นี่มันเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ถ้าหากว่าพลังปราณในร่างกายของพวกเขาเป็นแม่น้ำสายใหญ่ แล้วพลังปราณของนายน้อยประมุขก็เปรียบเสมือนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะเอาชนะชิงหลงได้อย่างง่ายดายด้วยนายน้อยประมุขเช่นนี้ พวกเขายังจะมีอะไรต้องกังวลอีกโดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขากำลังเผชิญกับเรื่องสำคัญที่ยากจะตัดสินใจ และนายน้อยประมุขก็กลับมาพอดี ตำแหน่งประมุขของสำนักศักดิ์สิทธิ์ สมควรเป็นของท่านและก็มีเพียงท่านเท่านั้น ที่จะนำพาสำนักศักดิ์สิทธิ์กลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งหลังจากที่บาดแผลหายเป็นปกติแล้ว พวกเขาก็จากไปทันที แต่ครั้งนี้ มู่หรงอินและคนอื่นๆ ถูกพาไปที่โซนสกายพาเลซหนึ่งเพราะที่นั่นมีพื้นที่กว้างขวาง และเหมาะแก่การฝึกฝน การที่ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ที่โซนสกายพาเลซหนึ่ง จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มู่หรงอินและเย่เทียนหยู่ก็มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความทรงจำ แล้วกล่าวว่า “เทียนหยู่ แม่รู้ว่าลูกมีคำถามมากมาย”“ก่อนหน้านี้ แม่กลัวว่าลูกจะยังไม่มีความสามารถพอ จึงไม่กล้าบอกลูก แต่ตอนนี้
ในขณะนั้น โทรศัพท์ของเย่เทียนหยู่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบไปมองหมายเลขโทรศัพท์ แล้วลังเลเล็กน้อย เพราะเป็นสายจากหลินเจวี๋ย เจ้าตำหนักรองของตำหนักซิวหลัวโดยปกติแล้ว เขาไม่ค่อยโทรมาหาเย่เทียนหยู่หรอก“รับเถอะ เรื่องของเรารอคุยกันทีหลังก็ได้ แม่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี” มู่หรงอินรีบพูด“ครับ!”เย่เทียนหยู่พยักหน้า แล้วรับสาย พูดเสียงเข้มว่า “หลินเจวี๋ย มีอะไรเหรอ?”“เจ้าตำหนัก เมื่อวานนี้ เจวี๋ยซินจากสำนักเจวี๋ยฉิง ได้มาที่ตำหนักซิวหลัว และเอาชนะผมด้วยท่าเดียว” หลินเจวี๋ยหัวเราะอย่างขมขื่น เพราะฝีมือของเขายังอ่อนอยู่แต่ฝีมือของเจวี๋ยซินก็ร้ายกาจเกินไป ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับกลาง แต่ก็รับมือกับอีกฝ่ายไม่ได้เลย เขาไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักจะรับมือไหวหรือเปล่า“สำนักเจวี๋ยฉิง?”“ท่าเดียว?”เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้ว เขาพอรู้จักสำนักเจวี๋ยฉิง แต่เจวี๋ยเทียนมีฝีมือร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ? หลินเจวี๋ยก็ฝีมือไม่ธรรมดา จึงถามว่า “เขาต้องการอะไร?”“เขาบอกว่าตำหนักซิวหลัวเป็นสาขาของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และต้องการให้เรากลับไปอยู่กับสำนักศักดิ์สิทธิ์ และเชื่อฟังคำสั่งของเขา ใครเชื่อฟังก็รุ่งเรือง ใค
“ยิ่งกว่านั้น มันเพิ่งติดต่อผมมา และก็สั่งให้เราเชื่อฟังคำสั่งของมัน ถ้าไม่เชื่อฟัง มันจะฆ่าล้างสำนักเรา”ถึงแม้ว่าหยางผั่วจวินจะไม่ได้เห็นมันใช้ฝีมือด้วยตาตัวเอง แต่เพียงแค่ดูรอยฝ่ามือ เขาก็รู้ถึงความน่ากลัวของมันแล้ว“ได้ ฉันรู้แล้ว ตกลงไปเถอะ ถึงเวลานั้น เราจะไปพบกับสำนักเจวี๋ยฉิง” เย่เทียนหยู่พยักหน้าหลังจากวางสาย มู่หรงอินก็อึ้งไป เพราะเย่เทียนหยู่ไม่ได้ปกปิดอะไรเธอ ด้วยการได้ยินและการวิเคราะห์ของเธอ เธอก็เดาได้หลายอย่าง และมองเย่เทียนหยู่ด้วยความงุนงงเมื่อเห็นท่าทางของมารดา เย่เทียนหยู่จึงพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายว่า “สำนักราชาผีถูกข้าควบคุมไว้แล้ว