูกคนเปิดออก จากนั้นมู่จิ่วซีก็เห็นของมีคมจำนวนมากพุ่งบินลงมามู่จิ่วซีและโม่จุนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที มู่จิ่วซีร่ายรำแส้ของนางอย่างทันท่วงที แส้โบกเหวี่ยงจนเป็นวงกลม ความเร็วที่โบกสะพัดเร็วอย่างมาก มีดบินทั้งหมดถูกนางปัดจนกระจายไปรอบทิศ เสียงเกร้งเกร้งของของมีคมโดนปัดก็ดังอย่างต่อเนื่องเมื่อหยุดลงมองดู กำแพงและชั้นวางรอบด้านของห้องก็ถูกปักเต็มไปด้วยมีดบินที่ส่องแสงสะท้อน"คุณหนูใหญ่!" ด้านนอกเสียงของเย่ฮานก็เรียกดังขึ้นมา ภายในเสียงของเขามีความเป็นห่วงอย่างมาก"บนหลังคา!" มู่จิ่วซีตะโกนเสียงดัง จากนั้นนางก็เห็นเป็นเงาอะไรสักอย่างยาวๆ ตกลงมาจากด้านบนหลายเส้น"งู!" มู่จิ่วซีก็ขนลุกชันในทันที ด้านบนได้โยนงูพิษลงมา นางในฐานผู้หญิงคนหนึ่งก็รู้สึกกลัวงูมาโดยตลอดแต่ว่าในฐานะราชินีแห่งราตรี เมื่อออกทำภารกิจ นางก็ปะทะกับงูมาไม่น้อยครั้งเหมือนกันโม่จุนเองก็สะดุ้งตกใจ เขาออกแรง
"หนีอะไร หนีไปด้วยกันสิ แค่เพียงใช้กำลังภายในของเจ้ากับข้าช่วยกัน" ขณะพูดนางก็ใช้ผ้าห่มคลุมที่หัวของทั้งสองคน จากนั้นนางก็เหลือบมองเขาครู่หนึ่งและอุ้มขึ้นมาโม่จุนพยักหน้า ทั้งสองคนกระแทกหน้าต่างไม้ตรงหน้าเพื่อออกไปทั้งสองคนระเบิดกำลังภายในพร้อมกัน จนหน้าต่างก็ถูกกระแทกเปิดออก มู่จิ่วซีรีบอุ้มโม่จุนที่กระอักเลือดสดๆ ออกมา"มันหนีออกมาได้แล้ว ยิงธนู!" ชายร่างสูงกำยำเหี้ยมโหดก็ตะโกนเสียงดังออกมามู่จิ่วซีแอบพูดกับตัวเองว่าแย่แล้ว โม่จุนบาดเจ็บมากจนเกือบจะหมดสติไป บนตัวของเขามีเลือดซึมออกมาจนเต็ม"เจ้ารีบหนีไป!" โม่จุนยังคงต้องการให้มู่จิ่วซีรีบหนีเอาตัวรอดไปก่อนมู่จิ่วซีพลิกตัวลุกขึ้นมา ขาทั้งสองข้างของนางมายืนขวางโม่จุนไว้จากนั้นมือของนางก็ปรากฎแส้ออกมาอีกครั้ง ดอกธนูได้เล็งมามาที่พวกเขาสองคนอย่างเย็นเยียบราวกับปืนน้ำแข็งมู่จิ่วซีก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แส้ยาวในมือราวกับเต้นรำและแกว่งโบกจนเร็วอีกครั้งแม้แต่ลมก็ยากที่ผ่านเข้ามา ส่วนโม่จุนนั่งอยู่ตรงขาของนางเลยไม่ถูกธนูยิงเข้าใส่ตอนนี้สภาพมู่จิ่วซียับเยินอย่างมาก ผมของนางปล่อยกระเซิง แต่รอบกายของนางกลับแผ่ซ่ายไปด้วยบรรยากาศอันชั
โม่จุนนอนแผ่บนพื้นพร้อมกับใจที่ฟุ้งซ่าน ถึงอย่างไรท่าของเขาที่นั่งอยู่ตรงพื้นตอนนี้ไม่ว่าจะดูยังไงก็แปลก เขาเหมือนถูกมู่จิ่วซีเหยียบเอาไว้อย่างใดอย่างนั้นอีกอย่างเขาเป็นถึงท่านผู้สำเร็จราชการแทนอันมีเกียรติกลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งเหยียบขวางไว้แบบนี้ เลยทำให้เขารู้สึกลำบากใจอย่างมากถ้าไม่ใช่เพราะเขาถือดีทระนงตนขนาดนั้นจนไม่ต้องหลุมพรางของคนพวกนั้น เรื่องแบบนี้จะไปเกิดขึ้นได้อย่างไร?