พวกเขาก็เป็นสาขาหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ และถูกสำนักเจวี๋ยฉิงคุกคามอยู่”“สำนักราชาผี ตำหนักซิวหลัวรา เป็นของลูกหมดเลย”มู่หรงอินพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “รวมทั้งสำนักเงาของเราด้วย เท่ากับว่ามีห้าสำนัก เรามีถึงสามสำนักแล้ว”“ใช่ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าแม่จะเป็นคนของสำนักเงา”เย่เทียนหยู่ไม่รู้มาก่อน แต่จากการแนะนำตัวของทูตทั้งสอง และการแนะนำของมารดา เธอตั้งใจพูดคำว่า “สำนักเงา” เขาจึงเข้าใจทันทีเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ดูแลสำน
เท่าที่เย่เทียนหยู่รู้ ตำหนักซิวหลัวนอกจากเขาแล้ว ก็มีเพียงหลินเจวี๋ยเจ้าตำหนักรองเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์ระดับกลางสำนักราชาปีศาจยิ่งแย่กว่า มีเพียงแต่ประมุขเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์ ถึงแม้ว่าประมุขจะเกือบจะก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดแล้ว แต่ก็ถูกเขาทำลายไปแล้วเมื่อเทียบกับสำนักเงา มารดาของเขาเป็นปรมาจารย์ระดับสูง และทูตทั้งสามก็เป็นปรมาจารย์ฝีมือสูง โดยเฉพาะทูตใหญ่ เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดถึงแม้ว่าจะเพิ่งก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดไม่นาน แต่ก็ยังแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ระดับสูงอยู่มากเขาไม่รู้ว่าสำนักเจวี๋ยฉิงมีความสามารถมากแค่ไหน แต่การที่มันกล้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามันไม่ธรรมดาถึงแม้ว่าปรมาจารย์ฝีมือสูงจะมีไม่มาก แต่ผู้ยอดฝีมือและทรัพยากรอื่นๆ ก็มีความสำคัญเช่นกันแต่ละสำนักต่างก็มีทรัพยากรและสินทรัพย์มหาศาล ตำหนักซิวหลัวก็เช่นกัน ตระกูลผู้ดีและมหาเศรษฐีหลายตระกูล ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขาพวกเขาทั้งหมดให้เงินทุน ยังไม่รวมสินทรัพย์อื่นๆ ที่พวกเขาลงทุนอีกถ้ารวมทั้งหมดเป็นเงิน อาจจะถึงหลายแสนล้านเพราะเพียงแค่เทียนเฟิงกรุ๊ปของมู่หรงอิน ก็มีมูลค่าตลาดเกินล้านล้านแล้ว“เทียนห
“ครับ!”ทูตใหญ่ตอบด้วยความตื่นเต้น ในขณะนั้นเลือดในกายของเขากำลังเดือดพล่าน“งั้นทูตใหญ่ก็ไปทำงานก่อนเถอะ ฉันกับเสี่ยวเทียนยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกมาก” มู่หรงอินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา“ครับ ขอโทษที่รบกวนประมุขและนายน้อยประมุขนะครับ”ทูตใหญ่จากไปด้วยความยินดี ในครั้งนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่แล้วแต่ทันทีที่ทูตใหญ่จากไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงรับสาย“เสี่ยวเทียน ผมเอง ผมคือ...”เย่ไป๋เชิ่งยังพูดไม่จบ ก็พบว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้วเขาอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ไอ้หนุ่มนี่ มันช่างเด็ดขาดจริงๆดูเหมือนว่าจะต้องหาวิธีไปเจอหน้าเขาเสียแล้ว มิฉะนั้น เขาคงไม่รับโทรศัพท์ของผมแน่ในขณะนี้ เย่เทียนหยู่ตั้งใจอยากรู้เรื่องราวในอดีต ไหนจะมีเวลาสนใจคุณปู่เย่ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องการหาความจริงว่าคุณปู่เย่ทำอะไรไปในอดีตใช่หรือเปล่าว่าเป็นการจงใจทำร้ายแม่ลูกคู่นั้นเมื่อเห็นเย่เทียนหยู่วางสาย มู่หรงอินจึงพูดว่า “เทียนหยู่ เมื่อครู่แม่คงคิดไม่รอบคอบ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครรู้ความสามารถที่แท้จริงของเจวี๋ยเทียน...”“แม่ครับ ไม
“เห้อ!”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่หรงอินถอนหายใจยาว แล้วเริ่มเปิดเผยความจริงในอดีตทีละคำใบหน้าของเย่เทียนหยู่ยิ่งฟังก็ยิ่งดูไม่ดี พลังอำมหิตที่อยู่ในตัวเขาไม่อาจควบคุมได้ ตะโกนด้วยความโกรธว่า “พวกคนหน้าซื่อใจคด ผมจะต้องทำให้พวกมันชดใช้ด้วยเลือด!”“เทียนหยู่!”“ใจเย็นก่อนลูก”มู่หรงอินกลัวว่าเย่เทียนหยู่จะคิดมากเกินไป จึงไม่กล้าบอกความจริงทั้งหมดนี้ให้เขารู้ ถึงแม้ว่าเธอจะโกรธแค้นมากมาย นึกถึงพี่เฟิงที่รัก เธอก็อยากแก้แค้นทุกวันทุกคืนแต่ เธอไม่สามารถทำอะไรได้อย่างตามใจชอบการแก้แค้นสามารถทำได้ แต่ต้องปกป้องเทียนหยู่ไว้ให้ได้เธอสามารถตายได้ แต่เทียนหยู่ห้ามเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวที่พี่เฟิงทิ้งไว้บนโลกในขณะนั้น เย่เทียนหยู่เข้าใจแล้วว่า ทำไมอาจารย์ถึงบอกว่าเขาต้องถึงจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ จึงจะมีสิทธิ์รู้เรื่องนี้ถ้าหากถึงจุดสูงสุดของระดับปรมาจารย์ไม่ได้ แม้ว่าเขารู้เรื่องนี้ สุดท้ายก็คงเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ถูกทำลายได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับ ก็ตาม“แม่ครับ แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”“ผมจะไม่ใจร้อนครับ”เย่
“หรือว่าไม่ใช่เขา ถ้าอย่างนั้น จะเป็นใครกัน?” เย่เทียนหยู่ขมวดคิ้วมู่หรงอินส่ายหัว พูดว่า “ต้องค่อยๆ สืบไป แต่ถ้ามีคนอยากแสร้งเป็นเย่สยง ก็ทำได้อย่างแน่นอน สำนักดอกไม้เชี่ยวชาญเรื่องการปลอมตัว พวกเขาสามารถเปลี่ยนโฉมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่ใช่คนสนิท ก็คงไม่ทันสังเกต”“มีฝีมือแบบนี้ด้วยเหรอ งั้นดูเหมือนว่าต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น” เย่เทียนหยู่พยักหน้า“ใช่ แต่ถ้าจะสืบ ก็ต้องสืบจากกลุ่มคนที่ฆ่าพ่อลูกไป แต่ห้ามดูแค่ภายนอก บางคนอยู่เบื้องหลัง”มู่หรงอินพูด“ครับ ผมเข้าใจแล้ว!”เย่เทียนหยู่พยักหน้า ในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาได้ยินชิงหลงพูดถึงขั้นเทพผู้เป็นอมตะ ดูเหมือนว่า ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีใครผ่านไปได้ แต่ก็ควรจะผ่านไปได้ไม่เช่นนั้น ชิงหลงคงไม่พูดแบบนั้น แต่ทำไมหลายปีผ่านไป จึงไม่มีใครถึงขั้นเทพผู้เป็นอมตะ“แม่ครับ แม่รู้จักขั้นเทพผู้เป็นอมตะไหมครับ?” เย่เทียนหยู่ถามเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่หรงอินขมวดคิ้ว พูดว่า “เรื่องนี้ แม่ก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แม้แต่พ่อของลูก ที่เก่งกาจขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามขั้นนั้นไปได้ ดูเหมือนว่า ในโลกนี้ จะไม่มีใครก้าวข้ามขั้นนั้นไปได้เลย”“ก่อนหน้
ทันใดนั้น หลินหว่านหรูโทรศัพท์มา น้ำเสียงเร่งรีบพูดว่า “เทียนหยู่ คุณปู่ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก เลือดออกมาก อาการหนักมาก ต้องผ่าตัดทันที ไม่เช่นนั้นก็ต้องตายแน่ๆ”“แต่หมอบอกว่า การผ่าตัดมีความเสี่ยง ถ้าไม่สำเร็จ อาจจะทำให้หมดสติ และเป็นอัมพาตได้”เย่เทียนหยู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าคุณปู่หลินจะล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก และอาการหนักขนาดนี้ กำลังจะพูดอะไรสักอย่างหลินหว่านหรูก็รีบถามต่อว่า “คุณมีหมอเก่งๆ ที่รู้จักบ้างไหม พวกเขาจะมีวิธีช่วยคุณปู่ได้ไหม”ถึงแม้ว่าช่วงนี้ คุณปู่จะทำให้เธอเดือดร้อนและเจ็บปวด แต่คุณปู่ก็รักเธอมาตั้งแต่เด็กเย่เทียนหยู่คิดว่าหลินหว่านหรูจะให้เขาไปช่วย