เจ้าพวกไส้ศึกสมควรตาย ถ้าวันนี้พวกมันไม่ตาย เขาจะจับพวกมันเอาไว้ ให้พวกมันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดจากการถูกดาบมีดฟันแล่เป็นหมื่นเล่มพวกชุดดำหกคนที่เหลือก็บุกสลับโจมตีกันเข้ามา มู่จิ่วซีก็ดีดเข็มในมือออกไปเล่มหนึ่งด้วยระยะห่างที่ใกล้ พวกมันสามคนถูกเข็มดีดปักจนร้องเสียงดังออกมาและถอยกลับไปส่วนมู่จิ่วซียังคงบุกอย่างไม่หยุด นางบุกจู่โจมพวกชุดดำซ้ายขวาและคนที่อยู่ข้างหลังทั้งหมดสามคนจากนั้นก็เห็นเพียงแต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของนางพร้อมกับร่างกายที่คล่องแคล่ว ดูเหมือนนอกจากขอสองข้างของนางที่ราวกับตะปูยึดแน่นตรงพื้นแล้ว ร่างกายท่อนบนของนางสามารถเบี่ยงพลิ้วได้อย่างคล่องแคล่วจนน่ากลัว เหมือนกับเป็นสัตว์ตัวนิ่
"จิ่วซี!" โม่จุนสะดุ้งตกใจ เขาเห็นชายชุดดำทั้งแปดคนเพียงพริบตาก็ถูกนางฆ่าไปแล้วสี่คน สองคนบาดเจ็บสาหัสและอีกสองคนที่บาดเจ็บไม่ค่อยจะสู้ดีนักจนตอนนี้ไม่กล้าเข้ามาเพราะว่ามู่จิ่วซีตอนนี้ช่างเหมือนกับเทพอสูรที่กำลังปีนขึ้นมาจากขุมนรกอย่างใดอย่างนั้นทั่วทั้งตัวและใบหน้าของนางล้วนเต็มไปด้วยเลือดสด แต่ทุกคนกลับมองเห็นชัดเจนดีว่าเลือดพวกนั้นไม่ใช่ของนาง นางแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรอันที่จริงเพราะมู่จิ่วซีโชคดีที่ตนเองตั้งใจฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟย ถ้าหากนางไม่มีพลิงพิเศษอย่างกำลังภายใน นางคงไม่สามารถรวดเร็วและมีพละกำลังขนาดนี้ได้เลยถึงอย่างไรฝีมือของทหารเดนตายพวกนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ ส่วนนางชนะได้เพราะการต่อสู้ระยะประชิดและความรวดเร็วทักษะพื้นฐานของพวกมือสังหารทั้งรวดเร็ว รุนแรง แม่นยำ ซึ่งนางในฐานะราชินีแห่งราตรีได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด ที่นางกลัวคือศัตรูมีกำลังภายใน ความเร็วที่เพิ่มขึ้นและพละกำลังที่มากยิ่งกว่าแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว นางเองก็มีอย่างที่ว่าไปเหมือนกัน แม้ว่าคนพวกนี้จะแกร่งกว่านาง แต่ประสบการณ์กลับไม่เท่านาง เรื่องทักษะยิ่งห่าง