แต่ไม่ใช่ จึงพูดทันทีว่า “แน่นอน ผมเอง ให้พวกเขาช่วยรักษาอาการไว้ก่อน ตราบใดที่คุณปู่ยังหายใจอยู่ ผมก็มีวิธีรักษาให้หายได้”“รอผมนะ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”พูดจบ เขาก็วางสาย แล้วพูดว่า “แม่ครับ ผมมีธุระด่วน ผมขอไปก่อนนะครับ”หลินหว่านหรูถึงกับอึ้งไป เทียนหยู่พูดว่าอะไรนะ ว่าเขาจะรักษาให้หายได้ เดี๋ยวก่อน เธอลืมไปแล้ว ตอนนั้นเป็นเขาที่รักษาโรคที่ยากจะรักษาของ หยางเฉียนเฉียนให้หายและมีครั้งหนึ่ง
เย่เทียนหยู่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ให้พวกเธอสองคนดื่มตั้งแต่แรกในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซือซือที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ยกแก้วในมือขึ้น แล้วพูดออกมาว่า “พี่เย่คะ ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่มาโดยตลอด แต่ก็กลับไม่มีโอกาสได้พูดมันออกมาเลย”“งั้นก็อย่าพูดเลยจะดีกว่า” เย่เทียนหยู่นึกถึงเรื่องในอดีตของเขากับหลิวซือซือขึ้นมา ก่อนจะคาดเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเธอกำลังจะพูดอะไร“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันต้องพูดให้ได้!”“ฉันกลัวว่าถ้าผ่านวันนี้ไปแล้ว ฉันไม่มีโอกาสได้พูดมันอีก”หลิวซือซือพูดด้วยความตื่นเต้นออกไปว่า “พี่เย่คะ ฉันชอบพี่ค่ะ ชอบพี่มาตลอด ฉันชอบพี่มากจริง ๆ!”“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันต้องไปทวงหนี้กับพี่ ฉันก็ถูกความสง่างามและความมั่นคงอันแข็งแกร่งของพี่ดึงดูดไปแล้วค่ะ ต่อมาพี่ก็คอยช่วยฉันเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงมากกว่าเดิม ทำให้ฉันชอบพี่มากขึ้นเรื่อย ๆ”“แต่ก็เหมือนว่าพี่จะไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของฉันเลย หลายครั้งที่ฉันอยากจะรุกเข้าหาพี่แต่ก็ไม่กล้า จนกระทั่งพบว่าพี่กับประธานหลินคบกันอยู่ ฉันถึงได้เข้าใจว่าฉันไม่ใช่อะไรสำหรับพี่เล
แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ แต่ทั้งสองคนก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับไป๋เฉิงกรุ๊ป และความน่ากลัวของแก๊งพยัคฆ์ทมิฬมาไม่น้อย ดังนั้นความหวาดกลัวและความรู้สึกหวั่นเกรงที่มีต่อตระกูลไป๋จึงมาจากใจของพวกเธออย่างแท้จริงสองสาวพูดสลับกันไปมา จนเกิดเป็นเสียงที่ดังอึกทึกขึ้น เย่เทียนหยู่แทบไม่มีโอกาสได้พูดเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดเขาก็มีโอกาส เขาจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ พูดจบรึยัง?”สองสาวพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้“พวกเธอฟังฉันนะ พวกเธอวางใจเถอะ แค่ตระกูลไป๋ พวกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” เย่เทียนหยู่พูดออกมาตรง ๆ เดิมทีก็คิดจะบอกว่าไป๋เฉิงกรุ๊ปเป็นของตนอยู่หรอก แต่จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนความคิดถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ข้างนอก แถมแก๊งพยัคฆ์ทมิฬและไป๋เฉิงกรุ๊ปเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไหร่คำพูดนี้ แทบจะไม่เห็นตระกูลไป๋อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย นั่นเป็นถึงหนึ่งในตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองตะวันออกเชียวนะ ในใจของสองสาวจึงรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่พวกเธอมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็คิดว่าที่พี่เย่จงใจพูดแบบนี้ก็เพื่อทำให้พวกเธอสบายใจก็เท่านั้น“เอาล่ะ ไม่ต้องสนใจพวกเขาแล้ว ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่มเถอะ” ที
สีหน้าหลี่ซินเยว่และหลิวซือซือเต็มไปด้วยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อกี้ตอนที่พวกเธอนึกถึงความน่ากลัวของตระกูลไป๋ อันที่จริง พวกเธอก็คิดที่จะเตือนเย่เทียนหยู่ไม่ให้ทำร้ายตงซู่อยู่เหมือนกัยแต่เมื่อลองนึกดูอีกที ในสถานการณ์แบบนี้ ด้วยนิสัยของตงซู่ ต่อให้จะหยุดเอาไว้ได้ก็ไม่มีความหมายอยู่ดีเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกเธอก็ไม่มีทางให้ถอยกลับอีกต่อไปแล้วเป็นอย่างที่คิด เห็นเพียงตงซู่ที่กำลังร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันเขาก็หันไปจ้องเย่เทียนหยู่ด้วยความเกลียดชัง แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่ามด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม รอจนกว่าตนจะออกไปจากที่นี่ได้เสียก่อน จากนั้นก็จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้ไช่เตา คุณชายเตาได้ทราบ พอถึงตอนนั้น ตนจะต้องทำให้ไอ้เด็กนี่อยู่ไม่สู้ตายให้ได้ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็เงียบกริบ ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ตัวเองเข้าไปเอี่ยวด้วยใครจะไปคิดล่ะว่า ชายหนุ่มที่ดูสุภาพไม่มีพิษมีภัยข้าง ๆ สาวสวยสองคนนี้จะลงมือได้โหดเหี้ยมมากขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร อีกฝ่ายก็สมควรโดนแล้วแค่เห็นก็รู้เลยว่าไ
เมื่อได้ยินคำสั่ง ลูกน้องทั้งสองคนของเขาก็รีบตั้งท่าเตรียมพร้อมขึ้นทันที ก่อนจะเดินตรงไปหาเย่เทียนหยู่ด้วยท่าทางดุดัน งานที่ต้องจัดการกับคนแบบนี้ มันได้กลายเป็นการเสพติดของพวกเขาไปแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ชอบความรู้สึกแบบนี้เย่เทียนหยู่ส่ายหัว ก่อนจะลุกขึ้นยืน หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ ป่านนี้เขาคงจะโบกมือซัดเจ้าพวกนั้นให้กระเด็นไปนานแล้วจากนั้นก็เอาชีวิตของพวกมันมา ณ เดียวนั้นเลย!เมื่อเห็นว่าเย่เทียนหยู่ยังกล้าลุกขึ้นมาพูดท้าทายตนอยู่ ทั้งสองจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเขากำลังถูกดูหมิ่น นั่นจึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมาก ก่อนที่ต่อมาทั้งสองจะเหวี่ยงหมัดออกไปพร้อมกันในทันทีผั๊วะ ผั๊วะ!เกิดเสียงผั๊วะดังขึ้นสองครั้งติด ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึงของผู้คน เย่เทียนหยู่ใช้ฝ่ามือฟาดพวกเขาจนกระเด็นออกไปก่อนที่ร่างของพวกเขาจะร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง ร่างกายราวกับกำลังแหลกสลาย รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหวสีหน้าตงซู่ดูตกใจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้วิชากังฟูด้วย เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปว่า “ไม่แปลกใจเลยที่แกกล้าทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ ที่แท้แ