ก่อนรุ่งอรุณที่ดำมืดที่สุดก็ได้ผ่านพ้นไป แสงอาทิตย์เริ่มขึ้นทิศตะวันออก แสงเริ่มส่องผ่านทะลุชั้นเมฆ ในป่าเต็มไปด้วยหมอกทั้งวัดเป้ากั๋วถูกเผาหายไปครึ่งหนึ่ง ควันลอยคลุ้งไปหมด ภายในเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญร้องไห้ยังดีตอนที่อานเย่และมู่จิ่วซีแบกโม่จุนมาถึงปากประตูของวัดเป้ากั๋ว เย่อู๋เหิงก็ได้คนกลุ่มมาถึงอย่างรวดเร็วพอดีนี่เป็นครั้งที่สองที่ถูกลอบโจมตี อาเหยารีบส่งคนกลับไปก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อนำกำลังเสริมมาทันทีเพราะพวกเขาไม่มีใครคาดคิดว่าศัตรูจะเยอะมากขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าระลอกแรกพวกมันมาสามคน หากระลอกสองมาอีกสิบกว่าคนก็ถือเยอะมากแล้วไม่คาดคิดว่าจะส่งมามากถึงสามสี่สิบคน อีกทั้งแต่ละคนก็มีวรยุทธสูง พวกนักบวชก็ได้แต่ออกไปสู้ ไหนจะต้องทั้งช่วยคนทั้งดับไฟ ความเสียหายยิ่งรุนแรงมากขึ้นแต่ว่าเมื่อทุกคนรู้ว่าท่านผู้สำเร็จราชการแทนยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างก็ล้วนถอนหายใจโล่งอกตอนนั้นสถานการณ์เร่งด่วนมากจริงๆ มีแค่มู่จิ่วซีที่ปกป้องโม่จุนคนเดียว พวกเขาคิดว่าว่าสองคนนี้ต้องตายแล้วแน่ๆ ไม่คาดคิดว่าคุณหนูใหญ่มู่จะทำได้ขนาดนี้จริงๆแต่ว่าทำได้อย่างไรนั้น พวกเขาไม่มีใครเห็นเลย มู่จิ่วซีเองก
นางเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบนหน้าผากของโม่จุนไม่หยุดเพื่อให้อุณหภูมิเขาเย็นลง พวกเขาเดินทางกลับพระนครตลอดทางไม่หยุดเขาถูกส่งไปที่สถาบันแพทย์หลวงโดยตรงทันที มู่จิ่วซีที่เหนื่อยอย่างมากก็ถอนหายใจออกมา นางเข้าไปที่สถาบันแพทย์หลวงและงีบหลับพักผ่อนพอมู่จิ่วซีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ข้างกลับมืดและเงียบสงบมาก ช่วงขณะนั้นนางเหมือนไม่รู้ตัวเองว่าอยู่ในปีไหนนางรีบจัดการเก็บข้าวของและเดินออกมา พอเห็นว่าด้านนอกเป็นเวลาเช้าตรู่ นางก็กังวลเรื่องของโม่จุนทันทีปากประตูมีทหารมังกรดำเฝ้าป้องกันไว้ หนึ่งในนั้นมีคนชื่อจี๋เฟิง เขาเป็นคนของทหารมังกรดำพวกเขาก่อนหน้านี้ได้ไปเห็นสภาพของวัดเป้ากั๋วมาแล้ว พวกเขาได้ยินมาว่ามู่จิ่วซีเป็นคนปกป้องท่านอ๋อง อีกทั้งในตอนท้ายยังจัดการพวกศัตรูให้หนีไปได้ แต่ทุกคนล้วนไม่อยากจะเชื่อและรู้สึกเรื่องราวเกินจริงไปหน่อย คงจะเพราะศัตรูอ่อนแอเกินไปมากกว่าแต่ว่าพวกเขาก็ยังเคารพมู่จิ่วซีมาก ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ทอดทิ้งท่านอ๋องในช่วงที่อันตรายวิกฤติที่สุด"ท่านอ๋องตื่นขึ้นมาหรือยัง?" มู่จิ่วซีถาม"ตื่นแล้วขอรับ แพทย์หลวงทั้งสองกำลังเฝ้าดูอาการรักษา" จี๋เฟิงพูดมู่จิ่วซีก็พูดออกมาอ
ไป๋ชินเตี่ยนจู่ๆ ก็ครวญครางดึงออกมา มู่จิ่วซี อานเย่ เย่ฮานก็ล้วนตกตะลึง นี่เขาคือใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเลยนะ!สามารถพูดได้ว่านอกจากท่านผู้สำเร็จราชการแทนแล้ว ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีเองก็เป็นคนที่เก่งกาจที่สุดแล้วตอนนี้เขากลับมาคุกเข่าร้องไห้ต่อหน้ามู่จิ่วซี นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว"ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี นี่ท่านเป็นอะไร รีบลุกขึ้นมาก่อนแล้วค่อยพูดคุยกัน" มู่จิ่วซีไม่สามารถอาศัยอานเย่และเย่ฮานที่บาดเจ็บอยู่ได่ นางจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเขาขึ้นมาเองแต่ไป๋ชินเตี่ยนร้องไห้เสียใจอย่างมาก มู่จิ่วซีก็รีบลากเขาให้ลุกขึ้นมา จนสุดท้ายไป๋ชินเตี่ยนก็นั่งลงกับพื้นทั้งอย่างนั้นอานเย่และเย่ฮานก็ได้แต่พยายามคุกเข่าลง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจรับการคุกเข่านั้นไว้ได้ และก็ไม่กล้าจะรับไว้ด้วยมู่จิ่วซีก็ได้แต่นั่งบนพื้นกับอัครมหาเสนาบดี จากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เขาและกล่าว : "ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ท่านอย่าลดฐานะมาทำกับข้าแบบนี้ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าทำข้าตกใจหมดรู้ไหม"ไป๋ชินเตี่ยนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันงดงามที่กำลังครุ่นคิดของมู่จิ่วซี จากนั้นเขาก็หยุดร้องไห้ในทันใด สีหน้าก็
"ถ้าอ้างอิงจากที่แม่นมหรงสารภาพ ในมือขององค์กรพวกนั้นมีชีวิตในครอบครัวของพวกเขาอยู่ นางคงถูกบังคับให้ต้องทำร้ายทรยศฮูหยินใหญ่""ดูจากตรงนี้ ฮูหยินรองคงถูกพวกเขาควบคุมเอาไว้ บางทีฮูหยินรองอาจมีคนในครอบครัวคนอื่น บางทีอาจเพราะปัจจัยอื่นที่บังคับให้นางไม่อาจทรยศได้"ไป๋ชินเตี่ยนก็ค่อยก้มหน้าลงต่ำ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งมู่จิ่วซีรู้สึกว่าไป๋ชินเตี่ยนได้ขาดความรู้สึกนึกคิดไปแล้ว"สวีหยางและฮูหยินรองตอนนี้อยู่ไหน?" มู่จิ่วซีถามไป๋ชินเตี่ยนค่อยโงนเงนและลุกขึ้นมา มู่จิ่วซีรีบเข้าลุกคลานขึ้นมาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น"เรื่องนี้ข้าจะต้องรู้คำตอบให้ได้ พวกเขาถูกข้าคุมตัวไว้อยู่ รอพวกเขาตอบออกมาแล้ว ข้าจะมาบอกเจ้า" อัครมหาเสนาบดีพอพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที"อ้อ เจ้าต้องปกป้องท่านผู้สำเร็จราชการแทนเอาไว้ให้ดีด้วย แคว้นเกาอวิ๋นไม่อาจที่จะไม่มีเขาได้"มู่จิ่วซีมองเขาพร้อมกับโค้งก้มหลังและกล่าว : "ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี เจ้าเองก็รักษาดูแลตัวเองด้วย แคว้นเกาอวิ๋นไม่สามารถขาดเจ้าไปได้เช่นกัน"ไป๋ชินเตี่ยนสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งตัว เขาหยุดฝีเท้าลง แต่ว่าไม่ได้หันกลับมา จากนั้นเขาก็ถึงก