หลี่ซินเยว่และหลิวซือซือที่กำลังด่ากันอย่างเมามัน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ เสียงของตงซู่จะดังขึ้นมาข้างหู นั่นจึงทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจนต้องหันมองไปตามเสียงในทันทีเป็นตงซู่จริง ๆ ด้วย!นอกจากนี้ ด้านหลังของเขายังมีเหล่าชายฉกรรจ์ที่ดูดุร้ายอยู่อีกด้วย แค่มองก็รู้เลยว่าไม่ใช่คนดีอะไรสีหน้าของพวกเธอซีดเผือดในทันที!ต้องเข้าใจก่อนว่า พวกเธอเตรียมตัววางแผนจะหนีในวันนี้กัน แต่ตอนนี้ตงซู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เป้าหมายของเขาไม่ต้องพูดก็รู้ หรือต่อให้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่หากได้ยินสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยพวกเธอไปง่าย ๆ แน่เมื่อตงซู่เห็นสีหน้าตกใจของทั้งสอง เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมาว่า “ด่าสิ ทำไมไม่ด่าต่อแล้วล่ะ นี่พวกเธอคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยใช่ไหม?”หลี่ซินเยว่ตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้น และพูดออกไปว่า “รุ่นพี่เองเหรอคะ พอดีเมื่อกี้ฉันดื่มมากไปน่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง อย่าโกรธกันเลยนะคะ”“หลี่ซินเยว่ จริงอยู่ที่ฉันชอบเธอมาก แต่ฉันก็ไม่โง่ขนาดนั้น เธอคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ว่าพวกเธอเตรียมตัวที่จะหนีในคืนน
หลิวซือซือไม่อยากให้เย่เทียนหยู่รู้เกี่ยวกับปัญหาใหญ่ที่ตนต้องเจอยังไงซะ ตระกูลไป๋ก็เป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองตะวันออก จะล่วงเกินตระกูลไป๋เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยของตนไม่ได้“ไม่มีจริง ๆ น่ะเหรอ?”เย่เทียนหยู่สังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทีแปลก ๆ เขาจึงพูดขึ้นว่า “หลี่ซิน พวกเธออยู่ด้วยกัน ไหนเธอพูดมาซิ”“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่เย่ ไหนเมื่อกี้พี่บอกว่ามีเรื่องอยากจะถามไงคะ เรื่องอะไรเหรอ?”จู่ ๆ หลี่ซินเยว่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันทีโดยไม่ทันตั้งตัวเย่เทียนหยู่จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทั้งสองจะต้องมีเรื่องปิดบังตนอยู่แน่นอน แต่ในเมื่อไม่ยอมพูด เขาเองก็ไม่อยากถามให้มากความ แต่ต้องบอกเลยว่า หลี่ซินเยว่คนนี้ค่อนข้างมีทักษะในการเข้าสังคมมากกว่าหลิวซือซือเสียอีกบวกกับที่เธอเคยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลางของหลินซื่อกรุ๊ปมาก่อน ตอนนั้นเธอเองก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวไม่แน่ว่าอาจจะพิจารณาให้เธอขึ้นมารับตำแหน่งผู้บริหารเลยก็ได้ หรือถ้าเธอไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้รับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปก็ฟังดูไม่แย่เหมือนกัน แล้วตนก็รับบทบาทท่านประธานไปก็พอ ยังไงซะ บริษัทจะทำกำไรได้หรือไม่ได้ก็ไม่สำคัญอยู่
ไม่นานก็ถึงเวลาเลิกงาน พวกหลี่ซินเยว่ก็พากันเดินทางออกจากบริษัท พวกเธอรู้สึกกังวลอยู่ตลอด เธอกลัวว่าตงซู่จะเล่นตุกติกเพื่อรั้งไม่ให้พวกเธอไปแต่ก็กลับคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นมากขนาดนี้ในตอนนั้นเอง ทั้งคู่ก็ได้รับสายจากเย่เทียนหยู่ หลังจากที่วางสาย หลี่ซินเยว่ก็ถามขึ้นว่า “ซือซือ พวกเราจะกลับไปเก็บของแล้วหนีไปเลย หรือพวกเราจะไปพบกับพี่เย่กันก่อนดี?”หลิวซือซือรู้สึกลังเล หากเป็นคนอื่นเชิญก็คงไม่เป็นไร แต่การที่จะได้ทานข้าวกับพี่เย่สักครั้ง สำหรับเธอนับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากมากเธอจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไม่งั้นเราก็ไปตามนัดกันก่อนดีไหม ถึงยังไงคืนนี้เราก็สามารถไปได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว”“ได้ เอาตามที่เธอว่าเลย”“แต่ว่านะ เรื่องของพวกเรา อย่าได้บอกกับพี่เย่เด็ดขาด”“เข้าใจแล้ว ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นเมืองหลวง พี่เย่เองก็ไม่ได้เก่งไปเสียทุกอย่าง พวกเราจะสร้างปัญหาให้เขาไม่ได้” หลี่ซินเยว่เองก็เห็นด้วยอย่างมากทั้งสองตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ ไม่นานพวกเธอก็มองเห็นรถของเย่เทียนหยู่เย่เทียนหยู่เองก็สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเธอ ทั้งคู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกระโปรงรัดรูปทรงเอ เผ
เขาถึงขั้นกล้าลงมือกับคุณท่านเย่ ที่เป็นถึงพ่อแท้ ๆ ของตัวเอง!อย่าไรก็ตาม ปัจจุบันตระกูลเย่นับว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และอาจจะล้มได้ทุกเมื่อในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นก็รออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน รอจนกว่าพวกงู แมลง มด หนูโผล่หัวออกมาให้หมดเสียก่อน พอถึงตอนนั้นก็ค่อยจัดการรวดเดียว แล้วค่อยมอบความสดใสให้กับตระกูลเย่อีกครั้งนอกจากนี้ ก็เพื่อที่จะรอดูว่าท่านอาจารย์จะมีการเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า มาถึงตอนนี้ อันที่จริงในใจเขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกันหลังจากว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เย่เทียนหยู่ก็นึกถึงหม่าต้านขึ้นมาได้ เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไป ก็ดูเหมือนว่าหม่าต้านคนนี้จะไม่ใช่คนดีอะไร เขาจึงได้สั่งการให้คนไปตรวจสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยจริงด้วย หลี่ซินเยว่กับหลิวซือซือเองก็ทำงานที่ไป๋เฉิงกรุ๊ปไม่ใช่รึไง เช่นนั้นก็เชิญพวกเธอมาก็ได้นี่ จะได้ให้พวกเธอช่วยอธิบายสถานการณ์ในไปเฉิงกรุ๊ปให้ฟังด้วยเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เย่เทียนหยู่ก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะกดโทรออกหาหลี่ซินเยว่ทันที เดิมทีตั้งใจจะโทรหาหลิวซือซือ แต่เมื่อนึกถึงความรู้สึกของหลิวซือซือที่มีต่อตน
ในใจโจวฉิงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่ต้นจนจบหม่าต้านก็เผยความรู้สึกหวาดกลัวออกมาไม่หยุด นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกตกใจไปชั่วขณะการแสดงออกของหม่าต้านหลังจากนั้น ราวกับคนใกล้ตายที่กำลังร้องขอชีวิตไม่หยุดไม่มีผิด ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงความกลัวของเขาที่มีต่อคุณเย่ได้เป็นอย่างดีคนคนหนึ่ง เหตุใดถึงทำให้คนอีกคนกลัวได้มากขนาดนี้ แต่นั่นก็ทำให้เธอได้เห็นถึงสถานะและจุดยืนของเขาได้อย่างชัดเจนหลังจากที่โจวฉิงได้สติ ในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีม้ากำลังวิ่งพล่านไปทั่ว ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างมากในเวลานี้ เธอก็นึกถึงสิ่งที่เย่เทียนหยู่พูดก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ แต่ตอนนั้นเธอก็กลับไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยการกดโทรออกเพียงครั้งเดียวเท่าที่เห็นแทบไม่จำเป็นต้องโทรเลยด้วยซ้ำ อารมณ์เหมือนแค่เขาไอออกมาก็สามารถทำให้หม่าต้านวิ่งมาคุกเข่าเพื่อร้องขอชีวิตได้เลยอย่าว่าแต่เธอเลย ขนาดหลินหว่านหรูเองก็ชะงักไปด้วยเช่นกัน แม้เธอจะรู้ดีว่าเย่เทียนหยู่เก่งกาจมาก แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนหยู่จะเก่งกาจได้มากถึงเพียงนี้ต้องเข้าใจก่อนว่า โจวฉินเองก็เพิ่งจะพูดไป ว่าตระกูลไป๋เป